17 ก.ค. 2566 | 14:24 น.
- การค้นพบ ‘กวนเกษียรสมุทร’ และซากโบราณสถานกลางทุ่งนาที่บ้านหนองโก ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ทำให้เกิดหัวข้อการแลกเปลี่ยนในทางประวัติศาสตร์ และอีกหลายมิติ
- หากพิจารณาข้อมูลบางส่วน พบแนวโน้มว่า กวนเกษียรสมุทร จะเป็นจุดเปลี่ยนด้านความรับรู้ต่อประวัติศาสตร์อีสานในอนาคตต่อไป
(เหมือนจะเป็น) ‘บทนำ’
แม้ว่าอาจจะดูเร็วไปในการที่จะนำเสนอประเด็นวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการ สำหรับกรณีการพบซากโบราณสถานกลางทุ่งนาแห่งหนึ่งที่บ้านหนองโก ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น แต่เนื่องจากหากรอให้มีข้อมูลหลักฐานสมบูรณ์พร้อมแล้วถึงค่อยมีงานวิชาการออกมาแล้วล่ะก็ คงต้องรอไปจนชาติหน้าตอนบ่าย ๆ ถึงจะสามารถมีงานเขียนทางวิชาการออกมาได้
ในความเป็นจริงไม่มีสักที่หรอกที่จะมีข้อมูลหลักฐานสมบูรณ์พร้อม ตรงข้าม เพราะความที่ยังขาดแคลนอะไรแบบนั้นต่างหากที่ก่อให้เกิดช่องว่างให้แก่ความพยายามที่จะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปนั้น สำหรับผู้เขียนแล้วยังเป็นเรื่องท้าทายที่จะนำเสนอการวิเคราะห์อย่างเป็นวิชาการในท่ามกลางความขาดแคลนดังกล่าวนี้
โดยเฉพาะการชี้ให้เห็นว่า การพบร่องรอยโบราณสถานประเภทปราสาทเขมรในบริเวณจังหวัดที่ถือเป็นย่านใจกลางของภาคอีสานของประเทศไทยนั้น จะก่อเกิดเป็นจุดเปลี่ยนอย่างไรในแง่ความรับรู้ทางประวัติศาสตร์ในสนาม (Field) ที่เกี่ยวข้อง เมื่อ ‘โลกศักดิ์สิทธิ์’ ตามคติความเชื่อมาปรากฏซ้อนทับและนำเสนออยู่คู่กับ ‘โลกสามัญ’ ในความเป็นจริง
ในงานชิ้นสำคัญของอาร์เธอร์ มาร์วิค (Arthur Marwick) ที่ใช้อภิปรายถึงวิธีวิทยาของประวัติศาสตร์ อย่างเล่ม ‘The New Nature of History: Knowledge, Evidence, Language’ ได้กล่าวไว้ที่หนึ่งว่า ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนักประวัติศาสตร์กับงานศิลปกรรมตั้งอยู่บน 3 ทิศทางดังนี้:
(1) ศิลปกรรม (ที่ทราบแน่ชัดว่ามีมาตั้งแต่อดีต) สามารถใช้เป็นหลักฐานชั้นต้นในการศึกษาประวัติศาสตร์สังคมได้เป็นอย่างดี
(2) ประวัติศาสตร์สามารถให้รายละเอียดบริบทเกี่ยวกับสังคมอดีตซึ่งผลิตรูปแบบการสร้างสรรค์งานศิลปกรรมชิ้นนั้น ๆ ดังนั้น ประวัติศาสตร์จึงมีคุณูปการต่อการศึกษาศิลปกรรมด้วย
(3) ศิลปกรรมสามารถศึกษาโดยนักประวัติศาสตร์ในฐานะเครื่องชี้วัดประสบการณ์เฉพาะของคนในสังคมอดีต หรือนักประวัติศาสตร์หลายคนตระหนักถึงความสำคัญของการผลิต การจัดตั้งองค์กร ระบบอุปถัมภ์หรือสนับสนุน ตลอดจนการบริโภคงานศิลปกรรมที่มีความเฉพาะเจาะจงในสังคมอดีต
‘โนนพระแท่น’ บนเส้นทางรอยต่อประวัติศาสตร์กัมพูชา-สยาม
สิ่งที่เราทราบกันอย่างคร่าวๆ เกี่ยวกับภูมิภาคที่กลายมาเป็น ‘อีสาน’ ของไทยในปัจจุบันนี้ก็คือว่า เมื่อครั้งอดีตราวก่อนปลายพุทธศตวรรษที่ 20 ร่นขึ้นไป บริเวณดังกล่าวนี้เป็นปริมณฑล (Mandala) หนึ่งของเขมรโบราณ ปรากฏร่องรอยหลักฐานทั้งแบบที่เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเช่น จารึกต่าง ๆ และหลักฐานที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรหรือสิ่งปลูกสร้าง อาทิ:
‘ปราสาท’ หรือที่ในภาษาชาวอีสานเรียกว่า ‘กู่’ บางที่เรียกว่า ‘ธาตุ’ มีทั้งแบบก่อศิลาแลง ก่อหินทราย และก่อด้วยอิฐ ทั้งแบบปราสาทยอดเดียว แบบสามยอด แบบห้ายอด แบบอโรคยาศาล แบบธรรมศาลาหรือบ้านมีไฟ
‘สระบาราย’ และระบบชลประทานทั้งขนาดเล็กและใหญ่กระจายอยู่ทั่วไป ทั้งแบบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส แบบวงกลมมน แบบกรุด้วยศิลาแลง แบบกรุด้วยอิฐ แบบเป็นคูน้ำล้อมรอบศาสนสถาน
‘เตาเผาเครื่องเคลือบ’ แหล่งผลิตสินค้าออกสำคัญของยุคสมัย พบตั้งแต่ในเขตอ.นางรอง อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ จนถึง อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ และผลิตภัณฑ์ที่ได้จากเตาเผาเหล่านี้ก็ถูกส่งออกไปตามเส้นทางการค้าทั้งภายในและภายนอก ทั้งทางบกและทางทะเล
‘ถนนโบราณ’ ทั้งเชื่อมภายในและภายนอก จนถึงประเภทที่เรียกว่า ‘ราชมรรคา’ (Royal road) ตามจารึกปราสาทพระขรรค์ คือถนนหลวงที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองพระนครมายังเมืองพิมาย ผ่านเขตที่ราบสูงโคราช บางส่วนของเทือกพนมดงเร็ก จนถึงที่ราบทะเลสาบเขมร (โตนเลสาบ) และถนนหลวงราชมรรคาก็มาพร้อมกับนวัตกรรมที่เรียกว่า ‘ธรรมศาลา’ หรือ ‘บ้านมีไฟ’ หรือ ‘ที่พักคนเดินทาง’ เป็นอาคารปราสาทหินอีกประเภทหนึ่งตั้งอยู่ตามรายทาง ควบคู่กับปราสาทหินประเภทที่เป็นสถานพยาบาลที่เรียกว่า ‘อโรคยาศาล’ ตั้งกระจายอยู่ทั่วไปในหลายจังหวัดของภาคอีสาน
โบราณสถานโนนพระแท่น ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น ตามภาพข่าวมีลักษณะเป็นเนินดินกลางทุ่ง โบราณวัตถุเป็นหินทรายแดงทั้งแบบที่ไม่ปรากฏลวดลายและแบบที่มีลวดลาย แบบที่มีลวดลายมี 4 แท่ง รูปอสูรฉุดนาค 2 แท่ง รูปเทพฉุดนาคอีก 2 แท่ง ทั้ง 4 แท่งประกอบกันเป็นลักษณะของรูปเล่าเรื่องกูรมาวตาร ปางที่พระวิษณุอวตารเป็นเต่า ตอนกวนเกษียรสมุทร จากรูปแบบเศียรเทพและอสูร นักโบราณคดีที่ไปตรวจสอบได้กำหนดอายุว่า แรกสร้างในสมัยนครวัดถึงบายน ราวพศว.17-18
