จากริเวอร์ถึงวาคีน สายน้ำและสายเลือดตระกูลฟีนิกซ์

จากริเวอร์ถึงวาคีน สายน้ำและสายเลือดตระกูลฟีนิกซ์
ดวงตาสีฟ้าที่แฝงไปด้วยความดื้อรั้น ใบหน้าหล่อเหลาและบุคลิกเซอร์  ๆ ทำให้ ริเวอร์ ฟีนิกซ์ (River Phoenix) ดูเป็นหนุ่มขบถ ที่สามารถเป็น เจมส์ ดีน (James Dean) คนต่อไปได้ไม่ยาก แต่ดวงตาคู่เดียวที่แสดงความแข็งแกร่งนั้น มองลึกเข้าไปกลับมีความเปราะบางซ่อนเอาไว้อยู่ แม้ว่าหนังที่เขาแสดงไว้จะยังมีไม่มาก เพราะในวัยเพียงแค่ 23 ปี เขาก็จากไปจากการเสพเฮโรอีนผสมโคเคน (speedball) เมื่อวันที่ 30 ตุลาคมปี 1993  ที่หน้าผับดัง The Viper Room แต่ทั่วโลกยังจดจำเขาในฐานะนักแสดงหนุ่มฝีมือเยี่ยม ไม่ใช่ฐานะนักแสดงที่เสียชีวิตไปจากการเสพยา ผลงานของริเวอร์ยังคงได้รับการพูดถึงเสมอจนถึงทุกวันนี้ เช่น Stand by Me (1986) ของผู้กำกับ ร็อบ ไรเนอร์ (Rob Reiner) ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในแนว Coming of Age ดีที่สุด, Running on Empty (1988) หนังที่ทำให้เขาได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายอดเยี่ยม และ My Own Private Idaho (1991) หนังที่ริเวอร์แสดงกับเพื่อนซี้ คีอานู รีฟส์ (Keanu Reeves) ที่นักวิจารณ์ต่างพากันยกย่องว่าเป็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเขา จนได้รับรางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจาก National Society of Film Critics   ความไม่เหมือนใครของริเวอร์ เริ่มต้นมาจากพ่อแม่ของเขาผู้มีจิตวิญญาณอิสระในยุคบุปผาชน จอห์น ลี บัตทอม (John Lee Bottom) และ อาร์ลีน ดูเนทซ์ (Arlyn Dunetz) - หรือที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในชื่อ ฮาร์ท ฟีนิกซ์ (Heart Phoenix) - ทั้งคู่ใช้ชีวิตแบบชาวฮิปปี้ย้ายไปย้ายมาไม่เป็นหลักแหล่งทั้งในสหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก และเวเนซูเอลา ชื่อของริเวอร์ที่แปลว่าสายน้ำนั้นมาจาก River of Life จากหนังสือเรื่อง Siddhartha ของ เฮอร์มานน์ เฮสเส (Hermann Hesse) ส่วนชื่อกลางของเขาคือ จู๊ด มาจากเพลง Hey Jude เพลงฮิตของ The Beatles ชีวิตวัยเด็กของริเวอร์ไม่เหมือนเด็กคนอื่นจากวัยเด็กของเขาที่ถูกเลี้ยงดูมาโดยพ่อแม่ฮิปปี้ เขาไม่เคยได้รับการศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐาน หนำซ้ำพ่อแม่ของเขาเข้าร่วมลัทธิ Children of God กลุ่มลัทธิทางศาสนาซึ่งอ้างว่าส่ง เสริมการมอบความรักของพระเจ้าแต่ใช้วิธีการล่อลวงทางเพศ เพื่อเผยแพร่ลัทธิ ทำให้เกิดข่าวลือว่าริเวอร์ถูกล่วงละเมิดทางเพศตั้งแต่เพียงแค่ 4 ขวบ ซึ่งล่าสุด วาคีน ฟินิกซ์ น้องชายของเขาได้แก้ข่าวลือนี้ว่าเป็นเพราะพี่ชายของเขาเบื่อหน่ายที่ถูกถามแต่เรื่องลัทธิจึงตอบไปแบบนั้น ครอบครัวของเขาได้รีบออกจากลัทธิประหลาดนี้ในปี 1977 ทันทีที่รู้ว่าทางลัทธิใช้วิธีการแบบนี้ ต่อมาพวกเขาเปลี่ยนมาใช้ชีวิตแบบชาววีแกนและทำให้ริเวอร์เป็นหนึ่งในนักแสดงฮอลลีวูดคนแรกๆ ที่ประกาศตนเป็นวีแกนและใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อม   [caption id="attachment_12310" align="alignnone" width="851"] จากริเวอร์ถึงวาคีน สายน้ำและสายเลือดตระกูลฟีนิกซ์ ริเวอร์ ฟีนิกซ์[/caption]   เริ่มต้นใหม่อย่างนกฟินิกซ์    แม้ว่าช่วงต้นชีวิตของริเวอร์และพี่น้องจะใช้ชีวิตอย่างร่อนเร่ไปหลายที่ แต่พวกเขาก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อจอห์นและอาร์ลีนย้ายกลับมายัง ลอส แอนเจลิส ในปี 1979 พวกเขาเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น “ฟินิกซ์” ตามนกในเทพนิยายที่เกิดใหม่ได้จากเถ้าถ่าน และนั่นก็เป็นจุดกำเนิดของเส้นทางบันเทิงของริเวอร์ อาร์ลีนผลักดันลูก ๆ ของเธอให้แสดงความสามารถ หลังจากที่เธอได้งานเป็นเลขาที่ NBC เธอได้จ้างเอเจนท์ให้กับลูก ๆ เพื่อเข้าสู่วงการบันเทิง ริเวอร์มีความสามารถอันโดดเด่นตั้งแต่ผลงานชิ้นแรกที่แสดงซีรีส์ในเรื่อง Seven Brides for Seven Brothers ที่วาคีนน้องชายของเขาร่วมแสดงด้วย และเริ่มเป็นที่จับตาในเรื่อง Explorers (1985) ที่เขาได้รับรางวัล Young Artist Award แม้ว่าจะไม่เคยได้รับการศึกษาอย่างเหมาะสม แต่ริเวอร์รักการเรียนรู้และเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์เฉพาะตัว เขามีทักษะทางด้านดนตรีโดยมักจะไปเล่นดนตรีเปิดหมวกกับน้อง ๆ เพื่อหาเงินเลี้ยงครอบครัว ซึ่งต่อมาริเวอร์ก็ได้ตั้งวง Aleka's Attic กับ เรน ฟีนิกซ์ (Rain Phoenix) น้องสาวของเขาในปี 1987 ริเวอร์กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวเมื่อเขามีชื่อเสียงและได้รับการจับตาจากฮอลลีวูด ซาแมนธา มาธิส (Samantha Mathis) แฟนสาวที่แสดงร่วมกันในหนัง The Thing Called Love (1993) เผยว่า “ริเวอร์บอกกับฉันในช่วงปีสุดท้ายว่า ผมอยากแสดงหนังอีกสักเรื่องเพื่อจะได้มีเงินมากพอส่งน้องสาวคนสุดท้องของผมไปเรียนมหาวิทยาลัย ฉันไม่รู้ว่านั่นจริงหรือเปล่า แต่ฉันจำได้ว่าเขาพูดไว้อย่างนั้น” ถึงจะเป็นนักแสดงดังแต่ริเวอร์ไม่เคยหลงแสงสี เขายังใช้ชีวิตสนิทกับน้อง ๆ และคนที่รู้จักกับเขาต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าครอบครัวของเขาไม่ใช่ปัจจัยที่ทำให้เขาใช้ยาเสพติด แต่คงเป็นที่ยุคสมัยนั้นยาเสพติดในวงการบันเทิงนั้นหาง่ายเหลือเกิน ถึงขั้นที่ ริค รีโอฮา (Rick Riojas) นายหน้าขายยาผู้ขายยาเสพติดให้กับริเวอร์ และเป็นคนที่ทำให้ริเวอร์รู้จักกับ speedball เผยว่า “ผมรู้จักด้านหนึ่งของชีวิตของเขาซึ่งไม่มีใครล่วงรู้ และนั่นก็คือด้านที่เขาใช้ยา” รีโอฮาเผยว่าริเวอร์ใช้ยาเมื่อเขาเล่นดนตรี “ผมคิดว่ามันทำให้เขาผ่อนคลาย”  ร็อบ ไรเนอร์ ผู้ร่วมงานกับริเวอร์ใน Stand By Me ก็เผยว่าตอนที่ริเวอร์มาออดิชัน เขารู้ทันทีว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กพิเศษ เขาทั้งเล่นดนตรีได้ มีเสน่ห์ และฉลาด ไรเนอร์ถึงกับทึ่งที่ริเวอร์นำเสนอความเปราะบางของตัวเองออกมาอย่างไม่ปิดบัง และพูดตรง ๆ เขาคิดว่าการเสียชีวิตของริเวอร์ส่งผลต่อนักแสดงคนอื่น ๆ อย่างมากในยุคนั้น ชนิดที่ว่าหากริเวอร์ยังอยู่ก็คงจะไม่มี ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ (Leonardo DiCaprio) “ลีโอบอกกับผมว่าเขาเห็นริเวอร์คืนที่เขาตายก่อนที่ริเวอร์จะไปที่ The Viper Room และนั่นมันอาจจะเป็นเหตุที่ทำให้ลีโอไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดเลยหลังจากที่ริเวอร์เสียชีวิต”  ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ กลายมาเป็นผู้สืบทอดการแสดงของริเวอร์ เนื่องจากเขาได้แสดงใน 2 บทที่เคยวางตัวให้ริเวอร์แสดง นั่นก็คือเรื่อง The Basketball Diaries (1995) และ Total Eclipse (1995) ทั้งสองผลงานเป็นหนึ่งในหนังที่ท้าทายความสามารถของลีโอ ก่อนที่เขาจะโด่งดังไปทั่วโลกกับ Titanic (1997) ลีโอนาร์โดเพิ่งได้เผยกับนิตยสาร Esquire ในปีนี้ โดยเล่าเหตุการณ์คืนที่เขาเจอริเวอร์ ฟินิกซ์ ผู้เป็นเหมือนไอดอลของเขาครั้งแรกและครั้งสุดท้าย  “คืนหนึ่งในปาร์ตี้ที่ Silver Lake ผมเห็นเขาเดินขึ้นบันไดมา มันให้ความรู้สึกเหมือนกับหนัง Vertigo เพราะผมเห็นบางอย่างในใบหน้าของเขา ผมไม่เคยเจอเขา ผมอยากเจอเขามาตลอด ผมอยากพููดคุยกับเขา เขาเดินมาทางผมแล้วผมก็ตัวแข็งไปเลย จากนั้นฝูงชนก็แยกผมออกจากเขา ผมหันหลังกลับไปเขาหายไปแล้ว”  แม้ว่าริเวอร์จะหายไป แต่ลีโอนาร์โดไม่ละความพยายาม เขาตามหาว่าริเวอร์ไปไหน และก็ได้รู้ว่าริเวอร์ไปที่ The Viper Room และเสียชีวิตที่นั่น ซึ่งทำให้ลีโอนาร์โดช็อกมาก “ผมไม่รู้จะอธิบายออกมายังไงดี แต่มันมีบางสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วทำให้ผมรู้สึกว่าเขาหายตัวไปต่อหน้าต่อตาผม และโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกว่าผมสูญเสียบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับผมและเพื่อน ๆ ไป  ผมยังจำได้แม่นว่าผมยื่นมือไปหาเขา จากนั้นมีคนสองคนเดินเข้ามาขวางทางผม แล้วพอผมมองอีกที เขาก็ไม่อยู่แล้ว..”    [caption id="attachment_12312" align="alignnone" width="1494"] จากริเวอร์ถึงวาคีน สายน้ำและสายเลือดตระกูลฟีนิกซ์ วาคีน ฟีนิกซ์[/caption]   ออกจากเงาของพี่ชาย   ริเวอร์, เรน, วาคีน, ลิเบอร์ตี้ และ ซัมเมอร์ พี่น้องตระกูลฟินิกซ์ต่างมีชื่อแนวฮิปปี้ ๆ และมาจากธรรมชาติ แต่วาคีนได้ชื่อภาษาสเปนเพราะเกิดที่เปอร์โตริโก วาคีนไม่ชอบที่ชื่อของเขาเรียกยากสำหรับชาวอเมริกันและอยากมีชื่อให้ดูเข้าพวกกับพี่น้อง ก็เลยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็น ลีฟ (Leaf หรือใบไม้) และใช้ชื่อนี้มาจนถึงช่วงวัยรุ่น ซึ่งตอนที่เขาแสดงซีรีส์เรื่องแรกร่วมกับพี่ชายก็ยังคงใช้ชื่อนี้ แต่ต่อมาก็ต้องเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อ วาคีน (Joaquin) เมื่อเขาย้ายไปอยู่เม็กซิโกในปี 1989 แล้วคนที่นั่นเรียกชื่อเขาแบบผิด ๆ ถูก ๆ   วาคีนมีความสามารถทางการแสดงเช่นเดียวกับพี่ชาย แต่วันที่ฮอลลีวูดจำชื่อของเขาได้แม่นกลับเป็นวันที่พี่ชายของเขาจากไป คลิปเสียงที่วาคีนโทรเรียก 911 เพื่อขอความช่วยเหลือ ยังคงสามารถหาฟังได้ใน YouTube การสูญเสียริเวอร์ไปทำให้วาคีนหยุดรับงานแสดงไปถึง 2 ปี ก่อนจะกลับมามีผลงานในปี 1995 กับเรื่อง To Die For ที่เขาว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่เขากลับมาในฐานะนักแสดงที่โตแล้วไม่ใช่นักแสดงเด็ก  จากนั้นในปี 2000 ชื่อของวาคีนก็ได้รับการพูดถึงจากการแสดงสุดโดดเด่นใน Gladiator (2000) ที่ทำให้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม วาคีนตอกย้ำความสามารถทางการแสดงในเรื่อง Walk the Line (2005) ที่ได้เข้าชิงออสการ์ สาขานักแสดงนำชาย แต่แทนที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางสปอตไลท์ เขากลับเลือกแสดงหนังที่ท้าทายความสามารถ ทำให้ชื่อของวาคีนมักวนเวียนอยู่แถวเวทีรางวัลมากกว่าหนังสือแทบลอยด์  วาคีนเป็นนักแสดงที่มีการแสดงแบบ “method” ที่ทุ่มเทให้กับบทจนทิ้งความเป็นตัวเอง และสวมบทบาทเป็นตัวละครนั้น ๆ แบบทุกลมหายใจจนกว่าจะเสร็จสิ้น แต่การพลิกบทครั้งสำคัญของเขาในเรื่อง I'm Still Here (2010) ที่กำกับโดย เคซีย์ อัฟเฟล็ค (Casey Affleck) (ที่ตอนนั้นมีศักดิ์เป็นน้องเขยของเขาเนื่องจากแต่งงานกับ ซัมเมอร์ ฟินิกซ์) เกือบทำให้วาคีนต้องแลกมาด้วยอาชีพการงาน เนื่องจากหนังเรื่องนี้เป็นหนังสารคดีแนว mockumentary หนังสารคดีปลอม ๆ ที่ตามติดชีวิตของเขาตั้งแต่ปี 2008 ที่ประกาศรีไทร์จากการแสดงจะผันตัวไปร้องเพลงแร็พ ซึ่งวาคีนเล่นเนียนไปหน่อยจนมีกระแสข่าวลือว่าเขาเป็นบ้ามีปัญหาทางจิต โดยเฉพาะการออกรายการสัมภาษณ์กับ เดวิด เลตเตอร์แมน (David Letterman) ในปี 2009 ที่เขาตอบคำถามแบบพิลึกพิลั่น จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว     Joaquin Phoenix's Letterman Disaster   เรื่องราวคลี่คลายเมื่อปี 2010 วาคีนกลับมาอีกครั้งในปี 2010 เพื่อโปรโมทหนังเรื่องนี้ และเฉลยว่าทุกอย่างเป็นการแสดง พร้อมขอโทษ เดวิด เลตเตอร์แมน ที่ต้องเข้ามามีเอี่ยวกับการแสดงในเรื่องนี้ด้วย แม้ว่าจะเป็นการแสดงที่ทุ่มสุดตัว แต่ว่าหนังกลับได้คำวิจารณ์แค่ในระดับปานกลาง อย่างไรก็ตามวาคีนก็ยังมีผลงานคุณภาพอยู่เรื่อย ๆ อย่าง Her (2013) และ You Were Never Really Here (2017) ที่เขาคว้ารางวัลนักแสดงชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ แต่ว่าความเป็นดาราติสต์แตกของวาคีนก็ยังคงเป็นที่รู้จักกันดีในการสัมภาษณ์ของนักข่าว เมื่อเขาออกอาการเฮี้ยนเดินออกจากการสัมภาษณ์อยู่เสมอเมื่อเจอคำถามไม่ถูกใจ อย่างในการโปรโมทภาพยนตร์เรื่อง Joker (2019) วาคีนเดินออกจากการสัมภาษณ์กับ The Telegraph เมื่อถูกถามว่า คิดว่าความรุนแรงในหนัง Joker จะสร้างพฤติกรรมเลียนแบบหรือไม่ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งเมื่อทางพีอาร์ของ Warner Bros. เข้าไปช่วยเจรจา ซึ่งวาคีนได้ตอบว่าที่เดินออกเป็นเพราะเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าจะตอบยังไงให้ดูฉลาด  