30 ส.ค. 2566 | 19:54 น.
- หลังจากที่เรนก้าวเข้ามาในฐานะแม่เลี้ยง ไดอานาและชาร์ลส์ตั้งฉายาให้เธอว่า ‘นังฝนกรด’ (Acid Raine) ซึ่งต่อมากลายเป็นคำที่สื่อมวลและชาวอังกฤษใช้เรียกเธอ
- ภายหลังเจ้าหญิงไดอานาตรัสว่า “เรนคือแม่ที่ฉันไม่เคยมี” ในขณะที่ ‘ฟรานเซส’ มารดาตัวจริงของพระองค์ เรียกลูกสาวตัวเองว่า ‘โสเภณี’
เจ้าหญิงทุกคนในเทพนิยายล้วนมี ‘แม่เลี้ยงใจร้าย’ กันทั้งนั้น แม้แต่ ‘เจ้าหญิงไดอานา’ ก็ไม่มีข้อยกเว้น ต่างกันตรงที่ ‘แม่เลี้ยง’ ที่พระองค์เคยมองว่าใจร้าย สุดท้ายกลายมาเป็น ‘แม่’ ที่มีไหล่ให้ซบ และคอยรับฟังทุกปัญหาของพระองค์
‘เรน เคาน์เตสแห่งสเปนเซอร์’ (Raine, Countess Spencer) แม่เลี้ยงที่มีเรื่องหมางใจกับลูกเลี้ยงจอมแสบแห่งตระกูล ‘สเปนเซอร์’ นานถึง 2 ทศวรรษ ก้าวเข้ามาในชีวิตของ ‘ไดอานา สเปนเซอร์’ ที่ต่อมาคนทั้งโลกรู้จักในนาม ‘ไดอานา เจ้าหญิงแห่งเวลส์’ หลังจากที่เธอสมรสกับ ‘จอห์น เอิร์ลสเปนเซอร์’ บิดาของไดอานา ในปี 1976 ขณะไดอานามีอายุ 15 ปี กำลังอยู่ในวัยหัวเลี้ยวหัวต่อ
ความสัมพันธ์ระหว่างเรนกับไดอานา อาจไม่เลวร้ายถึงขั้น ‘สโนไวท์’ กับ ‘แม่เลี้ยงใจร้าย’ ที่ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง แต่ในช่วงเริ่มต้นก็เต็มไปด้วยความอึมครึม ตึงเครียด ตามประสาแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยง ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่ปีก่อนที่ไดอานาจะสิ้นพระชนม์
‘อิงกริด ซีวอร์ด’ ผู้เขียนชีวประวัติของราชวงศ์อังกฤษ เคยให้สัมภาษณ์ถึงความสัมพันธ์ของแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงคู่นี้ว่า “ไดอานาทนเรนไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้ว คนที่คุ้มดีคุ้มร้ายอย่างไดอานาจะไม่มีวันชอบแม่เลี้ยงแบบเรน”
แล้วเรนเป็นแม่เลี้ยงแบบไหน? ถ้าตอบในมุมอิงกริด ซึ่งเป็นเพื่อนกับเรน เธอก็อวยว่าเพื่อนตัวเองเป็นผู้หญิงฉลาดและมีไหวพริบมาก จึงไม่แปลกที่เอิร์ลสเปนเซอร์จะตกหลุมรักเธอ
ส่วนในมุมของลูกเลี้ยงตระกูลสเปนเซอร์ แน่นอนว่าต่างจากอิงกริดราวกับหน้ามือเป็นหลังเท้า
‘เรน สเปนเซอร์’ ผู้ได้รับบรรดาศักดิ์ ‘เคาน์เตส’ ถึง 3 ครั้ง
