03 ก.พ. 2566 | 16:57 น.
- แนวคิดเรื่องการกรองอากาศเกิดขึ้นตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ต่อเนื่องมาจนถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ยังไม่มีการใช้แพร่หลายในบ้านเรือน
- สองพี่น้องตระกูล ‘แฮมเมส’ (Hammes) เป็นผู้บุกเบิกเทคโนโลยีเครื่องฟอกอากาศสำหรับใช้ในบ้านเป็นครั้งแรกในโลก หลังจากหนึ่งในสองคนนี้ต้องทุกข์ทรมานจากโรคหอบหืดมาตลอดชีวิต
เครื่องฟอกอากาศส่วนบุคคลและเครื่องช่วยหายใจ ปรากฏขึ้นครั้งแรกในช่วงทศวรรษ 1700 และ 1800 ซึ่งตรงกับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม
ในเวลานั้นเหล่านักประดิษฐ์เห็นพ้องต้องกันว่า ถึงเวลาแล้วที่วิศวกร กะลาสี และคนงานตามโรงงานต่าง ๆ ต้องมีอุปกรณ์ปกป้องระบบทางเดินหายใจของตัวเองเสียที
หลังจากคนเหล่านี้ต้องทนสูดดมอากาศที่เป็นพิษเข้าสู่ร่างกาย ผลจากการนำสิ่งประดิษฐ์เครื่องจักรกลมาใช้ในกระบวนการผลิตและการดำเนินชีวิตประจำวันมากขึ้น โดยมีการพึ่งพาเชื้อเพลิงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ถ่านหิน น้ำมันเตา น้ำมันปิโตรเลียม
ก่อนจะมาเป็นเครื่องฟอกอากาศ
ช่วงกลางทศวรรษ 1800 ‘เลวิส ฮาสเลตต์’ (Lewis Haslett) ชาวอเมริกัน ได้ประดิษฐ์ 'อุปกรณ์ช่วยหายใจ' ขึ้น มันทำงานคล้ายกับหน้ากากป้องกันแก๊สพิษสมัยใหม่ แต่วัสดุกรองจะใช้ขนสัตว์หรือวัสดุที่มีรูพรุนนำมาชุบน้ำเพื่อดักจับมลพิษที่มีอนุภาคเป็นของแข็ง เช่น ฝุ่น
อุปกรณ์หน้าตาเทอะทะพร้อมวาล์วของฮาสเลตต์ได้รับการจดสิทธิบัตรว่า ‘เครื่องช่วยหายใจหรือป้องกันปอด (Inhaler or Lung Protector) เป็นสิทธิบัตรแรกของสหรัฐฯ
ต่อมา 'ฮัตสัน เฮิร์ด' (Hutson Hurd) ได้ต่อยอดสิ่งประดิษฐ์ของ ‘เลวิส ฮาสเลตต์’ จนออกมาเป็นหน้ากากทรงถ้วยสำหรับคนงานในโรงงานอุตสาหกรรม
แต่ที่เป็นจุดเปลี่ยนจริง ๆ เห็นจะเป็นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งระหว่างการทดลองอาวุธนิวเคลียร์ กองทัพสหรัฐฯได้พัฒนาแผ่นกรองอากาศ HEPA Filter (High Efficiency Particulate Air Filter) ซึ่งเป็นแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูงผลิตจากแร่ใยหิน เพื่อป้องกันกัมมันตภาพรังสีและสารเคมีที่ใช้ในสงคราม
อย่างไรก็ตาม เมื่อคนเริ่มตระหนักถึงความอันตรายจากแร่ใยหิน จึงมีการนำเส้นใยและวัสดุอื่น ๆ มาใช้แทน
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง รัฐบาลสหรัฐฯจึงอนุญาตให้ผู้ผลิตจากภาคเอกชนสามารถเข้าถึง HEPA Filter ได้ และหลังจากนั้นมันก็ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว
มีการอ้างว่า แผ่นกรองอากาศ HEPA Filter มีประสิทธิภาพในการกำจัดอนุภาคได้ถึง 99.97%
ถึงกระนั้น เทคโนโลยีกรองอากาศก็ยังไม่ถูกนำมาใช้ตามบ้านเรือน
ต้นกำเนิดเครื่องฟอกอากาศ IQAir
ในยุค 1960 สองพี่น้อง ‘แมนเฟรด แฮมเมส’ (Manfred Hammes) และ ‘เคลาส์ แฮมเมส’ (Klaus Hammes) ชาวเยอรมนี ได้ประดิษฐ์เครื่องกรองอากาศสำหรับใช้ในบ้านเป็นครั้งแรกในโลก