ตามข้อมูลทั้งเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียและหนังสือพิมพ์ ต่างระบุถึงการยืนยันจากคนในพื้นที่ว่าศิลาเหล่านี้อยู่ในสถานที่มาแต่เดิม เป็นที่ที่ชาวชุมชนในละแวกย่านกันไว้สำหรับเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทำบุญตามประเพณี ชื่อ ‘โนนพระแท่น’ ก็เป็นชื่อที่ใช้เรียกสถานที่นี้มาแต่เดิม แต่ต่อให้มีข้อมูลบอกเล่าว่าเคลื่อนย้ายมาจากที่อื่นก็ยากจะเชื่อ เพราะศิลาที่มีน้ำหนักแบบนี้ไม่ใช่ของที่ใครจะเคลื่อนมาจากที่อื่นได้ง่าย ๆ และไม่มีเหตุผลที่จะเคลื่อนย้ายมาไว้ในสถานที่แบบนั้น
มีกรณีหลายแห่งที่พบว่า บริเวณที่มีหินปราสาทตั้งอยู่โดด ๆ นั้น ใต้ดินมีแนวโบราณสถานตั้งอยู่ ตัวอย่างก็เช่นเมื่อไม่นานมานี้ที่เนินเขาขนาดย่อมแห่งหนึ่งใน ต.มาบคล้า อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มีรูปโยนีและชิ้นส่วนสถาปัตย์ปรากฏอยู่เหนือพื้นดินบนยอดเขา ชาวบ้านตั้งศาลขึ้นไหว้สักการะ เนื่องจากจันทบุรีมีเมืองโบราณก่อนยุคพระนครอยู่ที่อ.เมือง จ.จันทบุรี ที่รู้จักกันดีคือ ‘เมืองเพนียต’ ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานแบ่งเป็น 2 แนวว่า โบราณวัตถุที่พบนั้นเคลื่อนย้ายมาจากเมืองเพนียต หรือว่าเป็นของอยู่ในพื้นที่มาแต่แรก ถ้าเป็นแบบหลังนั่นหมายความว่า บริเวณตรงที่พบโบราณวัตถุนั้นใต้ดินจะต้องมีโครงสร้างสถาปัตย์อะไรซ่อนอยู่เป็นแน่
เมื่อผู้เขียนกับมิตรสหายคือ คุณวริศ อุดมเวช นักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจันทบุรี ได้ไปสำรวจ ก็พอดีช่วงนั้นเป็นฤดูฝน ฝนตกชะหน้าดิน พบเศษชิ้นส่วนอิฐ กระเบื้องดินเผา และร่องรอยวัตถุอื่น ๆ อยู่ตามหน้าดินปะปนกับดินลูกรัง ทำให้พวกเราเชื่อว่าเนินเขาบริเวณนั้นคงมีซากโบราณสถานประเภทปราสาทซ่อนอยู่ใต้ดิน และเมื่อค้นเอกสารประวัติศาสตร์และแผนที่โบราณ เราก็พบว่าบริเวณศาลเจ้าพ่อหินโม่นั้นอยู่ในเขตย่านที่เป็นด่านทางทิศเหนือของเมืองจันทบุรี เป็นทางแยกสามแพร่งจากจันทบุรีจะขึ้นเหนือตรงไปยังเขตจังหวัดสระแก้ว ซึ่งในยุคเขมรยังรุ่งเรืองอยู่นั้น ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำบางปะกงจนถึงตอนใต้ของเขาบรรทัดเหนือ เป็นเขตอิทธิพลของราชวงศ์เชยษฐปุระ ศูนย์กลางอยู่ที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม
ในขณะที่จากบริเวณด่านศาลเจ้าพ่อหินโม่ไปทางทิศตะวันออกจะเป็นเส้นทางโบราณมุ่งตรงไปถึงแม่น้ำพระตะบองในอาณาจักรกัมพูชา เป็นเหตุผลให้มีสิ่งอันเป็นหมุดหมาย (Landmark) สำหรับการเดินทางไปมาค้าขายระหว่างผู้คนจากจันทบุรี สระแก้ว และพระตะบอง เส้นทางนี้ยังมีความสำคัญเรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ และปัจจุบันก็กำลังเป็นอีกหนึ่งเส้นทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชาที่รู้จักกันในชื่อ ‘ด่านชายแดนบ้านแหลม’ อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี กำลังมีบทบาทมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นที่คาดกันว่าจะมาแทนที่ ‘ด่านชายแดนโรงเกลือ’ ที่อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว ในอนาคตอันใกล้นี้
นี่ขอนแก่น! (ลุ่มแม่น้ำชีก็มีปราสาทแบบเขมร)
จากตำแหน่งที่ตั้งของโบราณสถานโนนพระแท่น ที่อยู่ในพื้นที่ ต.ก้านเหลือง อ.แวงน้อย จ.ขอนแก่น จะพบว่าอยู่ในเส้นทางเชื่อมระหว่างลุ่มแม่น้ำมูลในเขตอีสานใต้กับแม่น้ำชีในเขตอีสานตอนบน ไม่ไกลจากเนินพระแท่นไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ผ่านอ.พล เข้าสู่เขตอ.เปือยน้อย มีปราสาทแบบเขมรยุคร่วมสมัยนครวัดตั้งอยู่ที่นั่นคือ ‘ปราสาทเปือยน้อย’ หรือ ‘ธาตุกู่ทอง’ (ชาวอีสานนิยมเรียกปราสาทว่า ‘กู่’ เรียกเจดีย์ว่า ‘ธาตุ’)
แม้ว่าปราสาทเปือยน้อยไม่ใช่ปราสาทที่มีขนาดใหญ่โตเท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับปราสาทที่อื่น ๆ แต่ไม่เหมือนที่อื่น ๆ ตรงที่มีลักษณะร่วมกับปราสาทสมัยนครวัดหรือก่อนหน้านั้นที่พบหลายแห่งในภาคอีสาน ที่โดดเด่นก็อย่างเช่น ปราสาทพนมวัน จ.นครราชสีมา, ปราสาทศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์, ปราสาทบ้านพลวง จ.สุรินทร์, ปราสาทยายเหงา จ.สุรินทร์, ปราสาทประธานของปราสาทพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์, ปราสาทเมืองต่ำ จ.บุรีรัมย์, ปราสาทปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ, ปราสาทสระกำแพงใหญ่ จ.ศรีสะเกษ, ปราสาทนารายณ์เจงเวง จ.สกลนคร เป็นต้น
ปกติแล้วปราสาทที่มีจำนวนมากในอีสาน มักอยู่ในรูปของอโรคยาศาล สร้างในพศว.18 ปราสาทเปือยน้อยถือเป็นปราสาทขนาดกลาง เป็นศาสนสถานประจำชุมชนเหมือนวัด ซึ่งสะท้อนถึงการเป็นที่ตั้งของชุมชนโบราณ ไม่ใช่สถานที่เพื่ออำนวยการสัญจรของผู้คนเหมือนอย่างปราสาทบ้านมีไฟในที่อื่น ๆ
นักประวัติศาสตร์โบราณคดีทราบกันดีว่า ศูนย์กลางการปกครองในแถบอีสานยุคเขมรพระนครนั้นอยู่ที่พิมาย และยังมีข้อมูล (จากจารึกสด๊กก๊อกธม) อีกว่า มีอยู่ช่วงหนึ่งที่พิมายเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเมืองพระนครยุคราชวงศ์มหิธรปุระ และราชวงศ์นี้ (ตามความในจารึกปราสาทพนมรุ้ง) รวมถึงเครือข่ายเมืองของพิมายในอีสานคือพื้นภูมิหลังของมหาราชในประวัติศาสตร์กัมพูชาผู้ยิ่งใหญ่ 2 พระองค์ คือ พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ผู้สร้างนครวัดในพศว.17 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผู้สร้างนครธมในพศว.18