‘เรน สเปนเซอร์’ เดิมมีชื่อว่า ‘เรน แมคคอร์ควอเดล’ เกิดเมื่อปี 1929 เป็นลูกคนเดียวของ ‘อเล็กซานเดอร์ แมคคอร์ควอเดล’ ทหารบกในกองทัพอังกฤษ ซึ่งเป็นทายาทของสำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง และ ‘บาร์บารา คาร์ตแลนด์’ เจ้าแม่นิยายโรมานซ์ชื่อดังของอังกฤษ ที่มีผลงานมากกว่า 700 เรื่อง ซึ่งหนึ่งในแฟนตัวยงของเธอคือ ‘ไดอานา สเปนเซอร์’ ผู้ที่ต่อมาได้กลายเป็นลูกเลี้ยงของลูกสาวนั่นเอง
บิดามารดาของเรนหย่าร้างกันตั้งแต่เธออายุเพียง 4 ขวบ มารดาของเรนแต่งงานใหม่กับญาติของอดีตสามี หลังจากนั้นบิดาก็แทบไม่มีบทบาทสำคัญอะไรในชีวิตของเธอ เรนยังมีน้องชายต่างบิดาอีก 2 คน แต่ก็ไม่ได้สนิทกันนัก เพราะอายุห่างกันค่อนข้างมาก
เรนผ่านการสมรส 3 ครั้ง ตลอดชีวิตของเธอ เธอเป็นมาแล้วทั้งคุณนายเจอรัลด์ เลกจ์ รวมถึงได้รับบรรดาศักดิ์อันทรงเกียรติอย่างไวเคาน์ติสเลวิแชม, เคาน์เตสดาร์ตมัธ, เคาน์เตสสเปนเซอร์ และเคาน์เตส เดอ แชมบรุน
เรนทำงานในรัฐบาลท้องถิ่นมาหลายปีในฐานะสมาชิกของพรรคอนุรักษ์นิยม ตอนอายุ 23 ปี เธอยังเป็นสมาชิกที่อายุน้อยที่สุดของสภาเมืองเวสต์มินสเตอร์ด้วย งานของเธอเกี่ยวข้องกับการวางผังเมือง อาคารประวัติศาสตร์ และสิ่งแวดล้อม
เมื่ออายุ 18 ปี เรนเริ่มก้าวเข้าสังคมชั้นสูงในลอนดอน ด้วยการแต่งงานกับสามีคนแรกคือ ‘เจอรัลด์ เลกจ์’ ซึ่งต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นเอิร์ลดาร์ตมัธ มีลูกด้วยกัน 4 คน ได้แก่ วิลเลียม, รูเพิร์ต, ชาร์ลอตต์ และเฮนรี ทั้งคู่หย่ากันในปี 1976 ปีเดียวกับที่เธอแต่งงานกับสามีคนที่ 2 คือเอิร์ลสเปนเซอร์ ซึ่งก็เป็นเพื่อนสนิทของสามีคนแรกด้วย
หลังจากเอิร์ลสเปนเซอร์ถึงแก่อนิจกรรมเมื่อปี 1992 เธอแต่งงานครั้งที่ 3 กับ ‘เคานต์ ฌอง-ฟรองซัวส์ ปิเนตง เดอ แชมบรุน’ ในปี 1993 ก่อนจะหย่ากันในอีก 2 ปีต่อมา
‘แม่เลี้ยงใจร้าย’ ของพี่น้องสเปนเซอร์
เมื่อไดอานารู้ว่าบิดาของเธอจะสมรสกับเรน ซึ่งตอนนั้นยังไม่หย่ากับสามีคนแรก ไดอานาถึงกับพลั้งมือตบหน้าบิดาของตัวเองด้วยความโกรธ แล้วตะโกนว่านี่คือการตบแทนลูก ๆ ทุกคน จากนั้นก็กระแทกประตูใส่หน้าบิดาอย่างเกรี้ยวกราด
ความไม่พอใจของไดอานาอาจเป็นเพราะบิดามารดาของเธอหย่ากันตั้งแต่เธออายุเพียง 6 ขวบ และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาเธอก็อุทิศชีวิตให้กับผู้เป็นบิดา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เธอจะรู้สึกขมขื่นอย่างมาก ที่หลังจากนี้ความสนใจของบิดาจะมุ่งไปที่ผู้หญิงคนใหม่ในชีวิตของเขา