สิ่งประดิษฐ์นี้เกิดขึ้นเมื่อ ‘แมนเฟรด’ ซึ่งป่วยเป็นโรคหอบหืดมาตลอดชีวิต สังเกตว่าการที่เขานำตัวกรองอากาศไปติดไว้ที่ช่องระบายควัน หวังให้ช่วยลดฝุ่นควันและคราบเขม่าสีดำในเตาอบ กลับช่วยทำให้อาการหอบหืดและภูมิแพ้ของเขาสงบลงด้วย
เขาจึงร่วมมือกับ ‘เคลาส์’ ซึ่งเป็นวิศวกรเครื่องกล ประดิษฐ์ตัวกรองอากาศสำหรับเตาอบในครัวเรือน
ตัวกรองอากาศในเตาอบของพี่น้องตระกูล 'แฮมเมส' ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว เพราะผู้บริโภคแห่ซื้อไปใช้เพื่อปรับปรุงคุณภาพอากาศภายในอาคาร
ทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งบริษัท IQAir ในปี 1963 ซึ่งนับเป็นก้าวแรกในการบุกเบิกอุตสาหกรรมการฟอกอากาศในปัจจุบัน
ปี 1982 หลัง 'แมนเฟรด' เสียชีวิต คลอสยังคงขยายธุรกิจต่อไป โดยเขาได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นฐานขยายไปยังประเทศที่เหลือในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ควบคู่กับการพัฒนาเครื่องกรองอากาศให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น เพื่อนำไปใช้ในระบบทำความร้อนและระบบทำความเย็นต่าง ๆ
ช่วงต้นทศวรรษ 1990 กิจการของครอบครัวได้ถูกส่งต่อไปยังคนอีกรุ่น
'แฟรงก์ แฮมเมส' (Frank Hammes) ซึ่งเป็นลูกชายคนโตของ 'เคลาส์' จบจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ได้เข้าทำงานในบริษัท เขาได้ขยายการวิจัยและพัฒนา ตลอดจนการผลิตสินค้าในองค์กร
นวัตกรรมแรกของ 'แฟรงก์' คือไส้กรองอากาศในห้องโดยสารรถเมอร์ซิเดซเบนซ์ในอเมริกาเหนือ
ฤดูใบไม้ผลิปี 1998 IQAir ได้จัดส่งเครื่องฟอกอากาศประสิทธิภาพสูงเครื่องแรกจากโรงงานในสวิตเซอร์แลนด์นั่นคือ IQAir HealthPro ซึ่งออกแบบโดย 'แฟรงก์'
เครื่องฟอกอากาศดังกล่าวได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จเหนือคู่แข่ง
ปี 2011 'เจนส์ แฮมเมส' (Jens Hammes) ลูกชายคนที่สองของ 'เคลาส์' ได้เข้าทำงานกับบริษัทอีกคน และได้ช่วยขยาย IQAir ไปยังเอเชียและตะวันออกกลาง
IQAir สร้างชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังเอเชียเผชิญกับการระบาดของโรคทางเดินหายใจที่รู้จักกันในชื่อ ‘ซาร์ส’ (SARS)
ในเวลานั้น โรงพยาบาลและสถานพยาบาล 150 แห่งในฮ่องกง เลือกใช้ระบบฟอกอากาศของ IQAir เพื่อช่วยหยุดยั้งการระบาดของซาร์ส
ปัจจุบัน IQAir ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีเชี่ยวชาญด้านการป้องกันมลพิษทางอากาศ มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตรวจวัดคุณภาพอากาศและผลิตภัณฑ์ฟอกอากาศจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังเป็นผู้ดำเนินการแพลตฟอร์มข้อมูลคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ที่พวกเราคุ้นเคยอย่าง 'AirVisual' ซึ่งผู้คนนิยมใช้เป็นอย่างมากในช่วงที่ต้องเผชิญกับ PM2.5
อ้างอิง: