20 พ.ย. 2561 | 16:03 น.
ไวตี บัลเจอร์ (Whitey Bulger) ถือเป็นอาชญากรที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดคนหนึ่งสหรัฐฯ เขาเคยติดอันดับคนร้ายที่เอฟบีไอต้องการตัวมากที่สุดเป็นอันดับสอง เป็นรองแค่ อุซามะฮ์ บิน ลาดิน อดีตผู้นำกลุ่มอัลกออิดะฮ์เท่านั้น และยังเป็นต้นแบบของ แฟรงก์ คอสเตลโล มาเฟียตัวร้ายใน The Departed ที่ดัดแปลงจาก "สองคนสองคม" (Infernal Affairs) ภาพยนตร์ฮ่องกงชื่อดังอีกด้วย ชื่อ "ไวตี" ของบัลเจอร์ เป็นฉายาไม่ใช่ชื่อจริง เป็นชื่อที่ได้มาจากผมสีบลอนด์ ส่วนชื่อจริงของเขาคือ เจมส์ โจเซฟ บัลเจอร์ เจอาร์. (James Joseph Bulger Jr.) เกิดในย่านชาวอเมริกันเชื้อสายไอริช ที่ดอร์เชสเตอร์ (Dorchester) แมสซาชูเซตส์ เมื่อวันที่ 3 กันยายน 1929 เขาเป็นเด็กมีปัญหามาตั้งแต่เด็ก ชอบอยู่ข้างถนนมากกว่าในห้องเรียน หัดก่ออาชญากรรมตั้งแต่อายุน้อยๆ เริ่มจากการเข้าไปอยู่ในแก๊งนักเลง ขโมยรถ ฉกชิงวิ่งราวจนถูกส่งเข้าโรงเรียนดัดสันดาน เมื่ออายุได้ 20 ปี จึงได้เข้าไปอยู่กับกองทัพอากาศก่อนถูกปลดประจำการเพราะละทิ้งหน้าที่ หลังจากนั้น เขาออกมาหากินด้วยการปล้นธนาคารหลายแห่งในแมสซาชูเซตส์ โรดไอส์แลนด์ และอินเดียนา ก่อนถูกจับต้องคำพิพากษาจำคุก 20 ปี แต่ได้รับโทษจริง 9 ปี โดย 3 ใน 9 ปี เป็นการรับโทษในคุกดังอย่าง "อัลคาทราซ" ด้วย พ้นจากห้องกรงมาได้ บัลเจอร์เข้าไปอยู่กับ แก๊งวินเทอร์ ฮิลล์ (Winter Hill) ก่อนเริ่มจับมือเป็นคู่หูกับ สตีเฟน เจ. เฟลมมิง (Stephen J. Flemming) จนได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำแก๊ง ซึ่งระหว่างนี้ (ราวกลางยุค 70) เขาและเฟลมมิงเริ่มทำตัวเป็นสายให้กับเอฟบีไอส่งข้อมูลของมาเฟียคู่แข่งให้ทางการ แลกกับการเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับการก่ออาชญากรรมของพวกเขา ก่อนที่เรื่องราวการก่ออาชญากรรมของเขาจะเป็นที่รับรู้ในวงกว้าง เรื่องราวของเขามีแต่เสียงร่ำลือว่าเขาเป็นโจรสายขาวราวกับ "โรบินฮูด" เขาคือคนแจกจ่ายไก่งวงให้กับชาวบ้านในวันขอบคุณพระเจ้าเป็นประจำ คอยปกป้องคนที่อ่อนแอจากคนพาล (รวมถึงเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ชาวบ้านเกลียดชัง) การทำผิดกฎหมายก็ต้องทำผิดแบบ "ดีๆ" จะค้ายาในพื้นที่ของเขาก็ต้องเป็น "ยาดี" อย่างโคเคน ส่วน "ยาสกปรก" อย่างเฮโรอีนถือเป็นสิ่งต้องห้ามเพราะต้องเสพด้วยการใช้เข็มฉีดยาที่แปดเปื้อนเลือดและเป็นตัวแพร่เชื้อโรค และเขายังห้ามการค้ายากับเด็ก