ส่วน ‘ชาร์ลส์’ น้องชายของไดอานา ซึ่งเป็น ‘เอิร์ลสเปนเซอร์’ คนปัจจุบัน ก็ไม่เบา ตามข้อมูลจากหนังสือ ‘Diana: Her True Story’ ของ ‘แอนดรูว์ มอร์ตัน’ นักเขียนชีวประวัติราชวงศ์ ระบุว่า สองพี่น้องคู่นี้บอกกับบิดาว่าจะไม่ข้องเกี่ยวกับบิดาอีกต่อไป หากบิดาสมรสกับเรน
หลังจากที่เรนก้าวเข้ามาในฐานะแม่เลี้ยง ไดอานาและชาร์ลส์ตั้งฉายาให้เธอว่า ‘นังฝนกรด’ (Acid Raine) ซึ่งต่อมากลายเป็นคำที่สื่อมวลและชาวอังกฤษใช้เรียกเธอ และบ่อยครั้งที่พี่น้องสเปนเซอร์พากันร้องเพลงที่มีเนื้อร้องว่า “Raine, Raine, go away” ต่อหน้าแม่เลี้ยง ไม่เพียงแค่นั้น พวกเขายังทำราวกับเรนไม่มีตัวตน ด้วยการเลี่ยงที่จะสบตากับเธอ
รายงานของ The Independent ระบุว่า ไดอานากับชาร์ลส์เคยมอบของขวัญคริสต์มาสประหลาด ๆ อย่างหนังสือชีวประวัติของ ‘มารี อองตัวเน็ต’ ให้กับแม่เลี้ยงด้วย และดูเหมือนว่าความเกลียดชังที่เด็ก ๆ มีต่อแม่เลี้ยงคนนี้ น่าจะเป็นเพราะ ‘การวางมาด’ และ ‘ความหยาบคาย’ ของเรน ไม่ใช่เพราะเด็ก ๆ จงรักภักดีกับแม่ตัวเอง
การสมรสระหว่างเรนและเอิร์ลสเปนเซอร์ยังสร้างความโกลาหลในคฤหาสถ์อัลธอร์ปไม่หยุดไม่หย่อน เมื่อคุณผู้หญิงของบ้านตัดสินใจเลิกจ้างคนงานในคฤหาสน์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย และเปิดคฤหาสน์หลังใหญ่แห่งนี้ให้สาธารณชนเข้าชม ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ในเวลานั้น เพราะครอบครัวชนชั้นสูงอื่น ๆ ก็ต่างใช้วิธีนี้เพื่อหารายได้เช่นกัน
แต่สิ่งที่ทำให้สองพี่น้องสเปนเซอร์เคืองหนักสุดน่าจะเป็นการที่เรนตัดสินใจขายของมีค่าในคฤหาสถ์ ซึ่งรวม ๆ กันแล้วเป็นมูลค่าสูงถึง 15 ล้านดอลลาร์ จึงไม่แปลกที่เธอถูกบรรดาลูกเลี้ยงตราหน้าว่าเป็นจอมขายสมบัติของครอบครัว หนำซ้ำของที่เอาเข้ามาแทนที่ยังเป็นสิ่งที่สองพี่น้องมองว่าไร้รสนิยมสุด ๆ จนชาร์ล์สถึงกับเปรียบเปรยอย่างเจ็บแสบว่า “การตกแต่งคฤหาสถ์ครั้งนี้มีหน้าตาไม่ต่างจากเค้กแต่งงานชั้นต่ำจากโรงแรมห้าดาวในโมนาโก”
แต่เรนกลับไม่สะทกสะท้อนกับคำวิจารณ์นี้ เธอบอกว่า “ฉันคิดว่าฉันทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในคฤหาสถ์อัลธอร์ปมีโซฟาสีสันสดใสให้นั่ง แถมยังมีรูปของรูเบนส์บนกำแพง ลองคิดดูสิว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้อาศัยที่นี่”
