30 พ.ย. 2561 | 22:25 น.
"ผมว่าผมรู้นะว่าผมติดเชื้อนี้มาได้ยังไง ผมมีเซ็กซ์กับหนุ่มหน้าตาดีคนนึงที่ไปเจอกันในโรงอาบน้ำ เขามาอยู่กับผมในช่วงสุดสัปดาห์ แล้วเขาก็มาลอสแอนเจลิสในช่วงเสาร์อาทิตย์อีกสองสามสัปดาห์ พอช่วงวันขอบคุณพระเจ้าเขาก็ยังมาอยู่ด้วยนะ แต่หลังจากนั้นผมก็ไม่เห็นหน้าเขาอีกเลย เขาทำให้ผมติดเชื้อตับอักเสบ และพนันได้เลยว่าเขาคือคนที่แพร่เชื้อชนิดใหม่นี้ให้ผมด้วย" ช่างทำผมที่ติดเชื้อ HIV ยุคแรกๆ ในสหรัฐฯ กล่าวกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค "เกทาน ดูกาส์" ช่างทำผมโชคร้ายเผยชื่อชายที่เขาเคยมีสัมพันธ์ทางเพศในปี 1980 "เขาเป็นสจ๊วตสายการบิน" โรคเอดส์ถือเป็นอะไรที่ใหม่มากในช่วงต้นของยุค 80 รายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับโรคนี้บอกว่ามันเป็นโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งพบมากในกลุ่มชายรักเพศเดียวกัน ทำให้มันถูกเรียกว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องในกลุ่มเกย์ (GRID: gay-related immunodeficiency) ซึ่งเป็นโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงมาก สถิติของ CDC บอกว่าถึงปี 1981 มีการพบผู้ป่วยโรคนี้ 335 ราย เสียชีวิตไปแล้ว 136 ราย โดยที่ผู้เชี่ยวชาญสมัยนั้นก็ไม่รู้ว่าต้นตอของมันเกิดจากอะไร และแพร่ระบาดด้วยวิธีการไหนแน่ และการที่โรคนี้ระบาดในหมู่เกย์ที่ใช้ยาเสพติดสูงกว่าเกย์ที่ไม่ใช้ก็ทำให้มีการสันนิษฐานว่า การติดเชื้อและยาเสพติดจะมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่? ผู้เชี่ยวชาญยังได้พบความเชื่อมโยงบางอย่างของโรคนี้ในทวีปแอฟริกานั่นก็คือโรคมะเร็งคาโปซิซาร์โคมา (Kaposi's sarcoma - โรคมะเร็งผิวหนังชนิดหนึ่งพบมากในคนที่ติดเชื้อ HIV) ซึ่งเคยเป็นโรคที่พบยากมากในสหรัฐฯ จนกระทั่งมีการระบาดในหมู่เกย์ ขณะเดียวกันมันเริ่มเป็นที่แพร่หลายในแอฟริกาเพียงไม่กี่ทศวรรษก่อนหน้า ที่ต่างก็คือโรคนี้ในแอฟริกาไม่ได้มีส่วนเชื่อมโยงกับการเป็นชายรักเพศเดียวกันเหมือนในสหรัฐฯ และพวกเขาก็ไม่แน่ใจว่าสาเหตุที่โรคนี้พบมากในแอฟริกาเป็นเพราะอะไร? จิ๊กซอว์สำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่ของ CDC มั่นใจว่ามันเป็นโรคระบาดเนื่องจากเพศสัมพันธ์ก็คือ "กาเทน ดูกาส์" (Gaétan Dugas) พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชาวแคนาดา ระหว่างที่นักวิจัยออกติดตามเบาะแสการแพร่ระบาดของโรคชนิดใหม่นี้ ชื่อของดูกาส์ถูกอ้างถึงอยู่หลายครั้ง แต่ทั้งหมดมาจากปากของคู่รักของคนไข้ที่ล้วนเสียชีวิตไปหมดแล้ว จนกระทั่งพวกเขาได้มาพบกับช่างทำผมจากซานฟรานซิสโก คนไข้ที่ยังมีชีวิตอยู่และเป็นคนหนึ่งที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับดูกาส์ เมื่อนักวิจัยตามไปจนเจอดูกาส์ เขาเล่าอย่างภาคภูมิใจว่าตัวเองเป็นคนที่มีเซ็กซ์กับคนจำนวนมากมายแต่ละปีอย่างน้อยๆ ก็ 250 คนไม่ซ้ำหน้า นับตั้งแต่เขาเป็นวัยรุ่นก็คงผ่านคู่ร่วมเพศมาราวๆ 2,500 คน ซึ่งตอนนั้น (ปี 1982) ดูกาส์ถูกวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งคาโปซิซร์โคมามาแล้วราว 2 ปี ซึ่งหมายความว่าเขาน่าจะติดเชื้อ HIV มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น แต่สุขภาพของเขาก็ยังแข็งแรงดี เมื่อถูกแนะนำให้งดเว้นการมีเพศสัมพันธ์เขาจึงบอกว่า "ผมจะมีเซ็กซ์ต่อไปอย่างแน่นอน" เพราะ "ไม่มีใครเคยพิสูจน์ได้เลยว่ามะเร็งมันแพร่ระบาดได้" แต่จากการพิสูจน์ของศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคพบว่า คนไข้เอดส์ทั้งหมด 248 รายแรกที่พบในสหรัฐฯ เคยมีเพศสัมพันธ์กับดูกาส์ ถึง 40 ราย และหลังจากนั้นเพียงหนึ่งปีสุขภาพของดูกาส์ก็ทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็วและเสียชีวิตลงในช่วงต้นปี 1984 เรื่องราวชีวิตเซ็กซ์ที่โลดโพนของดูกาส์ถูกบรรยายอย่างละเอียดในหนังสือ "And the Band Played On" โดย แรนดี ชิลตส์ (Randy Shilts) นักข่าวจากซานฟรานซิสโกซึ่งเป็นเกย์และติดเชื้อ HIV เช่นกัน หนังสือเล่มนี้เผยแพร่ครั้งแรกในปี 1987 ซึ่งชิลตส์โจมตีผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการระบาดอย่างรุนแรง ทั้งพฤติกรรมทางเพศของชาวเกย์ที่ปฏิเสธความรับผิดชอบต่อสังคม รวมไปถึงหน่วยงานรัฐที่เพิกเฉยอยู่นานจนกระทั่งโรคระบาดในระดับที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้วถึงเริ่มขยับตัว ในทางหนึ่งหนังสือเล่มนี้มีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยให้สังคมหันมาให้ความสนใจกับโรคเอดส์อย่างจริงจัง และช่วยส่งเสริมการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ดูกาส์ถูกสังคมประณามจากภาพที่เขาถูกบรรยายว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวและจงใจที่จะแพร่โรคร้ายโดยเจตนา แต่การที่เขาถูกอ้างถึงว่าเป็น "คนไข้หมายเลขศูนย์" ถือเป็นความเข้าใจผิด เนื่องจากในงานวิจัยปี 1984 ที่กล่าวถึง "Patient 0" (โดยไม่ได้เผยชื่อคนไข้ แต่เป็นหนังสือของชิลต์ที่ระบุชื่อของดูกาส์) จริงๆ แล้วเป็นการพิมพ์ผิด ที่ถูกคือ "Patient O" โดยตัว O ย่อมาจาก "outside" หมายถึงคนไข้ที่อยู่นอกแคลิฟอร์เนีย เพราะตัวนักวิจัยเองก็บอกว่าดูกาส์ไม่น่าจะใช่ต้นตอของโรค และงานวิจัยในปี 2016 ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เชื้อ HIV ของดูกาส์เป็นสายพันธุ์ที่ระบาดอยู่ก่อนแล้วในทวีปอเมริกากว่าสิบปี "งานชิ้นนี้ได้มอบหลักฐานเพิ่มเติมให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่ 57 ซึ่งถูกระบุทั้งด้วยตัว 'โอ' และเลข 'ศูนย์' ไม่ใช่คนไข้หมายเลขศูนย์สำหรับการระบาดในอเมริกาเหนือ" ริชาร์ด แมคเค (Ricard McKay) นักประวัติศาสตร์และผู้ร่วมวิจัยในงานชิ้นนี้จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์กล่าว (The Guardian) ก่อนเสริมว่า ดูกาส์น่าจะเป็นเพียงผู้ติดเชื้อหนึ่งในหลายพันคนที่ติดเชื้อมานานก่อนที่คนจะรู้ว่าเชื้อชนิดนี้คืออะไรกันแน่ แมคเคกล่าวเตือนด้วยว่า "อันตรายจากการมุ่งเป้าไปที่คนไข้หมายเลขศูนย์เวลาถกเถียงถึงการแพร่ระบาดของโรคในชั้นต้นก็คือ เราเสี่ยงที่จะไปทำให้ปัจจัยสำคัญเชิงโครงสร้างอื่นๆ ถูกมองข้ามไปว่ามันมีส่วนต่อพัฒนาการของโรคอย่างไร เช่นเรื่องของความยากจน ความไม่เท่าเทียมเชิงวัฒนธรรม อุปสรรคในการเข้าถึงบริการสาธารณสุขและการศึกษา" ภาพประกอบ : กฤติเดช อัครบุตร