บัลเจอร์และพวกแพร่อิทธิพลอยู่ได้เป็นสิบๆ ปี ด้วยเส้นสายในเอฟบีไอ โดยเฉพาะ จอห์น คอนเนลลี (John Connelly) เพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ และเป็นผู้ที่ดึงบัลเจอร์มาเป็นสายให้ทางการ นอกจากนี้เขายังมีน้องชาย วิลเลียม "บิลลี" บัลเจอร์ (William "Billy" Bulger) ที่เป็นนักการเมืองที่ทรงอิทธิพลที่สุดคนหนึ่งของรัฐ ในฐานะประธานวุฒิสภาแมสซาชูเซตส์ และอธิการบดีของมหาวิทยาลัยแมสซาชูเซตส์อยู่เบื้องหลัง และในปี 1994 เมื่อทางเอฟบีไอมีแผนที่จะดำเนินคดีกับบัลเจอร์ คอลเนลลีก็เป็นผู้ที่แจ้งเบาะแส ทำให้บัลเจอร์หลบหนีการถูกดำเนินคดีไปได้อย่างหวุดหวิด บัลเจอร์และแฟนสาว แคเธอรีน เกรก (Catherine Greig) ทำศัลยกรรมพลาสติกเพื่ออำพรางใบหน้าก่อนหายตัวไปเป็นเวลานานนับสิบปี มีรายงานการพบเห็นตัวเขาในหลายที่เป็นระยะๆ ทั้งในยุโรป แคนาดา เม็กซิโก และหลายพื้นที่ของสหรัฐฯ แต่ก็ไม่มีใครรู้แน่ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำให้เอฟบีไอต้องตั้งค่าหัวเขาไว้สูงถึง 2 ล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นค่าหัวที่สูงที่สุดสำหรับผู้ต้องหาหนีหมายจับภายในประเทศ กรณีของบัลเจอร์สร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์ของเอฟบีไอเป็นอย่างมาก เพราะสะท้อนถึงปัญหาการทุจริตของเจ้าหน้าที่ภายใน รวมถึงประสิทธิภาพในการทำงานหลังปล่อยให้คนร้ายอย่างบัลเจอร์ลอยนวลอยู่ได้กว่า 16 ปี ในปี 2011 พวกเขาจึงเปลี่ยนยุทธวิธีในการจับกุมบัลเจอร์ โดยหันมาให้ความสนใจกับแฟนสาวของเขาแทน พฤติกรรมติดการเสริมสวยและการทำฟันของแคเธอรีน เกรก ปรากฏอยู่ในประกาศกว่า 350 ชุด ในเมืองใหญ่ 14 เมือง ออกอากาศทางโทรทัศน์ในช่วงกลางวัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หญิงมีอายุรับชมมากที่สุด เอฟบีไอยังขึ้นค่าหัวเธอเป็นสองเท่าขึ้นมาอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์ กลยุทธ์นี้ได้ผล หลังได้รับการแจ้งเบาะแส เจ้าหน้าที่สามารถบุกจับกุมทั้งคู่ไว้ได้โดยละม่อมในวันที่ 22 มิถุนายนปีเดียวกัน ที่อพาร์ตเมนต์ในซานตา โมนิกา แคลิฟอร์เนีย สภาพของบัลเจอร์เปลี่ยนไปมาก ทั้งมีพุง หัวล้านเถิก และย้อมผมเป็นสีดำ ตรงข้ามกับฉายา "ไวตี" ของเขา ภายในห้องพักของทั้งคู่เจ้าหน้าที่พบเงินสดจำนวน 822,000 ดอลลาร์ เอกสารประจำตัวปลอม และอาวุธปืนสั้นปืนยาวอีกจำนวนมาก เขาถูกดำเนินคดีในสารพัดข้อหา ทั้งซ่องโจร กรรโชกทรัพย์ ฟอกเงิน และการฆาตกรรมเหยื่อ 19 ราย ซึ่งเขาให้การปฏิเสธ ระหว่างการพิจารณาคดีเขาต้องนั่งฟังอดีตลูกน้องคนสนิทขึ้นให้การปรักปรำเขา ทำให้บางครั้งเขาต้องลุกขึ้นตอบโต้ แต่ไม่ยอมขึ้นเบิกความเอง และยืนยันว่าเขาไม่ได้เป็นสายให้กับทางการ เพราะการเป็น "หนูทรยศ" ถือเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจที่สุดสำหรับ "คนใต้" (Southie - ย่านที่อยู่ของคนเชื้อสายไอริชทางตอนใต้ของบอสตัน) ในเดือนสิงหาคม 2013 คณะลูกขุนมีมติให้บัลเจอร์มีความผิดในการกระทำผิด 31 กรรม รวมถึงคดีฆาตกรรมเหยื่อจำนวน 11 ราย ก่อนศาลมีคำพิพากษาในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกันให้เขาต้องจำคุกตลอดชีวิต 2 วาระ กับอีก 5 ปี (ระบบการรับโทษของสหรัฐฯ นักโทษชั้นดีมีสิทธิขอปล่อยตัวจากการคุมขังโดยติดทัณฑ์บนไว้ได้เมื่อรับโทษมาระยะหนึ่งรวมถึงผู้ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต การลงโทษจำคุกตลอดชีวิตใน 2 วาระก็เพื่อลดโอกาสที่นักโทษจะได้รับการปล่อยตัวก่อนที่จะรับโทษเต็ม เนื่องจากเป็นการรับโทษจำคุกที่ "ต่อเนื่องกัน" ไม่ได้นับระยะเวลาตั้งต้นพร้อมกัน) แต่บัลเจอร์ซึ่งถูกย้ายเรือนจำอยู่บ่อยๆ ก็มีโอกาสรับโทษตามคำสั่งศาลได้ไม่นาน ในวันที่ 30 ตุลาคม 2018 เขาถูกพบในสภาพถูกทุบตีจนแทบจำสภาพไม่ได้ และเสียชีวิตลงด้วยวัย 89 ปี ภายในเรือนจำเฮเซลตัน (Hazelton) ในเวสต์เวอร์จิเนีย เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่เขาถูกส่งตัวมารับโทษที่นี่ ซึ่งผู้ต้องสงสัยก็เป็นไปได้สูงที่จะเป็นสมาชิกแก๊งมาเฟียที่เกลียดชังคนที่ถูกตราหน้าว่า "หนูทรยศ" เป็นสายให้กับตำรวจอย่างเขา ทั้งนี้ ชีวิตของบัลเจอร์กลายเป็นแรงบันดาลใจในงานวรรณกรรมและโลกบันเทิงอยู่มากมาย “แฟรงก์ คอสเตลโล” ตัวละครในภาพยนตร์เรื่อง “The Departed” ซึ่งเป็นไอริชมาเฟียบอสแห่งบอสตันก็ได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของบัลเจอร์เช่นกัน แม้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะดัดแปลงมาจากภาพยนตร์ฮ่องกง และชื่อของตัวละครจะไปพ้องกับ “แฟรงก์ คอสเตลโล” อิตาเลียนมาเฟียแห่งนิวยอร์กที่มีตัวตนจริงๆ ก็ตาม ที่มา https://www.economist.com/obituary/2018/11/08/obituary-whitey-bulger-died-on-october-30th https://www.nytimes.com/2018/10/30/obituaries/whitey-bulger-dead.html https://www.nytimes.com/aponline/2018/11/08/us/ap-us-whitey-bulger-funeral.html https://www.nytimes.com/2018/11/02/us/whitey-bulger-death-john-connolly.html