10 มี.ค. 2568 | 12:46 น.
KEY
POINTS
“เมื่อรู้ตัวว่าก้าวข้ามเส้นแบ่งเขตแดนรัฐมาแล้ว ฉันก้มมองมือตัวเองเพื่อให้แน่ใจว่า ฉันยังเป็นคนเดิมอยู่หรือเปล่า ทุกสิ่งดูสวยสง่า แสงอาทิตย์สีทองส่องลอดต้นไม้และอาบย้อมทุ่งหญ้า ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองยืนอยู่ในสรวงสวรรค์”
ประโยคที่ ‘ฮาร์เรียต ทับแมน’ (Harriet Tubman) ใช้บรรยายความรู้สึกที่ได้สัมผัสกลิ่นอายของอิสรภาพ หลังระหกระเหินหนีจากการไล่ล่าของนายทาสจนข้ามผ่านเขตแดนรัฐแมรีแลนด์และเพนซิลเวเนีย
การกระทำนั้นไม่ใช่เพียงการเดินทางจากรัฐหนึ่งไปอีกรัฐหนึ่ง หากแต่เป็นการปลดแอกตนเองจากสถานะ ‘ทาส’ หรือทรัพย์สมบัติของนายจ้าง สู่การเป็น ‘เสรีชน’ ผู้มีสิทธิทัดเทียมเพื่อนมนุษย์
10 มีนาคม ปี 1913 คือวันที่สตรีเจ้าของฉายา ‘โมเสส’ หมดลมหายใจในบ้านพักคนชราที่เธอสร้างขึ้น หกทศวรรษก่อนหน้า โมเสสผู้นี้เคยเดินทางไป-กลับระหว่างรัฐฝั่งเหนือและฝั่งใต้ ผ่านเส้นทางลับชื่อ ‘Underground Railroad’ เพื่อพาเพื่อนร่วมชาติกว่า 70 ชีวิตสู่อิสรภาพ กระทั่งวันที่ระบบทาสถูกล้มล้าง เธอก็เลือกใช้ชีวิตอยู่ที่นิวยอร์ก สร้างบ้านพักคนชราสำหรับช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ตราบจนลมหายใจสุดท้าย
การต่อสู้ เรียกร้อง และปลดแอกคือสิ่งที่อยู่คู่ชีวิตตลอดเก้าสิบปีของทับแมน จนครั้งหนึ่ง เคยเกือบมีรูปของเธอบนธนบัตร แทนที่ใบหน้าของประธานาธิบดีผู้มีสถานะเป็นนายทาส ตอกย้ำว่า การกระทำของเธอคืออนุสรณ์แห่งความกล้าหาญ ท่ามกลางบาดแผลทางประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรถูกลืมเลือน
ในช่วงต้นทศวรรษ 1820 ‘ฮาร์เรียต ทับแมน’ หรือชื่อเกิดคือ ‘อารามินตา รอส’ (Araminta Ross) เกิดในครอบครัวทาสอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตระกูล ‘บรอเดส’ (Brodess) เจ้าของไร่แห่งหนึ่งในรัฐแมรีแลนด์ สหรัฐอเมริกา และด้วยกฎหมายในสมัยนั้น การเกิดเป็น ‘ลูกทาส’ เปรียบเสมือนการถูกตีตราว่า เธอมีสถานะเป็นทรัพย์สมบัติของนายทาสตั้งแต่วินาทีแรกที่ลืมตาดูโลก
ย้อนกลับไปกลางศตวรรษที่ 19 สหรัฐอเมริกาถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายเหนือ ผู้นิยามตนเองว่าเป็น ‘Free State’ มีอุดมการณ์เลิกทาสเพื่อสร้างความสมดุลในระบบทุนนิยม และฝ่ายใต้ ซึ่งเป็น ‘Slave State’ สนับสนุนการใช้ทาสเป็นแรงงานในอุตสาหกรรมเกษตร แม้บ้านของเธอจะเป็นรัฐฝั่งใต้ แต่ก็อยู่ติดกับเพนซิลเวเนีย ซึ่งเป็นรัฐฝั่งเหนือ เรียกได้ว่า พรมแดนที่แม้จะไม่เคยเห็นด้วยตา หากแต่รับรู้ถึงการมีอยู่ คงสร้างความหวังแก่อารามินตาอยู่ลึก ๆ ว่า สักวันหนึ่ง เธออาจมีโอกาสก้าวข้ามไป