ในหนังสือ ‘Three Times a Countess: The Extraordinary Life and Times of Raine Spencer’ ของนักเขียนและนักข่าวชื่อ ‘ทีนา เกาโดอิน’ อธิบายว่า อีกเหตุผลที่ทำให้พี่น้องสเปนเซอร์ทนแม่เลี้ยงไม่ค่อยจะได้ คือการที่แม่เลี้ยงชอบขิงว่าตัวเอง ‘เก่งเรื่องบนเตียง’ และมีครั้งหนึ่งที่เอิร์ลสเปนเซอร์ถึงกับห้ามใจไม่ไหว ขอให้คนขับรถแวะที่โรงแรมข้างทางเพื่อไป ‘กุ๊กกิ๊ก’ กับเรน โดยปล่อยให้เพื่อนกับคนขับรถนั่งรอทั้งสองเสร็จธุระด้วยความกระอักกระอ่วน
แต่ใช่ว่าเรนจะรับแต่บท ‘ตัวร้าย’ บางเรื่องเธอก็เป็น ‘นางเอก’ เหมือนกัน เพราะ 2 ปีหลังสมรส สามีก็เกิดป่วยหนักด้วยโรคหลอดเลือดสมอง จนอาการโคม่าและเกือบเอาชีวิตไม่รอด เรนทำหน้าที่ในฐานะภรรยาอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เธอคอยดูแลสามีอยู่ข้างเตียงทั้งวันทั้งคืน จนเขากลับมามีสุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตยืนยาวต่อไปอีก 14 ปี
อิงกริดมองว่า เรื่องนี้กลายเป็นจุดเปลี่ยนให้ความสัมพันธ์ระหว่างเรนกับไดอานาดีขึ้น (บ้าง)
“ไดอานาซาบซึ้งที่เรนได้ช่วยชีวิตบิดาของเธอเอาไว้ ตอนที่บิดาของเธอป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง เรนนั่งอยู่กับเขาในโรงพยาบาลทุกวัน เพียงเพื่อให้เขามีชีวิตรอด และช่วยให้เขาผ่านพ้นความเจ็บป่วยไปได้”
แต่ไดอานาก็มิอาจไว้ใจเรนได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะระหว่างที่บิดาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลก็มีข่าวด้วยว่า แม่เลี้ยงคนนี้คอยกีดกันไม่ให้พี่น้องสเปนเซอร์ได้เข้าเยี่ยมบิดา ซึ่งทำให้เหล่าลูกเลี้ยงเกลียดชังเรนมากยิ่งขึ้น
การเอาคืนของเจ้าหญิงไดอานา
ความไม่ลงรอยระหว่างแม่เลี้ยงกับลูกเลี้ยงปรากฏเป็นระยะ แต่ที่ทำเอาคนเมาท์ไม่หยุดคือตอนที่ไดอานาเข้าพิธีเสกสมรสกับเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ องค์มกุฏราชกุมารแห่งอังกฤษ ซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แล้วไดอานาหยามเกียรติเรนด้วยการจัดให้เธอไปนั่งอยู่แถวหลัง ๆ รวมกับพ่อเลี้ยง แทนที่จะให้นั่งเคียงข้างเอิร์ลสเปนเซอร์ ผู้เป็นสามี แถมยังทำราวกับลากเรนไปตบกลางมหาวิหารเซนต์พอล ด้วยการให้ ‘ฟรานเซส’ ผู้เป็นมารดา ไปนั่งแถวหน้าในพิธี
กระทั่งปี 1989 ความสัมพันธ์ระหว่างเรนกับเจ้าหญิงไดอานาก็เดินมาถึงจุดต่ำสุด
อิงกริดเผยว่า “คนในครอบครัวสเปนเซอร์ไม่ค่อยยอมรับเรนสักเท่าไหร่ ไม่มีใครชอบเธอ แล้วพวกเขาก็ทำตัวเลวทรามกับเธอ เลวทรามจริง ๆ นะ ฉันคิดว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไดอานาผลักเธอตกจากบันไดที่คฤหาสถ์อัลธอร์ป พวกเขาร้ายกาจกับเธอจริง ๆ”