ทางผู้กำกับ ท็อด ฟิลลิปส์ (Todd Phillips) ได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรม walk out ของ “โจ๊กเกอร์” ของเขา ที่ตอนนี้กำลังเป็นตัวเต็งว่าจะได้เข้าชิงในเวทีรางวัลต่าง ๆ ว่า เขาชินแล้วกับความติสต์ของวาคีน “ในระหว่างถ่ายทำเขาก็ชอบเดินออกไปเสมอแหละ แล้วนักแสดงคนอื่นก็ได้แต่คิดว่าพวกเขาทำผิดอะไร ซึ่งจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ความผิดพวกเขา มันเป็นเรื่องของวาคีน  เขาแค่รู้สึกว่ามันยังไม่ใช่” ฟิลลิปส์เผยว่าวาคีนก็มักจะออกไปพักสูดหายใจ แล้วค่อยกลับมาแสดงใหม่    [caption id="attachment_12309" align="alignnone" width="1254"] จากริเวอร์ถึงวาคีน สายน้ำและสายเลือดตระกูลฟีนิกซ์ ครอบครัวฟีนิกซ์ใน Seven Brides for Seven Brothers[/caption]   สายน้ำและสายเลือด   แม้ว่าวาคีนโด่งดังและมีชื่อเสียงจากความสามารถของตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องพ่วงชื่อว่าเขาเป็นน้องชายของริเวอร์อีกต่อไป ริเวอร์คือสายน้ำที่ไม่ไหลย้อนกลับ แต่ริเวอร์ก็ได้ส่งต่อมรดกมายังน้องชายให้ฮอลลีวูดได้มีนักแสดงที่เปี่ยมความสามารถขึ้นอีกคนจากตระกูลฟินิกซ์ วาคีนได้กล่าวสดุดียกความดีความชอบนี้ให้กับริเวอร์ระหว่างรับรางวัล TIFF Tribute Actor Award ที่ Toronto International Film Festival ว่า “เมื่อผมอายุ 15 หรือ 16 ปี ริเวอร์ พี่ชายของผมกลับบ้านหลังจากทำงานพร้อมกับม้วนวิดีโอเรื่อง 'Raging Bull’ เขาเรียกให้ผมนั่งลงและบังคับให้ผมดูมัน และวันรุ่งขึ้นเขาก็ปลุกผมขึ้นมาดูอีกครั้ง แล้วพูดว่า นายจะต้องเริ่มต้นแสดงอีกครั้ง นี่คือสิ่งที่นายจะต้องทำต่อไป เขาไม่ได้ขอให้ผมทำ แต่เขาแค่บอกว่ามันเป็นสิ่งที่ผมจะต้องทำ และผมเป็นหนี้เขาเพราะว่าการแสดงมันทำให้ผมมีชีวิตที่น่าทึ่ง”  วาคีนได้ให้สัมภาษณ์กับ Extra ถึงเหตุผลที่เขาขอบคุณพี่ชายที่ทำให้มีวันนี้ว่า “ผมเริ่มเข้าวงการด้วยการเป็นนักแสดงเด็ก และเมื่อผมเป็นวัยรุ่น ผมรู้สึกว่าผมไม่สนใจในบทวัยรุ่นที่มีในขณะนั้นเท่าไร แต่ริเวอร์ให้ความมั่นใจกับผม และยืนยันกับผมว่าเป็นสิ่งที่ผมต้องทำ มันยากที่จะเถียงเขาเพราะเขามั่นใจมาก ๆ และนั่นมันก็ทำให้ผมมีความอยากที่จะเอาดีทางการแสดงอีกครั้ง”   เรื่องโดย: ผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้   อ้างอิง https://www.theguardian.com/film/2018/oct/25/the-untold-story-of-lost-star-river-phoenix-25-years-after-his-death TIFF Tribute Gala Joaquin Phoenix | TIFF 2019 https://www.youtube.com/watch?v=5VAnZrrZlLs https://www.esquire.com/entertainment/movies/a27458589/once-upon-a-time-in-hollywood-leonardo-dicaprio-brad-pitt-quentin-tarantino-interview/ https://www.hellomagazine.com/profiles/joaquin-phoenix/ https://www.digitalspy.com/movies/a29152875/joker-joaquin-phoenix-interview-walkout/