อารามินตาถูกใช้แรงงานตั้งแต่อายุเพียง 5 ขวบ เริ่มจากการเป็นพี่เลี้ยงเด็ก ก่อนจะขยับมาเป็นคนตัดฟืนเมื่อโตขึ้น คุณภาพชีวิตของเธอไม่ต่างจากปศุสัตว์ ทั้งการได้รับเพียงน้ำและอาหารประทังชีวิต แลกกับการทำงานหนักและบทลงโทษเป็นการเฆี่ยนตี ครั้งหนึ่ง ตอนอายุ 12 ปี อารามินตาบังเอิญเห็นทาสคนหนึ่งหลบหนี แต่ก็ตัดสินใจนิ่งเฉย นายทาสที่ผ่านมาเห็นได้ขว้างลูกเหล็กใส่ทาสคนนั้น ทว่ามันกลับพลาด กระแทกโดนศีรษะของเธอเต็มแรง (บ้างก็ว่าเธอปฏิเสธที่จะช่วยลงโทษทาสคนนั้น เป็นเหตุให้นายทาสโกรธและทำร้ายเธอด้วยลูกเหล็ก)
แรงกระแทกทำให้สมองของเธอกระทบกระเทือน นำมาสู่อาการชักและการนอนหลับที่ผิดปกติไปตลอดชีวิต หลายครั้งเกิดเป็นภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น ส่งผลให้เธอมักจมอยู่กับภวังค์ มองเห็นภาพโมเสสผู้ปลดแอกชาวยิว อันเป็นเรื่องราวที่ได้ฟังจากคัมภีร์ไบเบิล กระทั่งความฝันที่อยากก้าวข้ามเขตแดนรัฐ ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความมุ่งมั่นที่จะพาเหล่าเพื่อนร่วมชะตากรรมไปสู่อิสรภาพด้วยกัน
ปี 1844 ขณะอายุยี่สิบปีต้น ๆ อารามินตาแต่งงานกับ ‘จอห์น ทับแมน’ (John Tubman) คนผิวดำผู้เป็นเสรีชน (Freeman) ก่อนจะเปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี ทว่านั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานะการเป็นทาส ในที่สุด หลังใช้ชีวิตคู่ได้ห้าปี ครอบครัวบรอเดสก็ประกาศขายเธออีกครั้ง ท่ามกลางความสับสนและหวาดกลัวว่า เธอจะถูกซื้อจนไปลงเอยที่ใด จะได้พบครอบครัวอีกหรือไม่ อารามินตาจึงตัดสินใจวางแผนหลบหนี จอห์นปฏิเสธเข้าร่วม เพราะตัวเขาเป็นเสรีชนอยู่แล้ว นั่นทำให้เธอเลือกเพื่อนร่วมทางเป็นน้องชายทั้งสอง...ซึ่งยังคงหวาดระแวงและไม่มั่นใจในแผนการแสนอุกอาจของพี่สาว
และแล้ว วันเสาร์วันหนึ่งของปี 1849 สามพี่น้องก็ระหกระเหินเข้าป่า เนื่องจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นจะเปิดทำการอีกครั้งในวันจันทร์ ประกาศตามจับจึงถูกเผยแพร่ล่าช้า ทำให้พวกเขามีแต้มต่อด้านเวลาเหนือตระกูลบรอเดส น่าเสียดายที่น้องชายทั้งสองเกิดหวาดกลัวความผิด จึงตัดสินใจหันหลังกลับ ด้วยคิดว่าเผชิญบทลงโทษคงดีกว่าการถูกนักล่าทาสตามสังหาร ผิดกับอารามินตาที่ตัดสินใจเดินหน้าต่อเพียงลำพัง
ไม่มีใครรู้ว่า ระหว่างทาง สตรีผู้นี้ต้องเผชิญอุปสรรคอะไรอีกบ้าง รู้เพียงว่าท้ายที่สุด เท้าที่ถูกล่ามตรวนมาทั้งชีวิตก็เหยียบย่างสู่ผืนดินรัฐฝ่ายเหนือ พร้อมประกาศอิสรภาพโดยการเปลี่ยนชื่อเป็น ‘ฮาร์เรียต’ ตามชื่อของมารดาซึ่งยังตกนรกทั้งเป็นอยู่ในรัฐแมรีแลนด์
‘Underground Railroad’ แปลตรงตัวว่า ‘ทางรถไฟใต้ดิน’ คือแผนที่ หรือเส้นทางการหลบหนีลับ ๆ ถูกสร้างขึ้นโดยขบวนการ ‘Abolitionist’ หรือกลุ่มคนที่ต่อต้านกฎหมายการมีทาส มีสมาชิกตั้งแต่คนในรัฐฝั่งเหนือ ไปจนถึงคนผิวขาวจากฝั่งใต้ มี ‘สถานี’ และ ‘นายสถานี’ เป็นรหัสลับแทนบ้านและเจ้าของบ้าน ผู้เปิดที่อยู่อาศัยของตนให้ทาสผิวดำเข้ามาหลบซ่อนพักแรม กระจายอยู่ตามที่ต่าง ๆ บนเส้นทาง Underground Railroadเพื่อให้เหล่าทาสเดินทางไปสู่รัฐทางเหนือได้สำเร็จ