ไดอานาเองก็ยอมรับเรื่องที่พระองค์ผลักเรนตกบันไดกับ ‘แอนดรูว์ มอร์ตัน’ ผู้เขียนชีวประวัติของพระองค์ โดยเล่าว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพิธีสมรสของชาร์ลส์ ซึ่งขณะนั้นมียศเป็นไวเคานต์อัลธอร์ป
“ฉันผลักเธอลงจากบันได มันทำให้ฉันสะใจมาก” ไดอานากล่าวถึงเหตุการณ์ที่พระองค์เคยทำให้แม่เลี้ยงมีแผลฟกช้ำตามร่างกาย พร้อมขยายความว่า “ฉันรับหน้าที่ระบายความคับข้องใจของทุกคนในครอบครัว ฉันได้พูดทุกอย่างเท่าที่จะพูดได้แล้ว ฉันเกลียดเธอมาก ถ้าเพียงแต่เธอจะรู้ตัวสักนิดว่าเราทุกคนเกลียดเธอมากแค่ไหน”
ด้าน ‘ซู ฮาว’ ผู้ช่วยส่วนตัวของเรน เผยถึงสาเหตุที่ทำให้เจ้าหญิงไดอานาโกรธเรนว่า ตอนนั้นเจ้าหญิงไดอานารู้สึกว่ามารดาของพระองค์ ซึ่งก็คือ ‘ฟรานเซส แชนด์ คีดด์’ ไม่ได้รับความใส่ใจมากเท่าที่ควรในพิธีสมรสของลูกชาย ส่วนเรนที่ถูกผลักตกบันไดก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก
ก่อนที่เอิร์ลสเปนเซอร์จะถึงแก่อนิจกรรมด้วยอาการหัวใจวายในปี 1992 เขารู้อยู่แล้วว่าภรรยาจะตกที่ลำบาก จึงได้สั่งเสียให้ลูก ๆ อนุญาตให้เรนอยู่ในคฤหาสถ์ต่อไปได้อีก 6 เดือน แต่หลังพ้นกำหนด ชาร์ลส์กับไดอานาก็ขอให้เรนออกไปให้พ้นจากคฤหาสถ์ทันที ไดอานายังแสดงความไม่พอใจที่เรนเก็บข้าวของใส่ในกระเป๋าเดินทางที่มีตราสัญลักษณ์ตระกูลสเปนเซอร์ แล้วต่อมาข้าวของของเรนก็ถูกเก็บใส่ถังขยะสีดำ
เมื่อสิ้นเอิร์ลสเปนเซอร์ เรนได้ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่ย่านเมย์แฟร์ของกรุงลอนดอน ซึ่งเป็นสมบัติที่สามีของเธอทิ้งไว้ให้ แล้วก็ปิดปากเงียบไม่ออกมาพูดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกเลี้ยงอีกเลย หลังจากนั้นเธอก็ไปทำงานที่ห้าง ‘แฮร์รอดส์’ โดยทำงานด้านต่างประเทศ เพราะสามารถพูดภาษาฝรั่งเศสได้อย่างคล่องแคล่ว กระทั่งได้เลื่อนไปอยู่ในบอร์ดบริหารของแฮร์รอด ทั้งที่เธอเคยออกตัวว่า ไม่เคยไปช้อปปิ้งที่ห้างแฮร์รอดส์เลย
16 เดือนหลังการจากไปของเอิร์ลสเปนเซอร์ เรนสมรสครั้งใหม่กับเคานต์ เดอ แชมบรุน ขุนนางเชื้อสายฝรั่งเศสที่มีอายุน้อยกว่า แต่ชีวิตคู่ครั้งนี้จบลงภายในเวลาเพียง 3 ปี เรนกลับมาเรียกตัวเองว่า ‘เคาน์เตสสเปนเซอร์’ อีกครั้ง ทั้งที่หมดสิทธิ์แล้ว
จากแม่เลี้ยงใจร้ายกลายเป็นคนสนิทของเจ้าหญิงไดอานา