บริเวณโนนพระแท่น-ปราสาทเปือยน้อยนั้นอยู่ในเส้นทางระหว่างพิมายขึ้นเหนือไปยังภูเพ็ก สะพานนาคราช-ชาลานาคราช (สะพานขอม) และปราสาทนารายณ์เจงเวงในเขตสกลนคร ซึ่งจะต่อไปได้จนถึงเมืองซายฟองในเขตนครหลวงเวียงจัน สปป.ลาว จากเดิมเราเชื่อกันว่าเส้นทางการแผ่อิทธิพลของเขมรจะขึ้นเหนือไปตามลำน้ำโขงจากจำปาสัก แต่เมื่อพิจารณาปัจจัยทางภูมิศาสตร์อย่างแก่งหลี่ผี ก็ทำให้ยากจะเชื่อว่าการเดินทางขึ้นเหนือไปเมืองซายฟองและจนถึงหลวงพะบาง (อย่างในรัชกาลพระเจ้าฟ้างุ้ม) นั้นจะสามารถกระทำได้โดยผ่านเส้นทางแม่น้ำโขง และนี่คือคำตอบโดยอ้อมว่าทำไมพระพุทธรูปสำคัญอย่าง ‘พระบาง’ จึงมีพุทธลักษณะเป็นศิลปะแบบเขมร
ประกอบกับข้อมูลจากการสำรวจในอดีต จะเห็นว่าแหล่งที่พบปราสาทเขมรมากนั้นอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำมูลถึงเขาพนมดงเร็ก (ที่มีปราสาทพระวิหารตั้งอยู่) และในบริเวณอุบลราชธานีตลอดถึงลาวใต้ตามสองฝั่งแม่น้ำโขง แต่ส่วนบริเวณอีสานตอนบนแถบลุ่มแม่น้ำชี ซึ่งมีขอนแก่นอยู่ตรงกึ่งกลางนั้น พบโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมเขมรอย่างเบาบางและวัฒนธรรมแบบทวารวดียังคงปรากฏอยู่อย่างเข้มข้น
ลักษณะดังกล่าวทำให้นักวิชาการบางส่วนเชื่อว่า อีสานตอนบนเป็น ‘เขตสะสม’ (ตามคำเรียกของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม) คือเป็นแหล่งวัฒนธรรมที่มีคนหลากหลายชาติพันธุ์อยู่ร่วมปะปนกันอย่างอิสระ จนสั่งสมวัฒนธรรมและพัฒนารัฐตลอดจนรูปแบบสังคมที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเป็นตัวของตัวเองขึ้นมา
เป็นไปได้อย่างไรที่จะมีแหล่งวัฒนธรรมแบบนั้นตั้งอยู่ได้ท่ามกลางการปิดล้อมของอีกกลุ่มวัฒนธรรมที่เป็นศัตรูกัน เส้นทางไหนที่คนลุ่มแม่น้ำชีใช้ติดต่อกับทวารวดีที่ภาคกลางของสยาม จะผ่านพิมายไปยังศรีเทพและลพบุรีได้ยังไง และเหตุใดเขมรยุครุ่งเรืองจึงยอมให้มีเขตอิสระเช่นนั้น ทั้ง ๆ ที่มีความต้องการเกลือจากอีสานตอนบนโดยเฉพาะบริเวณแอ่งสกลอยู่ด้วย พูดง่าย ๆ คือบริเวณขอนแก่นอาจเป็นจุดหมายปลายทางหรือจุดเริ่มต้นของการเดินทางอยู่ด้วยเหมือนกัน ไม่ใช่เพียงเป็นเส้นทางผ่านของผู้คนต่างถิ่นเท่านั้น
มุมมองการจัดแบ่งประเภทในแบบดังกล่าวนี้ (เขตสะสม) ทำให้ปราสาทเปือยน้อยดูไม่เข้าพวก เหมือนเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่โดด ๆ แยกต่างหากจากกลุ่มปราสาทอื่น ๆ ที่มักตั้งอยู่ตามลุ่มแม่น้ำมูล เทือกเขาพนมดงเร็ก และแม่น้ำโขง แต่เมื่อมีความเป็นไปได้ที่จะมีโบราณสถานอยู่ที่โนนพระแท่น ก็ทำให้ปราสาทเปือยน้อยมิใช่ปราสาทหลังเดียวที่ตั้งอยู่เดี่ยวโดดแยกจากเพื่อนอยู่ในจังหวัดขอนแก่นและลุ่มแม่น้ำชีเพียงลำพังอีกต่อไป
เหตุปัจจัยอีกอย่างที่นำมาสู่ความเชื่อเรื่องเขตสะสมในอีสานตอนบน ก็คือภาวะแล้งกันดารน้ำ ไม่มีน้ำใช้ตลอดปีของเขตลุ่มแม่น้ำชี ทำให้คนภายนอกไม่อยากเดินทางผ่าน กระทั่งไม่เหมาะจะตั้งชุมชน และเลยไม่มีพัฒนาการเป็นบ้านเมืองหรือรัฐเกิดขึ้นในย่าน แต่แง่มุมก็เป็นการนำเอาเหตุปัจจัยที่เกิดภายหลังในช่วงกึ่งพุทธกาลไปใช้มองอดีต เพราะก่อนหน้าทศวรรษ 2500 ยังปรากฏว่า อีสานเป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ร่นขึ้นไปจนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงที่เกิดกบฏผู้มีบุญแพร่หลาย ถึงมีข้อมูลเรื่องความแห้งแล้งกันดารน้ำ ฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล น้ำท่าตามห้วยหนองคลองบึงบางแห่งแห้งขอด ที่เหลือก็เป็นตำนานกล่าวถึงยุคไกลโพ้นอย่างเช่นที่ว่า เขมรเคยอยู่ที่สกลนครแต่มีอยู่ช่วงหนึ่งแล้งกันดารน้ำติดต่อกันถึง 7 ปี เขมรจึงได้อพยพกลับไปอยู่กัมพูชา แต่นั่นก็ดูเป็นตำนานเรื่องเล่าภายหลังเพื่ออธิบายสาเหตุการถูกทิ้งร้างไปของปราสาทหินที่พบในพื้นที่
อย่างไรก็ตาม นั่นคือปัญหาเรื่องน้ำจากแหล่งน้ำตามธรรมชาติ ยังพบแหล่งน้ำอีกเป็นจำนวนมากที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ ผ่านการใช้แรงงานคนจำนวนมากขุดขึ้น บริเวณที่ตั้งของปราสาทเขมรนั้นองค์ประกอบที่ขาดเสียมิได้ก็คือ ‘สระบาราย’ ซึ่งกลุ่มชาติพันธุ์เขมร-กูย ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่มาแต่เดิมก่อนกลุ่มวัฒนธรรมลาวจะขยายตัวลงมาครองอีสาน นับเป็นกลุ่มที่มีความชำนาญเป็นพิเศษในการสร้างแหล่งน้ำประเภทนี้ขึ้นไว้ใช้ในชุมชน และในการสร้างแหล่งน้ำประเภทนี้จำเป็นต้องมีระบบการควบคุมแรงงาน นั่นหมายถึงมีการปกครองเกิดขึ้นแล้วนั่นเอง
สิ่งอันแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคนที่ปราสาทเปือยน้อยกับโนนพระแท่น (ที่เพิ่งพบใหม่นี้) ก็คือทับหลังที่ปราสาทเปือยน้อยมีรูปพระวิษณุบรรทมเหนือพญาอนันตนาคราช ปรากฏดอกบัวขึ้นจากพระนาภีมีพระพรหมอยู่บนดอกบัวนั้น และที่ปลายพระบาทปรากฏรูปพระลักษมีชายาของพระวิษณุ ซึ่งถือกำเนิดจากการกวนเกษียรสมุทร
ดังนั้น ถึงแม้ว่าขอบเขตเมืองเก่าในย่านขอนแก่นอาจจะไม่เท่ากับจังหวัดขอนแก่นในปัจจุบัน แต่จากร่องรอยโบราณสถานที่เปือยน้อยกับแวงน้อย แสดงความเชื่อมโยงและตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมร่วมกัน ก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันระหว่างคนในย่านเส้นทางเชื่อมระหว่างลุ่มแม่น้ำมูลกับลุ่มแม่น้ำชี
การตั้งเมืองขอนแก่นโดยลาวกลุ่มจารย์แก้ว (ศิษย์พระครูโพนสะเม็ก) ในรุ่นพศว.24 จากงานศึกษาของอาจารย์สุวิทย์ ธีรศาศวัต จะเห็นได้ว่ายังยึดโยงอยู่กับที่ตั้งของชุมชนเมืองโบราณในรุ่นก่อนหน้า ซึ่งเป็นปัจจัยจากแหล่งน้ำและเส้นทางเกวียน เพราะชุมชนเก่ามักตั้งอยู่ตรงบริเวณที่มีทั้งสองอย่าง (แหล่งน้ำและเป็นชุมทางเกวียน) จึงเหมาะแก่การตั้งเมือง ซึ่งจะพัฒนาจนสามารถจัดรูปการปกครองภูมิภาคแบบจังหวัดในชั่วเวลาอีกหนึ่งศตวรรษต่อมา