ฮาร์เรียต ทับแมน เองก็ใช้เส้นทางนี้ในการหลบหนี ทว่าหลังมีสถานะเป็นเสรีชน เธอกลับเลือกที่จะก้าวขึ้นเป็น ‘คนนำขบวนรถไฟ’ แทนที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ ด้วยความฝันที่จะปลดแอกเพื่อนร่วมชะตากรรมจากนรกบนดิน
ปี 1850 ฮาร์เรียตลักลอบเข้ารัฐแมรีแลนด์อีกครั้งเพื่อพาครอบครัวออกมาจากไร่ของบรอเดส หนึ่งปีต่อมา เธอกลับไปพบว่าสามีที่เคยรักแต่งงานใหม่ เป็นอันตัดขาดกันอย่างสมบูรณ์ นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ฮาร์เรียตทุ่มเวลาทั้งหมดไปกับการวางแผนลักลอบเข้าแดนเหนือ การเดินทางครั้งต่อ ๆ มามีทาสติดสอยห้ายตามมากขึ้นเรื่อย ๆ จนอาจพูดได้ว่า หากรหัสลับใน Underground Railroad เรียกคนท้องถิ่นผู้เปิดบ้านให้ทาสผิวดำได้พำนักว่า ‘นายสถานี’ ฮาร์เรียกก็คงอยู่ในฐานะ ‘คนนำขบวน’ ผู้ทำให้การหลบหนีสามารถดำเนินไปได้ตลอดรอดฝั่ง
ฮาร์เรียตมักเดินทางในฤดูหนาว อาศัยความมืดและความเงียบพาคนในกลุ่มลัดเลาะผ่านป่าเขา และบ้านของนายสถานี สู่เส้นแบ่งเขตแดนรัฐ รวมทั้งสิ้นกว่า 11 ครั้ง ตลอดระยะเวลาสิบปี กลายเป็นฉายา ‘โมเสส’ เรียกขานในหมู่ทาส จนเกิดเป็นหมายจับพร้อมค่าหัวสูงลิ่ว กระนั้น ก็ไม่เคยมีนายทาสคนใดเฉลียวใจว่า โมเสสผู้กระทำการอุกอาจ แท้จริงแล้ว เป็นเพียงหญิงสาวคนหนึ่งที่อำพรางตัวในคราบเสรีชนผู้อ่านออกเขียนได้ พร้อมทั้งอาศัยไหวพริบปณิธานในการตบตาเจ้าหน้าที่
“ฉันไม่เคยทำรถไฟเบี่ยงเส้นทาง และฉันไม่เคยสูญเสียผู้โดยสารเลยสักคน”
ประโยคที่ฮาร์เรียตใช้นิยามการทำงานของตนในฐานะผู้นำขบวน แม้บางหลักฐานจะชี้ว่า ‘การไม่เคยสูญเสียผู้โดยสาร’ จะเกิดจากการที่เธอใช้อาวุธขู่บังคับทาสในกลุ่มที่ต้องการหันหลังกลับให้เดินทางต่อ เพื่อป้องกันการแพร่งพรายความลับ ก็ตาม
ฮาร์เรียตไม่เพียงเป็นที่โจษขานในฐานะสตรีผิวดำผู้ขับเคลื่อนขบวนรถไฟ Underground Railroad แต่ยังรวมถึงการที่เธออุทิศชีวิตให้กับสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา ระหว่างปี 1861 - 1865 ในฐานะพยาบาลและหน่วยลาดตระเวน ก่อนจะประกาศชัยชนะใน ‘ยุทธการแม่น้ำคอมบาฮี’ (Combahee River Raid) ปี 1863 เมื่อเธอซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำทัพสามารถเข้าช่วยเหลือทาส 750 ชีวิตจากฝั่งใต้มาได้สำเร็จ
น่าเศร้าที่หลังสงครามสิ้นสุดพร้อมชัยชนะของฝ่ายเหนือ ผลตอบแทนที่สหรัฐฯ มอบให้เธอกลับน้อยนิด ด้วยเพศกำเนิดที่เป็นผู้หญิง ประกอบกับการเป็นคนผิวดำ ซึ่งไม่ว่ารัฐฝ่ายเหนือจะสนับสนุนการเลิกทาสเพียงใด ก็ยังไม่วายถูกมองเป็น ‘พลเมืองชั้นสอง’ ในสายตาของคนผิวขาวจำนวนมากอยู่ดี ไม่ต่างจากประเด็นสิทธิมนุษยชนของทาสผิวดำซึ่งถือเป็นประเด็นรองในการก่อสงครามมาตั้งแต่ทีแรก ขณะที่ประเด็นหลักคือการปลดปล่อยทาสเพื่อให้พวกเขามีโอกาสจับจ่ายใช้สอยอย่างเสรี ตามระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมที่รัฐฝั่งเหนือเลือกใช้
ในปี 1869 เมื่อพบว่าตนเองโดนเมินเฉยจากรัฐบาล ฮาร์เรียตก็มาอาศัยอยู่ที่นิวยอร์ก แต่งงานใหม่อีกครั้งพร้อมรับอุปการะบุตรบุญธรรม ก่อนจะเดินหน้าเรียกร้องสิทธิสตรี รวมถึงช่วยจัดหางาน ให้ที่พัก อำนวยความสะดวกแก่กลุ่มคนผิวดำจนบั้นปลายชีวิต ในที่สุด วันที่ 10 มีนาคม 1913 โมเสสผู้นี้ก็สิ้นลมหายใจด้วยโรคปอด ในบ้านพักคนชราที่เธอเป็นคนสร้างขึ้น
เรื่องราวของฮาร์เรียตถูกบอกเล่าต่อมาเรื่อย ๆ ในฐานะสตรีผู้กล้าหาญ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชัยชนะของฝ่ายเหนือในสงครามกลางเมือง เป็นเหตุให้สิทธิมนุษยชนเริ่มเบ่งบานในสหรัฐอเมริกามาจนทุกวันนี้
แม้ตลอดเวลาที่มีชีวิตอยู่ สหรัฐอเมริกาจะทำเสมือนหลงหลืมวีรกรรมของเธอ แต่ในปี 2016 กระทรวงการคลังก็ได้ประกาศวางแผนพิมพ์รูปของเธอบนธนบัตร แทนที่ใบหน้าของ ‘แอนดรูว์ แจ็คสัน’ (Andrew Jackson) อดีตประธานาธิบดีผู้เคยมีสถานะเป็นนายทาส แม้แผนงานดังกล่าวจะยังไม่เกิดขึ้นด้วยปัจจัยหลาย ๆ อย่าง แต่อย่างน้อยก็เป็นเรื่องน่ายินดี ที่เรื่องราวการต่อสู้นั้นยังถูกเล่าขาน แม้จะล่วงเวลามากว่าศตวรรษ
และในวันที่โลกเต็มไปด้วยการนองเลือด สิทธิมนุษชนของประชาชนในหลาย ๆ ประเทศยังไม่ได้รับการเหลียวแล เรื่องราวของเด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ผู้เติบโตในชนชั้นที่ไร้วี่แววว่าจะสามารถลืมตาอ้าปาก กลายมาเป็นนักต่อสู้เพื่อสิทธิของเพื่อนร่วมชะตากรรมนับล้าน กระทำเรื่องกล้าหาญอย่างการแหวกผืนดินสหรัฐอเมริกา ไม่ต่างจากโมเสสแหวกน้ำทะเลในคัมภีร์ไบเบิลนั้น จึงเป็นเรื่องที่จะถูกจดจำไปอีกนานแสนนาน ยิ่งกว่าการถูกพิมพ์รูปบนธนบัตรใบละ 20 ดอลลาร์ เสียอีก
เรื่อง: พงศภัค พวงจันทร์ (The People Junior)
ภาพ: Getty Images
อ้างอิง:
Britannica, (2025), Harriet Tubman American Abolitionist, ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://www.britannica.com/biography/Harriet-Tubman
Joel Gunter, (2016), Harriet Tubman: Former slave who risked all to save others, ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://www.bbc.com/news/business-36099791
National Park Service, (2025), What is Undergroung Railroad, ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://www.nps.gov/subjects/undergroundrailroad/what-is-the-underground-railroad.htm
Paul Donnelly, (2013), Harriet Tubman’s Great Raid, ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://archive.nytimes.com/opinionator.blogs.nytimes.com/2013/06/07/harriet-tubmans-great-raid/
Shay Dawson, (n.d.), Harriet Tubman (1822-1913), ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://www.womenshistory.org/education-resources/biographies/harriet-tubman
กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม, (2023), หญิงผิวดำนักสู้เพื่อปลดปล่อยทาสเตรียมขึ้นหน้าธนบัตรสหรัฐฯ แทนที่อดีตปธน.ผู้เป็นนายทาส, ค้นเมื่อ 21 กุมภาพันธ์ 2025 จาก https://www.silpa-mag.com/history/article_1076