หลังจากเรนกลายเป็นคนนอกสำหรับตระกูลสเปนเซอร์ ไม่น่าเชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับลูกเลี้ยงอย่างเจ้าหญิงไดอานาจะดีขึ้นราวปาฏิหาริย์ โดยเฉพาะในช่วงบั้นปลายชีวิตของเจ้าหญิงไดอานา มีรายงานว่าทั้งคู่สนิทสนมกันมากขึ้น หลังจากเจ้าหญิงไดอานาเชิญเรนไปรับประทานมื้อเย็น ณ ที่พักในพระราชวังเคนซิงตัน และเจ้าหญิงไดอานาได้ตรัสกับเรนว่า “ฉันรู้ว่าคุณรักพ่อของฉันอย่างสุดซึ้ง และฉันต้องขอบคุณสำหรับความรักและความสุขตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่คุณมอบให้กับเขา” จากนั้นทั้งคู่ก็โผเข้าหากันและกอดกันร้องไห้
หลังจากนั้นเรนก็กลายเป็นคนที่ได้พูดคุยกับเจ้าหญิงไดอานาอยู่บ่อย ๆ และคอยให้กำลังใจในห้วงเวลาที่เจ้าหญิงไดอานาเริ่มมีความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่กับมารดาและคนในครอบครัวของตัวเอง และเริ่มเกิดความตึงเครียดกับราชวงศ์อังกฤษ
อิงกริดเล่าว่า “เมื่อเจ้าหญิงไดอานาไม่สามารถคุยกับแม่ตัวเองได้อย่างเข้าคอ พระองค์ก็เริ่มเป็นมิตรกับเรนมากขึ้น ทั้งสองคุยกันทุกเช้า และรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันสัปดาห์ละครั้ง หรือไม่ก็ 2 สัปดาห์ครั้ง พวกเธอสนิทกันมาก เจ้าหญิงไดอานายังเคยนั่งพิงไหล่เรน แล้วเล่าปัญหาทั้งหมดให้เรนฟัง ความสัมพันธ์ของพวกเธอพลิกผันไปโดยสิ้นเชิง”
ในช่วงวิกฤตระหว่างเจ้าหญิงไดอานากับพระสวามี เรนยังเป็นผู้สนับสนุนให้พระองค์ก้าวออกมาจากราชวงศ์ กระทั่งเจ้าหญิงไดอานาหย่าขาดจากเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์ในปี 1996
ตามข้อมูลจากหนังสือของเกาโดอิน เจ้าหญิงไดอานาเคยตรัสว่า “เรนคือแม่ที่ฉันไม่เคยมี” ในขณะที่ ‘ฟรานเซส’ มารดาตัวจริงของพระองค์ เรียกลูกสาวตัวเองว่า ‘โสเภณี’ ที่กำลังเกาะแกะกับหนุ่มมุสลิม ซึ่งทำให้เจ้าหญิงไดอานาไม่พูดคุยกับมารดาของตัวเองเลยในช่วงหลายเดือนก่อนจะสิ้นพระชนม์ แตกต่างจากเรนที่เห็นดีเห็นงามเมื่อเจ้าหญิงไดอานาคบหากับ ‘โดดี ฟาเยด’ ลูกชายเจ้าของห้างแฮร์รอดส์
แต่ ‘พอล เบอร์เรลล์’ พ่อบ้านส่วนตัวของเจ้าหญิงไดอานา มองอีกมุมหนึ่ง เขาเล่าว่า “เจ้าหญิงไดอานารู้ดีว่าถ้าเธอญาติดีกับเรน ตระกูลสเปนเซอร์จะไม่มีความสุข” เขายังอ้างด้วยว่า เจ้าหญิงไดอานามักจะจัดช่างภาพคอยเก็บภาพที่พระองค์กำลังกอดกับเรนในที่สาธารณะ เพื่อสร้างความเจ็บช้ำให้มารดาตัวเอง’
