อัลบริดจ์ เกอร์รี บิดาแห่งการเอาเปรียบด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง

อัลบริดจ์ เกอร์รี บิดาแห่งการเอาเปรียบด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง

บิดาแห่งการเอาเปรียบด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง

ในระบอบประชาธิปไตยแบบมีผู้ตัวแทน การได้มาซึ่งตัวแทนนับเป็นสิ่งสำคัญ และขั้นตอนหนึ่งที่อาจเป็นการชี้เป็นชี้ตายเลยว่าใครจะได้ขึ้นมาเป็นตัวแทนก็คือ "การแบ่งเขตเลือกตั้ง" การแบ่งเขตเลือกตั้งโดยปกติแล้วก็ควรต้องคำนึงถึงทั้งด้านภูมิศาสตร์ ประชากร รวมไปถึงเรื่องของประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม เพื่อที่คนกลุ่มเดียวกันจะได้มีตัวแทนที่เห็นปัญหาร่วมกันจากมุมมองคล้ายๆ กัน แต่อำนาจในการแบ่งเขตเลือกตั้งมักอยู่ในมือของรัฐบาล (บางประเทศก็อาจอยู่ในคราบขององค์กรอิสระที่เป็นมือไม้ของรัฐบาลอีกที) ทำให้การแบ่งเขตเลือกตั้งหลายกรณีไม่ได้เป็นเพื่อประโยชน์ของประชาชน แต่เพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองเป็นสำคัญ สมมติเช่นในจังหวัดหนึ่งมีชนกลุ่มน้อย "ก" อย่างหนาแน่น จำนวนมากพอที่จะมีตัวแทนได้ 1 คน แต่พรรคการเมืองที่มีอำนาจเป็นพวกต่อต้านชนกลุ่มน้อย จึงจัดการลากเส้นเขตเลือกตั้งผ่ากลางชุมชนของชุนกลุ่มน้อยแบ่งออกเป็นสามส่วน แล้วให้แต่ละส่วนไปขึ้นกับเขตใหญ่ที่พรรคการเมืองที่มีอำนาจมีฐานเสียงมากกว่าอย่างล้นหลามแทน ด้วยวิธีการนี้ พรรคที่มีอำนาจก็จะแน่ใจได้ว่า ชาว "ก" จะไม่สามารถผลักดันตัวแทนของตนให้ขึ้นมามีอำนาจได้ การจงใจแบ่งเขตเพื่อหาความได้เปรียบให้กับพรรคของตัวเองแบบนี้มีมานานนับร้อยปี และคนที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น "บิดาแห่งการเอาเปรียบด้วยการแบ่งเขตเลือกตั้ง" เช่นนี้ก็คือ อัลบริดจ์ เกอร์รี (Elbridge Gerry) อดีตรองประธานาธิบดีของสหรัฐฯ และอดีตผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ เกอร์รี เป็นลูกผู้อพยพชาวอังกฤษ เกิดเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1744 ที่มาร์เบิลเฮด (Marblehead) ในรัฐแมสซาชูเซตส์ ครอบครัวของเขาทำธุรกิจเรือขนส่งสินค้าที่ร่ำรวย พ่อของเขาก็เป็นผู้นำชุมชน เกอร์รีเล่าเรียนกับครูส่วนตัวก่อนเข้าเรียนในฮาร์วาร์ดแล้วไปทำธุรกิจกับที่บ้านก่อนลงเล่นการเมือง และมีส่วนร่วมกับการปฏิวัติซึ่งนำไปสู่การก่อตั้งประเทศสหรัฐอเมริกา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครองเกอร์รีเว้นวรรคทางการเมืองไประยะหนึ่ง ก่อนมาลงสมัครเป็นผู้ว่าการรัฐแมสซาชูเซตส์ในนามพรรคเดโมแครติก-รีพับลิกัน (ยุบพรรคไปแล้ว) แต่สอบตกอยู่สี่รอบก่อนได้รับเลือกให้เป็นผู้ว่าการรัฐแมตซาชูเซตส์สมัยแรกเมื่อปี 1810 (สมัยนั้นดำรงตำแหน่งวาระละ 1 ปีเท่านั้น) และในระหว่างที่เขารับตำแหน่งเป็นสมัยที่สองนั้น เขาได้อนุมัติการปรับแผนที่แบ่งเขตการเลือกตั้งวุฒิสมาชิกในระดับรัฐเพื่อสร้างความได้เปรียบให้กับพรรคตัวเอง (ซึ่งตามประวัติว่ากันว่า เกอร์รีเองแม้จะลงนามแต่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับแผนการของพรรคมากนักเลยเอาเรื่องนี้ไปบ่นกับลูกเขย - The New York Times) การกระทำของเขาถูกวิจารณ์อย่างหนัก Boston Gazette สื่อท้องถิ่นในสมัยนั้นเอาภาพแผนที่แบ่งเขตดังกล่าวไปล้อเลียนแต่งเติมด้วยการใส่หัวใส่ขาใส่ปีกให้เป็นสัตว์ประหลาดหน้าตาคล้ายซาลาแมนเดอร์ และเรียกการกระทำของเกอร์รีโดยเอาชื่อสกุลคือ "เกอร์รี" มาผสมกับคำว่า (ซาลา) "แมนเดอร์" กลายเป็นคำว่า "เกอร์รีแมนเดอร์" (gerrymander) คำที่ถูกใช้สืบเนื่องต่อมากกว่าสองร้อยปี หมายถึง การแบ่งเขตเลือกตั้งโดยไม่คำนึงถึงเขตแดนธรรมชาติตามสมควรแต่เน้นประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลัก ใช่แล้ว! คำนี้ถ้าจะออกเสียงตามชื่อสกุลเขาจริงๆ ก็ควรออกเสียงว่า "เกอร์รีแมนเดอร์" แต่ปัจจุบันคนส่วนใหญ่มักจะออกเสียงว่า "เจอร์รีแมนเดอร์" เพราะตัว g เมื่อตามด้วย e แล้วมักจะออกเสียง "เบา" เหมือน "จ. จาน" เช่น germ ก็ออกเสียงว่า "เจิม" หรือ gender ก็ออกเสียงว่า "เจนเดอร์" เป็นต้น ด้วยเหตุนี้เวลามีคนวิจารณ์การแบ่งเขตเลือกตั้งขึ้นมา ผู้ที่สนับสนุนการแบ่งเขตบางทีเลือกที่จะไม่อธิบายถึงความเหมาะสมก่อน แต่กลับไปตอบโต้เรื่องการออกเสียงผิดเป็นอันดับแรก แม้จะถูกจดจำในแง่ลบแต่เกอร์รีจริงๆ แล้วก็มีส่วนดีๆ อยู่หลายเรื่องโดยเฉพาะในขั้นตอนการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งตอนแรกเขาต่อต้านอย่างแข็งขันเพราะกลัวว่ามันจะเป็นเครื่องมือที่นำไปสู่การรวบอำนาจ ลิดรอนสิทธิประชาชน และลดอำนาจของรัฐสมาชิก และเสนอให้มีการบัญญัติรับรองสิทธิพลเมืองในรัฐธรรมนูญเสียก่อน แต่ด้วยความหวาดกลัวว่าถ้ารัฐสมาชิกไม่ยอมให้สัตยาบันก็อาจนำไปสู่ความแตกแยกวุ่นวาย เขาจึงหันมาให้การสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญจนกระทั่งมีการให้สัตยาบันเรียบร้อยเขาจึงได้มีส่วนร่วมในการร่าง "Bill of Rights" บัญญัติว่าด้วยสิทธิพลเมืองสหรัฐฯ ซึ่งเป็นบทบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญชุดแรกตามที่เขาตั้งใจ ทั้งนี้ หลังการแบ่งเขตเลือกตั้งอันลือลั่นในปี 1812 เกอร์รีสอบตกในการลงสมัครผู้ว่าฯ สมัยที่สาม แต่เขาก็ได้รับเลือกจากพรรคให้เป็นลงแข่งตำแหน่งรองประธานาธิบดีสหรัฐฯ คู่กับ เจมส์ เมดิสัน ซึ่งทั้งคู่ได้ชัยชนะสมใจ อย่างไรก็ดี หลังเกอร์รีปฏิบัติหน้าที่ได้ไม่นานถึงช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 1814 เขาเริ่มมีอาการป่วย ในวันที่ 23 เขาบ่นว่ามีอาการเจ็บหน้าอกแต่ก็ยังเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ แต่เมื่อเห็นว่าตนคงไม่อาจร่วมประชุมวุฒิสภาได้จึงขอตัวกลับที่พักและเสียชีวิตลงในระหว่างนั้น (Senate)