แน่นอนว่า การมีศาสนสถานตั้งอยู่มาแต่เก่าก่อนในย่านย่อมเป็นประโยชน์ในแง่การเป็นศูนย์รวมจิตใจ คนลาวที่เข้ามาตั้งเมืองจึงกลายเป็นกลุ่มที่รักษ์และหวงแหนปราสาทเขมรในท้องถิ่นของตนเอง หลายแห่งสร้างตำนานเรื่องเล่าขึ้นมาเชื่อมต่อกับภูมิสถาน ทำให้โบราณสถานเกิดมีชีวิตชีวาขึ้นมา บางแห่งที่ไม่ได้มีชุมชนรุ่นหลังเข้าไปตั้งถิ่นฐานบ้านช่องอยู่แวดล้อม ก็เป็นเรื่องปกติธรรมดาอีกที่จะกลายเป็นปราสาทร้างไร้การดูแล
กวนเกษียรสมุทรในอีสานและกัมพูชา
เนื่องจากว่าประติมากรรมรูปสลักที่โนนพระแท่น จ.ขอนแก่นนี้เป็นรูปกวนเกษียรสมุทร จึงก่อให้กระแสความสนใจต่อรูปกวนเกษียรสมุทรในที่อื่น ๆ เพื่อเปรียบเทียบกัน เพจเฟซบุ๊กของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย ได้รวบรวมประติมากรรมรูปกวนเกษียรสมุทรจากที่ต่าง ๆ ทั้งในอีสานของไทยและในกัมพูชา
ในอีสานมีพบรูปกวนเกษียรสมุทรตามที่ต่าง ๆ ดังนี้:
(1) ปราสาทหินพิมาย อ.พิมาย จ.นครราชสีมา (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย)
(2) กู่สวนแตง อ.บ้านใหม่ไชยพจน์ จ.บุรีรัมย์ (ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพิมาย)
(3) กู่แดง อ.บ้านเขว้า จ.ชัยภูมิ (ยังอยู่กับตัวปราสาท)
(4) ปรางค์กู่ อ.เมืองชัยภูมิ จ.ชัยภูมิ (ยังอยู่กับตัวปราสาท)
(5) ปราสาทบ้านปราสาท อ.ห้วยทับทัน จ.ศรีสะเกษ (ยังอยู่กับตัวปราสาท)
เมื่อนับรวมกับที่เพิ่งพบที่บ้านโนนพระแท่นอีกก็รวมเป็น 6 แห่ง
ในกัมพูชามีดังนี้:
ส่วนใหญ่อยู่ในรูปทับหลัง ยกเว้นที่ปราสาทนครวัด อยู่ในรูประเบียงภาพสลัก ใกล้กับโซนที่มีภาพเล่าเรื่องรามายณะ ภาพกองทัพของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และบ้านเมืองต่าง ๆ ที่ยกมาช่วยชาวกัมพูชารบกับจามปา ซึ่งในจำนวนนี้มีภาพสลักกองทัพหนึ่งมีจารึกเป็นชื่อภาพว่า ‘นี่เสียมกุก’ รวมอยู่ด้วย
นอกจากนี้ ยังมีภาพกวนเกษียรสมุทรที่เป็นประติมากรรมตรงริมสองฝั่งของถนนที่เข้าสู่ประตูเมืองนครธม ช่วงที่มีการทำรูปสลักแบบนี้กันมากนั้นอยู่ในช่วงสมัยนครวัดถึงบายน หรือเฉพาะกว่านั้นก็เป็นสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 (ครองราชย์ พ.ศ.1656-1693) ถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์ พ.ศ.1724-1761)
พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในพุทธศตวรรษที่ 17 กับการเมืองของ ‘กวนเกษียรสมุทร’ แบบนครวัด
กัมพูชายุคพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ถือเป็นช่วงรุ่งเรืองที่สุดของคติไวษณพนิกาย เรื่องราวของพระวิษณุถูกนำเสนอในรูปแบบต่าง ๆ หลากหลาย และพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ก็แสดงพระองค์ในโลกหลังความตายผ่านการสร้างปราสาทนครวัด โดยนำเอาชีวประวัติเรื่องราวของพระองค์ไปบรรจุไว้ร่วมกับภาพอวตารของพระวิษณุ
‘จารึกปราสาทพนมรุ้ง’ ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่เล่าภูมิหลังของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แสดงร่องรอยความเกี่ยวข้องระหว่างพระองค์กับราชวงศ์กษัตริย์ที่ครองแคว้นในอีสานอย่าง ‘มหิธรปุระ’ จารึกนี้เนื้อความกล่าวถึง ‘พระเจ้ากษิตีนทราทิตย์’ นัดดาผู้มหัศจรรย์และน่าเคารพแห่งพระเจ้าหิรัณยวรมัน ได้ก่อกำเนิดพระราชาผู้ประเสริฐคือ ‘ศรีสุรยวรมัน’ จากธิดาของธิดาแห่งหิรัณยลักษมี
‘ศรีสูรยวรมัน’ ตามจารึกปราสาทพนมรุ้งนี้เชื่อว่าคือพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และเมื่อราชวงศ์มหิธรปุระมีศูนย์กลางอยู่ที่วิมายปุระหรือพิมาย ซึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรกัมพูชา (เมืองหลวงของเขมรมีการเปลี่ยนย้ายไปมาหลายครั้ง ตามแต่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดโปรดประทับอยู่ที่ใด เมื่อราชวงศ์มหิธรปุระก่อนพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 นิยมประทับอยู่ที่พิมาย พิมายก็เป็นศูนย์กลางของอาณาจักรตามนัยนี้)
ก่อนหน้าจะขึ้นครองราชย์ที่เมืองพระนครและสร้างปราสาทนครวัด พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ประทับอยู่ที่ราบสูงโคราช ปราสาทหินพิมายเป็นต้นแบบให้กับปราสาทนครวัด รูปประติมากรรมและหรือร่องรอยศาสนสถานโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับคติไวษณพนิกายซึ่งแพร่หลายในอีสานช่วงพศว.16-17 จึงสัมพันธ์กับการขยายอำนาจและเครือข่ายเมืองภายใต้การนำของราชวงศ์มหิธรปุระ ในขณะที่บริเวณที่ราบลุ่มทะเลสาบเขมรในช่วงเวลาเดียวกันนั้นยังยึดถือคติไศวนิกาย พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 คือผู้นำของแคว้นมหิธรปุระหรือฝ่ายนับถือไวษณพนิกาย ภายหลังเมื่อฝ่ายไศวนิกายที่เมืองพระนครอ่อนแอและเสื่อมอำนาจลง ราชบัลลังก์เมืองพระนครก็ตกเป็นของฝ่ายไวษณพนิกายที่นำโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
แต่เมื่อขึ้นครองราชย์และสร้างปราสาทนครวัดขึ้นแล้ว พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ก็เช่นเดียวกับกษัตริย์องค์อื่นที่ต้องแสดงพระองค์เป็นผู้นำของทั้งสองฝ่ายที่กำลังขัดแย้งกันอยู่ (ไศวนิกาย vs. ไวษณพนิกาย/ยโสธรปุระ vs. มหิธรปุระ) โดยมีศัตรูร่วมกันคือจามปา เพื่อชี้ให้เห็นภาพความสมานฉันท์ดังกล่าวนี้ การกวนเกษียรสมุทรที่มีการร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างเทพกับอสูร จึงถูกนำเสนอภายใต้บริบทที่เข้ากันได้กับการเมืองภายในของอาณาจักรกัมพูชาเวลานั้นได้เป็นอย่างดี นี่จึงเป็นที่มาของการสร้างทับหลังและประติมากรรมนูนต่ำรูปกวนเกษียรสมุทรที่แพร่หลายในอีสานและกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม ภาพเสนอกวนเกษียรสมุทรอาจจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในช่วงสมัยที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ยังมีอำนาจครองเมืองพระนครอยู่ แต่เมื่อสิ้นรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 กวนเกษียรสมุทรก็เสื่อมมนต์ขลังไปด้วย ความสมานฉันท์ระหว่างไศวนิกายกับไวษณพนิกายที่มีภาพตัวแทนเป็นเทพกับอสูรในกูรมาวตาร ไม่อาจเป็นแรงบันดาลใจให้กับพราหมณ์ที่มีภูมิหลังต่างกัน ทายาทของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 จึงไม่อาจสืบอำนาจได้ต่อมา ต้องถูกพราหมณ์ไศวนิกายยึดอำนาจไปถวายให้แก่เชื้อสายเจ้านายที่นับถือคตินิกายอย่างเดียวกับตน
ศัตรูอย่างจามปา ไม่ใช่ศัตรูคู่แข่งขันที่ชนชั้นนำเขมรสร้างขึ้นมาอย่างลอย ๆ เพื่อความสมานฉันท์ หากแต่เป็นศัตรูที่มีแสนยานุภาพสามารถทำลายอาณาจักรกัมพูชาได้จริง ความเป็นอริราชศัตรูกันระหว่างเขมรกับจาม มีอะไรคล้ายคลึงกับที่อยุธยากับพม่า เป็นศัตรูคู่แข่งขันกันในภายหลัง แต่ทั้งนี้ด้วยบริบทที่ต่างกัน จะมีหลายสิ่งอย่างที่ไม่อาจเทียบเคียงได้ลงรอยเดียวกันได้
ถึงแม้ว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 จะเคยชนะศึกกับจามปา ด้วยกองทัพเครือข่ายขนาดใหญ่โตดังที่ทรงสร้างแคปชั่นอวดเอาไว้ในระเบียงปราสาทนครวัด แต่ด้วยความที่ทรงตระหนักดีว่าภัยคุกคามที่แท้จริงนั้นอยู่ภายในมิใช่ภายนอก พระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แม้จะมีอานุภาพมากก็ไม่อาจทำลายล้างจามปาลงได้ จำเป็นต้องคงให้จามปาตั้งอยู่สืบต่อมาเพื่อคานกับศัตรูภายในอาณาจักรของพระองค์เอง เมื่อพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 สวรรคต และจามปาเกิดเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งภายใต้การนำของพระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 4 จามปาก็ส่งกองทัพเข้าโจมตีเมืองพระนครจนแตกพ่ายลงอีก
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในพศว.18 กับการเมืองของ ‘กวนเกษียรสมุทร’ แบบบายน
ก่อนหน้าจะขึ้นครองราชย์ที่เมืองพระนคร เราทราบจากจารึกว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ทรงมีพื้นเพภูมิหลังเป็นเชื้อสายราชวงศ์มหิธรปุระ มีศักดิ์เป็นหลานของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในปลายรัชกาลพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 นั้นทรงเป็นแม่ทัพยกไปทำศึกกับจามปา มีความชอบได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ครองแคว้นในที่ราบสูงโคราช
ตรงนี้ที่มีนักประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในอีสานบางส่วนเคลมว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นคนอีสาน เป็นคนโคราช เป็นคนสุรินทร์ จึงถูกครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งที่ไม่ถูกนั้นก็เพราะความเป็นคนอีสาน เป็นคนจังหวัดโน้นจังหวัดนี้ตามความนิยมจัดประเภทคนในสังคมปัจจุบันนั้นเป็นของใหม่ที่มีภายหลังเมื่อไม่กี่สิบปีมานี้ ไม่ได้มีมายาวนานตั้งแต่สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แม้เป็นพื้นที่เดียวกัน แต่อีสานสมัยโน้นเป็นคนละเรื่องละราวกับอีสานภายใต้การปกครองของล้านช้างและต่อมาก็คือสยาม อย่างในช่วงหลังเขมรเสื่อมอำนาจไปแล้ว
ถึงจะเป็นทายาทของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 แต่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไม่เพียงไม่สืบทอดไวษณพนิกาย กลับนำเอาคติพุทธมหายานหรือที่ชาวเขมรเรียกว่า ‘บายน’ (Bayon) เข้ามาปฏิรูปสังคมกัมพูชา นำไปสู่การสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า ‘ศิลปะบายน’ (Bayon art) แน่นอนว่านั่นเกิดขึ้นคู่เคียงมากับการทำลายล้างอิทธิพลของพราหมณ์ที่มีต่ออาณาจักรกัมพูชาทั้งหมด
จิตร ภูมิศักดิ์ เคยนำเสนอบทวิเคราะห์ตำนานยอดนิยมหนึ่งของชาวเขมรเรื่อง ‘พระเจ้าสังขจักร’ กษัตริย์ผู้เคยประหารพญานาคด้วยพระขรรค์ของพระองค์เอง ก่อนสิ้นใจตาย พญานาคได้พ่นพิษใส่จนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลผุพองเป็นโรคเรื้อน จิตรถอดรหัสนัยได้ว่า พระเจ้าสังขจักรนั้นคือพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พญานาคที่ถูกประหารนั้นก็คือพราหมณ์อำมาตย์ราชครู ที่มีอำนาจในอาณาจักรกัมพูชายุคนั้น
ในเมืองนครธม ใกล้พระราชวังหลวง มีลานแห่งหนึ่งถูกเรียกโดยอิงกับตำนานนี้ว่า ‘พระเจ้าขี้เรื้อน’ และเรียกประติมากรรมรูปบุคคลนั่งชันเข่าอยู่ที่หน้าลานนี้ว่า ‘พระเจ้าขี้เรื้อน’ แต่ยอร์ช เซเดส์ (George Cœdès) โต้แย้งว่าประติมากรรมดังกล่าวนี้คือรูปพระยม และบริเวณถัดจากลานด้านหลังไปนั้นเป็นศาสนสถานมีภาพสลักเล่าเรื่องนรกภูมิตามคติไตรภูมิ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ทำให้เรื่องของพระเจ้าสังขจักรในตำนานที่ประหารพญานาคนั้น ลงรอยกันได้กับเรื่องของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ในประวัติศาสตร์ก็คือการเป็นกษัตริย์ที่ทำลายล้างอำนาจของฝ่ายพราหมณ์ที่หยั่งรากมั่นคงในประวัติศาสตร์อารยธรรมกัมพูชามาช้านาน
เพราะอะไร ทำไม พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงทำเช่นนั้น?
เดวิด แชนด์เลอร์ (David Chandler) เคยนำเสนอข้อมูลหลักฐานและวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ที่ว่า พระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 กษัตริย์ผู้สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ซึ่งถูกพราหมณ์ยึดอำนาจไปถวายให้แก่พระเจ้ายโศวรมันที่ 2 นั้นเป็นพระราชบิดาของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 การยึดอำนาจของพราหมณ์ดำเนินไปอย่างดุเดือดกระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าพระเจ้าธรณินทรวรมันที่ 2 จะสวรรคตในระหว่างศึกต่อต้านการรัฐประหารในครั้งนั้น พราหมณ์อำมาตย์ที่ขึ้นสู่อำนาจจากศึกในครั้งนี้จึงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ขณะเดียวกัน ในเขตที่ราบสูงโคราชได้เกิดคติความเชื่อแขนงใหม่ที่มีอิทธิพลอยู่ในย่านนั้นมาได้ช่วงหนึ่งแล้ว คือพุทธมหายาน รูปประติมากรรมพระโพธิสัตว์ที่พบในแถบที่ราบสูงโคราชมีอายุเก่าไปกว่ายุคของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นเวลากว่า 1-2 ร้อยปี เพียงแต่ยังเป็นคติที่นับถือกันในหมู่ไพร่ราษฎร ชนชั้นปกครองยังคงนับถือพราหมณ์ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เมื่อต้องการกำลังสนับสนุนจากไพร่ราษฎรเหล่านี้ก็เปลี่ยนศาสนาหันไปนับถือพุทธมหายาน พร้อมกันนั้นก็ได้ขอความสนับสนุนจากฝ่ายพุทธเถรวาทหรือชาวเสียมในภาคกลางที่เขมรเรียกว่า ‘ศามพูกะ’ หรือ ‘ทวารวดี’ (ภาษามคธ)
แล้วจังหวะโอกาสที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 รอคอยมาได้สักพักหนึ่งนั้นก็มาถึง เมื่อกองทัพจามปาภายใต้การนำของพระเจ้าชัยอินทรวรมันที่ 4 ได้ยกมาตีเมืองพระนครแตกพ่ายไป พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ก็เคลื่อนทัพลงใต้ไปขับไล่จามแล้วสถาปนาเมืองนครธมขึ้นเป็นศูนย์กลางแทนที่นครวัด จากนั้นแผนการปฏิรูปก็ได้เริ่มต้นขึ้นนำไปสู่ยุคแห่งการสร้างสรรค์อีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า ‘ศิลปะบายน’ (Bayon art) ไม่เพียงแต่ภายในเขตที่ราบทะเลสาบเขมรเท่านั้น ยังพบการแพร่ขยายของศิลปกรรมแบบนี้กระจายทั่วไป
จากจุดนี้ ในส่วนของประติมากรรมรูปกวนเกษียรสมุทร และภาพเล่าเรื่องปกรณัมพราหมณ์ ที่แม้จะยังคงมีการสร้างสรรค์อยู่สืบต่อมา แต่ได้เปลี่ยนนัยความหมายจากการนำเสนอภาพความสมานฉันท์ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ไปเป็นภาพความแตกแยกวุ่นวายและเป็นมิจฉาทิฐิ ตำแหน่งที่ตั้งของประติมากรรมเล่าเรื่องได้เขยิบจากภายในระเบียงปราสาทมาเป็นที่หน้าประตูทางเข้าเมือง อสูรกับเทพฉุดนาคกันคนละฝั่ง ในขณะที่ภายในตัวปราสาทเป็นที่ประดิษฐานของรูปเคารพเนื่องในศาสนาพุทธนิกายมหายาน พุทธอยู่ข้างในและบนที่สูงสุด พราหมณ์อยู่รอบนอก เมื่อมองในแง่คติจักรวาลวิทยานั่นหมายความว่าพุทธมหายานได้สถาปนาตนอยู่เหนือโลกและจักรวาลของพราหมณ์
ความหมายของกวนเกษียรสมุทรถูกนำเสนอใหม่ แสดงให้เห็นความฉ้อฉลของลัทธิพราหมณ์ ตามเนื้อเรื่องกูรมาวตาร เมื่อฝ่ายเทพตระหนักว่า ลำพังพวกตนไม่มีกำลังพอที่จะเคลื่อนหมุนเขามันทระ พระวิษณุในฐานะผู้นำฝ่ายเทพได้เป็นตัวแทนไปขอให้พวกอสูรมาช่วยฉุดดึงพญานาควาสุกรีข้างหนึ่ง พวกเทพจะฉุดดึงอีกข้างหนึ่ง พระวิษณุจะอวตารเป็นเต่ายักษ์ไปรองรับเขามันทระไว้ โดยพระวิษณุได้สัญญาไว้ว่า เมื่อได้น้ำอมฤตออกมาแล้วจะแบ่งให้อสูรกับเทพได้กินคนละครึ่ง
ฝ่ายอสูรเห็นว่า พระวิษณุเป็นเทพผู้ใหญ่จึงตกลงจะไปช่วย แถมยังยอมฉุดตรงเศียรนาค ทำให้โดนพิษพญานาคจนใบหน้าและเนื้อตัวเป็นแผลผุพองน่าเกลียดน่ากลัวไปอีก
ครั้นพอกวนจนได้น้ำอมฤตออกมาแล้ว พวกเทพก็เอาไปกินฝ่ายเดียว ไม่แบ่งให้อสูรกินด้วย และในการกวนเกษียรสมุทรยังได้ให้กำเนิดนางอัปสรขึ้นมากมาย พวกเทพก็ต่างเอาไปเป็นชายากันหมด นางอัปสรที่รูปโฉมงดงามมากที่สุดคือพระลักษมี พระวิษณุก็เอาไปเป็นชายาด้วย พวกอสูรที่ไม่พอใจจะต่อสู้แย่งชิงเอาน้ำอมฤตและนางอัปสรก็ไม่ได้ เพราะเจ็บป่วยจากการถูกพิษพญานาคและอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากการฉุดกวนไปอีก
โดยสรุปการกวนเกษียรสมุทรในยุคบายนจึงเป็นการนำเสนอให้เห็นภาพความชั่วร้ายและฉ้อฉลไม่ทำตามสัญญาของฝ่ายเทพซึ่งมีพระวิษณุให้ท้ายด้วยนั่นเอง
‘อีสาน’ และ ‘เสียม’ จากยุคเขมรพระนครสู่สยามอยุธยา
จากภาพสลักในหินทรายที่พบที่โนนพระแท่น จ.ขอนแก่น รูปแบบเศียรเทพและอสูรค่อนข้างใกล้เคียงกับเศียรพระพุทธรูปบายน แต่วัสดุเป็นชิ้นส่วนสถาปัตย์ตัวปราสาท อาจเป็นทับหลัง หรือราวสะพาน ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัด ต่างจากประติมากรรมกวนเกษียรสมุทรที่ประตูทางเข้าเมืองนครธม ที่สลักเป็นรูปเทพกับอสูรยุดนาคคนละฝั่ง เทพกับอสูรไม่ได้อยู่ภายในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าของแผ่นศิลาเหมือนอย่างโนนพระแท่น
ดังนั้น ถ้ามองในแง่วิวัฒนาการรูปแบบแล้ว รูปกวนเกษียรสมุทรที่โนนพระแท่นน่าจะมีอายุแรกสร้างในช่วงปีก่อนหน้าการสร้างปราสาทบายนที่นครธม อาจเป็นช่วงที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังประทับอยู่ที่แคว้นมหิธรปุระ
ความแตกต่างระหว่างกลุ่มบ้านเมืองในเครือข่ายทวารวดีกับเขมรพระนครในทางการเมืองการปกครองอย่างหนึ่งก็คือ เขมรพระนครมีแนวคิดจักรวรรดิขนาดใหญ่ ผู้ปกครองแผ่อำนาจไปไกลสุดเท่าที่จะทำได้ เมืองที่กษัตริย์จักรพรรดิประทับอยู่ถือเป็นศูนย์กลางอำนาจ ในขณะที่ทวารวดีเป็นกลุ่มที่ยังยึดถือการปกครองแบบนครรัฐ (City-state) แต่ละเมืองมีอิสระไม่ขึ้นต่อกัน ตามนี้ยุคที่จักรวรรดิเขมรมีศูนย์กลางที่เข้มแข็งอย่างสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 และพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แคว้นมหิธรปุระในอีสานหรือภาคเหนือของเขมรโบราณนั้นก็คือแคว้นหนึ่งที่อยู่ภายใต้จักรวรรดิเขมร
แต่อำนาจของจักรวรรดินี้มิได้มีความต่อเนื่อง ขึ้นกับบุญบารมีของแต่ละพระองค์ อำนาจและบารมีของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 กับของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ไม่ได้ถ่ายทอดไปให้เป็นของรัชทายาทได้ ดังนั้น มหิธรปุระในอีสานก็เช่นเดียวกับแคว้นอื่น ๆ (มีแคว้นลวปุระที่ภาคกลางของสยาม แคว้นเศรษฐปุระที่ลาวใต้ แคว้นเชยษฐปุระที่ภาคตะวันออกของสยาม เป็นต้น) ที่บางช่วงสมัยเกิดศูนย์กลางเข้มแข็งขึ้นที่เมืองพระนครหรือที่อื่นก็ไปขึ้นต่อ บางช่วงเมื่อศูนย์กลางดังกล่าวอ่อนแอหรือเสื่อมอำนาจลงก็หันไปขึ้นกับศูนย์กลางอื่น หรือบางช่วงก็ตั้งตัวเป็นอิสระสร้างความเข้มแข็งขึ้นจากภายในของตนเองได้ อย่างเช่นกรณีแคว้นศรีจนาศะ ในตอนใต้ของที่ราบสูงโคราชในเขตจ.นครราชสีมา ซึ่งมีจารึกระบุเรียกว่า ‘กัมพุชเทศ’ หมายถึงดินแดนเขมรที่เป็นอิสระ (จากการปกครองของเขมรพระนคร)
โจว ต้ากวน (Zhou Daguan) ราชทูตต้าหยวน ผู้เดินทางมาเมืองนครธมเมื่อ พ.ศ.1839 ได้บันทึกกล่าวถึงพวกเสียมที่อยู่ทางตอนเหนือของอาณาจักรได้ก่อกบฏขึ้น ตรงนี้กลายเป็นร่องรอยให้สืบย้อนกลับไปจนถึงคำว่า ‘เสียมกุก’ ที่ปรากฏในระเบียงปราสาทนครวัดย้อนหลังไปกว่า 2 ศตวรรษ
เบอร์นาร์ด ฟิลิปป์ โกรส์ลิเยร์ (Bernard Philippe Groslier) ถึงได้มั่นใจว่า ‘เสียมกุก’ ดังกล่าว หมายถึงชาวกูยในเขตบ้านเมืองฝั่งตะวันออกของที่ราบสูงโคราชจรดเทือกเขาพนมดงเร็ก ตรงกับแถบจังหวัดสุรินทร์-ศรีสะเกษในปัจจุบัน ตามร่องรอยที่โจวต้ากวนระบุว่า พวกเสียมอยู่ทางทิศเหนือของอาณาจักร และถึงแม้ว่า จิตร ภูมิศักดิ์ จะแสดงให้เห็นอย่างน่าเชื่อถือมาแล้วว่า ‘เสียม’ กับ ‘สาม’ หรือ ‘สยาม’ เป็นคำเดียวกัน วิวัฒน์คลี่คลายและสืบเนื่องกันได้อย่างไร ก็ยังไม่เป็นที่ยุติ
อย่างไรก็ตาม ‘เสียมกุก’ นั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันแบ่งเป็นหลายแนวด้วยกัน ยากจะหาข้อยุติ หลักฐานของโจวต้ากวนอาจไม่สามารถใช้ยืนยันว่าเสียมกุกคือที่ราบสูงโคราชได้ เพราะอาจเป็นการบันทึกตามมุมมองของคนนครธมที่มองคนเหนือของอาณาจักรตนเป็นอื่นไปแล้วในเวลานั้น คือไปเข้ากับพวกเสียม หรือเป็นพวกเดียวกับพวกเสียมไปแล้ว ซึ่งก็ไม่ผิด เหมือนโจวต้ากวนได้คาดการณ์ล่วงหน้าไปโดยปริยาย เพราะในอีกไม่นานหลังจากสถาปนากรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้ส่งกองทัพ มีขุนศรีไชยราชมงคลเทพเป็นแม่ทัพ ยกไปพิมายกับพนมรุ้ง ปรากฏว่าผู้ครองเมืองทั้งสองยอมอ่อนน้อมเป็นไมตรีกับอยุธยา นับเป็นครั้งแรกที่สยามอยุธยาแผ่อิทธิพลไปถึงเขตที่ราบสูงโคราช
สู่มรดกร่วมทางวัฒนธรรมไทย-กัมพูชา & อดีตและอนาคต
ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนที่บริเวณขอนแก่นจะพบมีโบราณวัตถุหายากเนื่องในวัฒนธรรมเขมรโบราณ อยู่ในเส้นทางคมนาคมโบราณเชื่อมต่อกันระหว่างลุ่มแม่น้ำมูลกับลุ่มแม่น้ำชีและแม่น้ำโขง การพบโบราณสถานเนื่องในวัฒนธรรมเขมรในดินแดนประเทศไทย ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอันใด ในเมื่อเป็นดินแดนที่ขอมหรือเขมรเคยมีอำนาจและตั้งรกรากอยู่อาศัยมาแต่เก่าก่อน ก่อนที่ลาวจะขยายลงมาและวัฒนธรรมสยามจากเขตที่ราบภาคกลางจะขยายขึ้นไป
ดินแดนหลายแห่งก็เป็นเช่นนี้ แต่เดิมเคยเป็นของชนชาติหนึ่งตั้งมั่นอยู่อย่างรุ่งเรือง เมื่อผ่านกาลเวลาไปได้ช่วงหนึ่งก็มักจะถึงคราวเสื่อมถอย หากกลุ่มผู้อำนาจในหลักในวัฒนธรรมที่กำลังพบความเสื่อมถอยอยู่นั้นปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ ก็อยู่รอดปลอดภัยและตั้งมั่นอยู่ได้มั่นคงต่อมา แต่หากไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ ก็ถึงกาลวิบัติล่มสลาย และต้องยอมถอยฉากให้กับกลุ่มวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่เหมาะสมกว่าเข้ามาแทนที่
‘อีสาน’ หรือ ‘อิสาณ’ (เขียนแบบเก่า) เป็นชื่อทิศที่มีกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง นั่นหมายความว่าความเป็นอีสานในแบบที่เรารู้จักกันในชั้นหลังมานี้เป็นอีสานในแบบที่มีจุดเริ่มเมื่อขึ้นกับสยามแล้ว ‘อีสาน’ ไม่ใช่ ‘อีศานปุระ’ อันนั้นอยู่ในเขตประเทศกัมพูชา และ ‘อีศาน’ ในที่นั้นหมายถึงพระอิศวร แต่เดิมก่อนหน้าจะขึ้นกับสยาม บริเวณนี้เคยเป็นส่วนหนึ่งของล้านช้างมาก่อน ก่อนหน้าที่ชาวล้านช้างจะอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานสร้างบ้านแปงเมือง มีชาวกูยและเขมรสร้างสมอารยธรรมอยู่ในพื้นที่มาแต่เก่าก่อน โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่พิมาย ซึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับเขมรพระนครสูงมาก กระทั่งว่ามหาราช 2 พระองค์ในประวัติศาสตร์กัมพูชาอย่างพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 กับพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 มีเทือกเถาเหล่ากอและฐานอำนาจอยู่ในพื้นที่ และโบราณสถานโนนพระแท่นก็แสดงความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาในยุคสมัยของมหาราชสองพระองค์ดังกล่าว
โบราณสถานและศิลปวัตถุเนื่องในวัฒนธรรมเขมรที่พบทั้งในเขตภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคอีสาน เคยขึ้นป้ายและจัดประเภทให้เป็น ‘ศิลปะลพบุรี’ แทนที่จะบอกตรง ๆ ว่า ‘ศิลปะเขมร’ ช่วงหลังหลายแห่งหันมาใช้คำว่า ‘ศิลปะร่วมแบบเขมร’ ตามที่ ม.ร.ว.สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์ เคยเสนอเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่เพิ่งได้รับการตอบรับเมื่อไม่นานมานี้ และก็ออกจะดูประดักประเดิดอย่างเช่นเมื่อต้นเดือนมิถุนายน พ.ศ.2566 ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมปราสาทศรีขรภูมิ จ.สุรินทร์ ก็ยังพบป้ายระบุถึงที่นี่ว่า ‘ศิลปะลพบุรี (เขมรในประเทศไทย แบบนครวัด)’
ไม่เห็นทางว่าลพบุรีจะเคยมีอำนาจปกครองมาจนถึงลุ่มแม่น้ำชี อาจมีปฏิสัมพันธ์กับลุ่มแม่น้ำมูลบ้าง แต่ไม่อาจกำหนดให้เป็นของลพบุรีไปได้ เพราะตามหลักฐานคือจารึกปราสาทพิมานอากาศ ได้ระบุไว้ชัดว่า ลวปุระหรือลพบุรีในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั้นเป็นเมืองยุพราช เพราะ ‘นฤปตินทรวรมัน’ พระราชโอรสของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ครองอยู่เมืองนี้โดยมีสร้อยพระนามว่า ‘ลโวทเยศ’ ดังนั้น ลพบุรีก็เขมรด้วยเหมือนกัน
แต่เขมรในยุคโบราณกับเขมรที่เป็นประเทศกัมพูชาในปัจจุบันนี้ก็คนละเรื่องกัน ประเทศกัมพูชาเป็นรัฐชาติที่เพิ่งถือกำเนิดหลังเป็นเอกราชจากเจ้าอาณานิคมฝรั่งเศส เพียงแต่รัฐชาติที่เกิดภายหลังมักจะสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง ผ่านการอ้างความต่อเนื่องหรือสืบทอดมาจากรัฐโบราณในอดีต รัฐชาติกัมพูชาอ้างถึงนครวัดนครธม เช่นเดียวกันรัฐชาติไทยสยามที่เพิ่งถือกำเนิดภายหลังก็อ้างเป็นทายาทสืบทอดความเก่าแก่โบราณมาจากอยุธยา จากสุโขทัย จากทวารวดี ในช่วงหลังนี้ยิ่งเตลิดเปิดเปิงกันไปอ้างไกลถึงสุวรรณภูมิกันเลยทีเดียว
ทั้งนี้ วัตถุประสงค์ของการแขวนป้าย ‘ศิลปะลพบุรี’ ก็เพราะในอดีตมีความเชื่อว่า ถ้าบอกเป็นเขมรแล้วก็อาจเป็นเหตุให้เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสสามารถเคลมเอาไปเป็นเมืองขึ้นได้ ความหวั่นวิตกในลักษณะนี้ปัจจุบันพัฒนามาสู่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา เจ้าอาณานิคมฝรั่งเศสไม่ได้เคลม คนที่เคลมในปัจจุบันกลับเป็นชาวประเทศที่ในอดีตเคยเป็นเมืองขึ้นของยุคอาณานิคมตะวันตก กลายเป็นอดีตเมืองขึ้นมาเคลมแทนเจ้าอาณานิคม
อย่างไรก็ตาม ไทยก็ใช่ย่อย บ้างก็เลยเถิดไปถึงขั้นว่า ขอมไม่ใช่เขมร คนไทยสร้างนครวัด ฯลฯ แทนที่จะคิดไปอีกขั้น กลับจมอยู่กับลัทธิคลั่งชาติความเป็นไทย จึงต่างคนก็ต่างเคลมกันไปมา
คงต้องเปิดใจให้มากขึ้น ของที่พบจะได้เป็น ‘มรดกร่วมทางวัฒนธรรม’ (Cultural heritage) สะท้อนสายสัมพันธ์ที่เพื่อนบ้านข้างเคียงในอุษาคเนย์มีร่วมกันในอดีต สลายเส้นพรมแดนของรัฐชาติต่อไป
เรื่อง: กำพล จำปาพันธ์
ภาพ: ภาพถ่ายโดย อชิรวิชญ์ อันธะพันธ์
อ้างอิง:
กำพล จำปาพันธ์ และ วริศ อุดมเวช. ‘ศาลหินปริศนากับชุมชนโบราณบนเส้นทางประวัติศาสตร์จันทบุรี-สระแก้ว-พระตะบอง’ วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ 48 ฉบับที่ 4 (ตุลาคม-ธันวาคม 2565), หน้า 136-146.
กำพล จำปาพันธ์. ‘กัมโพช: ละโว้-อโยธยาในเอกสารล้านนา’ วารสารมนุษยศาสตร์สาร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ปีที่ 15 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม-ธันวาคม 2557), หน้า 74-82.
กำพล จำปาพันธ์. ‘โกสินารายณ์: ปริศนาว่าด้วย ‘ศามพูกะ’ และ ‘เสียน’’ วารสารเมืองโบราณ. ปีที่ 43 ฉบับที่ 3 (กรกฎาคม-กันยายน 2563), หน้า 133-143.
กำพล จำปาพันธ์. ‘ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์และสังคมวัฒนธรรมของเมืองลพบุรี ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา’ มติชนอเคเดมี https://www.matichonacademy.com/tour-story (เผยแพร่ครั้งแรกวันที่ 1 เมษายน 2563).
โกรส์ลิเยร์, เบอร์นาร์ด ฟิลิปป์ (Bernard-Philippe Groslier). นี่เสียมกุก (Syam Kuk). แปลเป็นภาษาอังกฤษโดย Benedict Anderson, แปลเป็นภาษาไทยโดย กุลพันธ์ มานิตยกุล, เอเลียต แฮร์ส, อัครพงษ์ ค่ำคูณ. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2545.
จิตร ภูมิศักดิ์. ตำนานแห่งนครวัด. กรุงเทพฯ: อมรินทร์, 2545.
แชนด์เลอร์, เดวิด พี. (David P. Chandler). ประวัติศาสตร์กัมพูชา (A History of Cambodia). แปลโดย พรรณงาม เง่าธรรมสาร, สดใส ขันติวรพงศ์, วงเดือน นาราสัจจ์. กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2540.
เซเดส์, ยอร์ช (George Cœdès). เมืองพระนคร นครวัด นครธม (Angkor: an Introduction). แปลโดย ปรานี วงษ์เทศ, กรุงเทพฯ: มติชน, 2545.
ต้ากวน, โจว. (Zhou Daguan). บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ. แปลโดย เฉลิม ยงบุญเกิด, กรุงเทพฯ: มติชน, 2557.
ทะเบียนโบราณสถานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ: กองโบราณคดี กรมศิลปากร, 2529.
ธิดา สาระยา. เมืองประวัติศาสตร์: พิมาย เขาพระวิหาร อุบล ศรีสัชนาลัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2538.
รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง. ปราสาทขอมในดินแดนไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548.
ศรีศักร วัลลิโภดม. แอ่งอารยธรรมอีสาน: แฉหลักฐานโบราณคดีพลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2533.
สุจิตต์ วงษ์เทศ (บก.). ทุ่งกุลา: อาณาจักรเกลือ 2,500 ปี จากยุคแรกเริ่มล้าหลังถึงยุคมั่งคั่งข้าวหอม. กรุงเทพฯ: 2546.
สุริยวุฒิ สุขสวัสดิ์. ศิลปะร่วมแบบเขมรในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: มติชน, 2537.
สุวิทย์ ธีรศาศวัต. ประวัติศาสตร์อีสาน 2322-2483 เล่มที่ 1. ขอนแก่น: คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2557.
Bonheur, Albert Le. Of Gods, Kings, and Men: Bas-reliefs of Angkor Wat and Bayon. London: Serindia Publications, 1995.
Bunker, Emma C. and Latchford, Douglas. Khmer Bronzes: New Interpretations of the Past. Chicago: Art Media Resources, 2011.
Ishizawa, Yoshiaki. Along the Royal Roads to Angkor. New York: Weatherhill, 1999.
Jacques, Claude. ‘The historical development of Khmer culture from the death of Suryavarman II to the 16th century’ in Clark, Joyce (ed.). Bayon: New Perspectives. Bangkok: River Books, 2007.
Marwick, Arthur. ‘The Art as Sources: Use and Abuse of the Art’ in The New Nature of History: Knowledge, Evidence, Language. London: Palgrave, 2001.
Maxwell, TS. ‘Religion at the time of Jayavarman VII’ in Clark, Joyce (ed.). Bayon: New Perspectives. Bangkok: River Books, 2007.
Vickery, Michael. Society, Economics, and Politics in Pre-Angkor Cambodia: the 7th-8th Centuries. Tokyo: The Centre for East Asian Cultural Studies for Unesco, The Tokyo Bunko, 1998.