ไม่ว่าเรนจะมีแรงจูงใจจากอะไรก็ตาม แต่ท้ายที่สุดเธอก็กลายเป็นหนึ่งในคนที่เจ้าหญิงไดอานาสนิทที่สุด และได้เดินทางมาร่วมพิธีศพของเจ้าหญิงไดอานาด้วยใบหน้าที่เศร้าโศกเพียงลำพัง
เมื่อมีข่าวเจ้าหญิงไดอานากับโดดีประสบอุบัติเหตุรถชนในกรุงปารีส เรนยังเป็นคนแรกที่รู้ความจริงเกี่ยวกับสิ้นพระชนม์ของเจ้าหญิง เพราะเธอได้ตรงดิ่งไปถึงโรงพยาบาล และพูดคุยกับหมอด้วยภาษาฝรั่งเศส
แม่เลี้ยงที่เจ้าหญิงไดอานาเคยจงเกลียดจงชังผู้นี้ ยังมีบทบาทสำคัญในการไต่สวนคดีในปี 2007 โดยเรนซึ่งขณะนั้นอายุ 78 ปี พยายามปกป้องเจ้าหญิงไดอานาเต็มที่ เธอถึงกับออกปากด้วยความเห็นใจว่าชีวิตลูกเลี้ยงของเธอคนนี้ “น่าเบื่อหน่ายมาก”
“ไดอานามักพูดว่า ฉันเป็นคนที่ไม่มีวาระซ่อนเร้นกับเธอ ขณะที่คนจำนวนมากต้องการบางอย่างจากเธอ เพราะเธอเป็นคนของประชาชนและโด่งดังไปทั่วโลก มันเป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายมาก”
ระหว่างการไต่สวนในกรุงลอนดอน เรนยังบอกด้วยว่า “ไดอานาหลงรักโดดีอย่าบ้าคลั่ง เธอไม่เคยมีความสุขแบบนี้มาหลายปีแล้ว และมีแนวโน้มสูงที่ทั้งคู่จะแต่งงานกัน”
ในปี 2012 จดหมายระหว่างเรนกับเจ้าหญิงไดอานาหลุดถึงมือสื่อ ในจดหมายได้แสดงให้เห็นถึงด้านที่นุ่มนวลระหว่างทั้งคู่ และคำพูดที่อบอุ่นต่อกัน อย่างไรก็ตาม เรนรู้สึกเดือดมาก และพยายามทวงถามคำตอบว่าสื่อได้จดหมายนี้มาได้อย่างไร
บั้นปลายชีวิตของเคาน์เตสสเปนเซอร์
เรนเป็นสาวสังคมจัด เธอมักจัดงานปาร์ตี้ใหญ่โตฟุ่มเฟือยกระทั่งอายุ 87 ปี โดยงานปาร์ตี้ครั้งสุดท้ายของเธอเกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในช่วงปลายปี 2016 ภายในงานเธอเชิญเพื่อนสนิทมา 30 คน เพื่อมาร่วมรับประทานมื้อเย็นด้วยกัน
ในเวลานั้นเรนรู้ตัวแล้วว่าเธอกำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง แต่เก็บเรื่องนี้ไว้เพียงคนเดียวเพราะไม่อยากทำลายบรรยากาศงานสังสรรค์ เพียงแต่ใช้มื้อเย็นเป็นการบอกลาเพื่อน ๆ ทุกคน เธอเดินพูดคุยกับเพื่อน ๆ รอบโต๊ะ และเล่าความหลังเกี่ยวกับแขกแต่ละคน น่าเศร้าที่ไม่มีแขกคนใดรู้ว่านี่เป็นการพบกันครั้งสุดท้าย กระทั่งเธอเสียชีวิตในอีกไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ขณะอายุ 87 ปี
นี่คือเรื่องราวของ ‘แม่เลี้ยง’ กับ ‘ลูกเลี้ยง’ ที่ต่างฝ่ายต่างเคยร้ายใส่กันมายาวนาน กระทั่งทั้งคู่ปล่อยวางอคติในอดีต และถอดหัวโขนความเป็นแม่เลี้ยงลูกเลี้ยงออก จึงได้พบกับ ‘มิตรภาพ’ ที่แม้แต่ความตายก็มิอาจพรากได้
ภาพ : Getty Images
อ้างอิง: