29 ก.ย. 2566 | 17:12 น.
- The Help หนังที่เป็นเรื่องราวของ ‘สกีเตอร์’ นักเขียนมือใหม่ ที่เกิดไอเดียเขียนหนังสือแฉพฤติกรรมนายจ้างผิวขาวแทน เพื่อให้คนได้รับรู้ถึงสิ่งที่เหล่าคนรับใช้ผิวดำต้องเผชิญในแต่ละวัน
- ‘มินนี่ แจ๊คสัน’ หนึ่งในหญิงรับใช้ผิวดำที่ตัดสินใจออกมาเปิดโปงพฤติกรรม ‘เหยียดเชื้อชาติ’ ของนายจ้างสาว ซึ่งถูกแก้แค้นด้วย ‘พายสูตรพิเศษ’
- อาชีพการงานในฐานะหญิงรับใช้ของมินนี่มาถึงจุดสมดุล เมื่อได้พบกับนายจ้างสาวชื่อ ‘ซีเลีย ฟุท’ รับบทโดย ‘เจสสิกา แชสเทน’ ที่เป็น ‘คนชายขอบ’ สำหรับเมืองแจ๊คสัน ไม่ต่างจากคนผิวดำ
“eat my shit”
นี่คือคำพูดอันแสนเลือดเย็นที่อัดแน่นด้วยความแค้นสุมทรวงของ ‘มินนี่ แจ๊คสัน’ หนึ่งในสามตัวละครหลักของ ‘The Help’
‘The Help’ หนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายชื่อเดียวกัน กำกับโดย ‘เทต เทย์เลอร์’ ว่าด้วยเรื่องราวของสาวใช้ผิวดำ กับนักเขียนหญิงมือใหม่วัย 23 ปี ที่ช่วยกันเปิดโปงความร้ายกาจจากการ ‘เหยียดเชื้อชาติ’ ของนายจ้างผิวขาว ภายในเมืองแจ๊คสัน รัฐมิสซิสซิปปี สหรัฐอเมริกา ในช่วงต้นทศวรรษ 1960
*บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนของภาพยนตร์เรื่อง The Help
‘เอ็มมา สโตน’ รับบทเป็น ‘ยูจีเนีย ฟีแลน’ นักเขียนผู้ฉลาดหลักแหลม มีชื่อเล่นว่า ‘สกีเตอร์’ ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีอยากจะเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับการบ้านการเรือน แต่ปัญหาคือเจ้าตัวไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหัวข้อนี้เลย เธอจึงต้องไปขอคำแนะนำจาก ‘ไอบิลีน’ รับบทโดย ‘วิโอลา เดวิส’ ซึ่งเป็นหญิงรับใช้ผิวดำของเพื่อนสาว
แต่เมื่อการเหยียดเชื้อชาติทวีความรุนแรงขึ้น และเพื่อนสาวของสกีเตอร์ที่ชื่อ ‘เอลิซาเบธ’ เริ่มแสดงความใจร้ายออกมา สกีเตอร์จึงเปลี่ยนใจหันมาเขียนหนังสือแฉพฤติกรรมนายจ้างผิวขาวแทน เพื่อให้คนได้รับรู้ถึงสิ่งที่เหล่าคนรับใช้ผิวดำต้องเผชิญในแต่ละวัน โดยคนแรกที่เธอขอความร่วมมือก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ไอบิลีนนั่นเอง
“มีอย่างอื่นที่ฉันอยากจะเขียนถึง และฉันต้องการความช่วยเหลือจากคุณ” สกีเตอร์เริ่มพูดกับไอบิลีน “ฉันอยากสัมภาษณ์คุณเรื่องการทำงานเป็นสาวใช้ ฉันอยากทำหนังสือเกี่ยวกับการทำงานให้กับครอบครัวคนผิวขาว และเราจะทำให้คนได้รู้ว่าการทำงานกับเอลิซาเบธมันเป็นอย่างไร”
สกีเตอร์ยังขอให้ไอบิลีนชักชวนเพื่อนที่เป็นสาวรับใช้อีก 4 - 5 คน มาเปิดใจถึงการทำงานให้กับครอบครัวไฮโซผิวขาวในเมืองแจ๊คสันด้วย แต่ก็ไม่ค่อยได้รับความร่วมมือในช่วงแรก
หนังสือของสกีเตอร์เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เมื่อสาวใช้ผิวดำในเมืองแจ๊คสันถูกเหยียดหยามมากเกินทน โดยมีจุดเริ่มต้นจากควีนบีตัวร้าย ‘ฮิลลี่ โฮลบรูค’ รับบทโดย ‘ไบรซ์ ดัลลาส ฮาวเวิร์ด’ ที่เริ่มออกมารณรงค์ว่า การปล่อยให้คนผิวดำใช้ห้องน้ำในบ้านนั้นเป็นสิ่งที่ ‘ไม่ถูกสุขลักษณะ’ พร้อมแนะนำให้เพื่อน ๆ สร้างห้องน้ำแยกออกมานอกบ้านสำหรับสาวใช้ผิวดำโดยเฉพาะ หนำซ้ำฮิลลี่ยังไล่สาวใช้ผิวดำคนโปรดของแม่ตัวเองออก หลังจากเธอบังอาจใช้ห้องน้ำในบ้าน (เพราะข้างนอกมีพายุฝนรุนแรง) แถมยังเที่ยวโพนทะนาว่าสาวใช้คนนี้ขโมยของของเธอ จนสาวใช้โชคร้ายหางานทำไม่ได้
สาวใช้ผิวดำผู้นี้มีนามว่า ‘มินนี่ แจ๊คสัน’ รับบทโดย ‘ออคตาเวีย สเปนเซอร์’ ที่ต่อมายอมเปิดเผยเรื่องราวของตัวเองกับสกีเตอร์
“ฉันจะทำ แต่ฉันต้องแน่ใจก่อนว่าคุณไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นแค่เกม” มินนี่กล่าวกับสกีเตอร์
และเป็นมินนี่คนนี้นี่เองที่ได้สร้างฉากจำสุดคลาสสิกให้กับหนัง ‘The Help’ นั่นคือฉากที่เธอทำ ‘พายช็อกโกแลต’ ไปเสิร์ฟเจ้านายเก่าอย่างฮิลลี่
ฉากที่ว่านั้นเริ่มต้นเมื่อมินนี่เดินถือพายช็อกโกแลตอันเลื่องลือของเธอไปที่บ้านของฮิลลี่ ทำทีเป็นมาขอโทษอดีตนายสาว พอเห็นพายช็อกโกแลตของโปรด ฮิลลี่ก็อดใจไม่ไหว เธอจ้วงพายเข้าปากคำแล้วคำเล่า ปากก็เอาแต่พร่ำพรรณนาว่าอร่อยอย่างนั้นอร่อยอย่างนี้
“เธอใส่อะไรลงไปในพายอะมินนี่” ฮิลลี่ถามแบบไม่ได้หวังอะไรกับคำตอบ แล้วก็ก้มหน้าก้มตากินพายต่ออย่างเอร็ดอร่อย
มินนี่ยืนมองอดีตเจ้านายสาวอย่างใจเย็น กระทั่งแม่ของฮิลลี่เดินเข้ามาขอชิมพายบ้าง แต่มินนี่ไม่ยอม บอกแต่ว่าพายชิ้นนี้ทำขึ้นมาพิเศษเพื่อฮิลลี่เท่านั้น
ฮิลลี่ที่อยากให้แม่ตัวเองได้ลองชิมพายสุดพิเศษจึงเริ่มอารมณ์เสีย เธอแสดงกิริยาไม่น่ารักด้วยการผลักถาดพายใส่มินนี่อย่างเสียมารยาท ถึงจุดนี้มินนี่มิอาจข่มอารมณ์ไว้ได้ เธอจึงเอ่ยขึ้นมาอย่างเลือดเย็นว่า
“eat my shit”
ฮิลลี่ฟังแล้วยังแทบไม่เชื่อหูตัวเอง เธอถามย้ำมินนี่อีกครั้ง แล้วมินนี่ก็ยืนยันตามเดิม ผลก็คือฮิลลี่วิ่งออกไปอ้วกแทบไม่ทัน ส่วนผู้เป็นแม่ก็ได้แต่ขำตัวงอ ตะโกนไล่หลังให้มินนี่รีบหนีไป
เช่นเดียวกับไอบิลีน มินนี่ทำงานเป็นสาวใช้ตั้งแต่เธอยังเป็นวัยรุ่น แต่เธอต่างจากไอบิลีนตรงที่เป็นคนอารมณ์ร้อน และชอบต่อปากต่อคำกับนายจ้างผิวขาว ทำให้เธอถูกไล่ออกหลายต่อหลายครั้ง
แต่อาชีพการงานในฐานะหญิงรับใช้ของเธอก็มาถึงจุดสมดุล เมื่อได้พบกับนายจ้างสาวผิวขาวชื่อ ‘ซีเลีย ฟุท’ รับบทโดย ‘เจสสิกา แชสเทน’ ที่เป็น ‘คนชายขอบ’ สำหรับเมืองแจ๊คสัน ไม่ต่างจากสาวผิวดำ
ซีเลียนั้นต้องการเป็นส่วนหนึ่งของเมืองแจ๊คสันอย่างมาก แต่เธอกลับไม่ได้รับการต้อนรับจากผู้คนในเมืองนี้ เพราะดันไปแต่งงานกับ ‘จอห์นนี ฟุท’ แฟนเก่าของฮิลลี่
ซีเลียแอบจ้างมินนี่ทำอาหารและทำงานบ้าน เพื่อไม่ให้จอห์นนี่ผู้เป็นสามีรู้ว่าเธอขาดคุณสมบัติการเป็นแม่บ้านแม่เรือน แต่ท้ายเรื่อง ซีเลียก็ค้นพบว่าความรักของสามี และมินนี่ที่เป็นเพื่อนที่ดีของเธอ เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ฝั่งมินนี่ เมื่อเห็นซีเลียแวบแรก เธอทึกทักไปเองว่าซีเลียเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาวและติดเหล้า แต่พอได้มาทำงานที่บ้านของซีเลีย เธอจึงได้รู้ว่านายจ้างสาวที่เพิ่งย้ายมาจากต่างถิ่นกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาลูกในท้องตัวเองเอาไว้ ซึ่งเป็นความท้าทายที่มินนี่เองก็ไม่เคยเจอมาก่อน
มินนี่ยังต้องแปลกใจเข้าไปอีกเมื่อซีเลียเข้ามาช่วยชีวิตตัวเองจากผู้บุกรุก หลังจากนั้นความสัมพันธ์ระหว่างมินนี่กับซีเลียก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนมินนี่เริ่มเข้าใจแล้วว่าไม่ใช่คนผิวขาวทุกคนในเมืองแจ๊คสันที่ใจร้ายกับคนผิวดำ
แม้ว่าภายนอกของมินนี่จะดูเป็นคนแข็ง ๆ แต่ลึกลงไปในหัวใจ เธอเป็นคนที่ห่วงใยครอบครัวและชุมชนของเธออย่างลึกซึ้ง และเหตุผลที่เธอตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสกีเตอร์ก็เพราะหวังที่จะมอบอนาคตที่ดีกว่าให้กับลูก ๆ ของเธอ
หลังจากลูกสาวของมินนี่ต้องมาทำงานเป็นคนรับใช้ มินนี่หวังว่าหนังสือของสกีเตอร์จะทำให้ผู้หญิงผิวขาวใจดีกับสาวใช้ของตัวเองขึ้นมาบ้าง มินนี่ยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงผลักดันให้สาวใช้คนอื่น ๆ ยอมให้สัมภาษณ์กับสกีเตอร์ และยอมวางเดิมพันใหญ่สุดด้วยการนำเรื่องพายที่ตัวเองทำให้ฮิลลี่มาใส่ไว้ในหนังสือเพื่อปกป้องสาวใช้ผิวดำคนอื่น ๆ
แม้จะพยายามสยายปีกคุ้มครองคนอื่น ๆ อย่างกล้าหาญ ทว่ามีเพียงคนเดียวที่มินนี่ ‘เกรงกลัว’ นั่นคือสามีของเธอที่ชื่อ ‘ลีรอย’ ผู้ซึ่งบังคับให้ลูกสาวคนโตลาออกจากโรงเรียนเพื่อไปทำงานเป็นคนรับใช้หาเงินเข้าบ้าน ตอนที่มินนี่ถูกฮิลลี่ไล่ออกจากงาน แล้วยังหางานใหม่ไม่ได้
แม้หลายคนจะยังขำกรามค้างจากฉากพายที่เป็นตำนาน แต่พอนึกถึงฉากที่มินนี่บรรจงลูบไปที่ใบหน้าของลูกสาว ที่สวมชุดสาวรับใช้เตรียมขึ้นรถบัสไปทำงานวันแรก เรากลับรู้สึกหดหู่จนน้ำตาไหลไม่หยุด
ฉากนี้แทบไม่มีบทพูดของสองแม่ลูกที่สบตากันท่ามกลางความเงียบงัน แต่มันหนักอึ้งไปด้วยความรู้สึกของคนเป็น ‘แม่’ ที่เจ็บปวดเกินบรรยาย
นอกจากสภาพจิตใจที่ร้าวราน หลายฉากในหนังยังแสดงให้เราเห็นว่ามินนี่ต้องทนเจ็บปวดร่างกายพร้อมกันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นฉากที่เธอถูกสามีขว้างปาสิ่งของใส่ หลังจากที่เธอโทรฯ หาไอบิลีนเพื่อเล่าเรื่องพายที่เธอทำให้ฮิลลี่กิน จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ไอบิลีนที่ได้ยินเสียงมินนี่ถูกทุบตี และร้องขอให้ลีรอยหยุดทำร้ายเธออย่างน่าเวทนา
“ในแต่ละวันที่มินนี่ตกงาน เธอก็ยิ่งห่างไกลจากฉันมากขึ้นเรื่อย ๆ”
ส่วนอีกฉากเป็นตอนที่ซีเลียสังเกตเห็นรอยแผลขนาดใหญ่เหนือดวงตามินนี่ มินนี่บอกซีเลียว่าเธอล้มในอ่างอาบน้ำ แต่ซีเลียบอกว่าเธอรู้ว่ามินนี่ถูกสามีทำร้ายร่างกาย
มินนี่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองออกมาจากชีวิตคู่ที่เจ็บปวดนี้ได้อย่างไร อีกทั้งเธอยังพยายามปกปิดความผิดให้สามี เช่นเดียวกับหญิงผิวดำหลายคนในชุมชนเมืองแจ๊คสันที่ตกเป็นทั้งเป้าการแบ่งแยกเชื้อชาติ และการกีดกันทางเพศ พวกเธอเหล่านี้ต้องก้มหน้าทำงานรับใช้ ทั้งทำอาหาร ทำความสะอาด และเลี้ยงเด็ก ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านนายจ้างหรือที่บ้านของตัวเอง
แต่ท้ายที่สุด มินนี่ก็ค้นพบ ‘ความเข้มแข็ง’ และ ‘ความมั่นใจ’ จากการมีส่วนร่วมสำคัญในหนังสือของสกีเตอร์ และการได้ทำงานที่มั่นคงกับซีเลีย เธอจึงสามารถเดินออกจากชีวิตของลีรอยได้ตลอดกาล
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ตัวละครชื่อมินนี่ได้ทำให้เราเห็นคือ ‘การพูดความจริง’ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ไม่เพียงแต่ในระดับสังคม แต่รวมถึงระดับบุคคลด้วยเช่นกัน
หนังเรื่อง The Help ปี 2011 สร้างจากนวนิยายซึ่งตีพิมพ์ในปี 2009 ของ ‘แคทริน สต็อกเก็ตต์’ นักเขียนผิวขาวผู้ถ่ายทอดประสบการณ์ของหญิงผิวดำผ่านปลายปากกา ในขณะที่นักวิจารณ์บางคนถล่มว่า แท้จริงแล้วสต็อกเก็ตต์เป็นพวกโรแมนติไซส์ (romanticizing) ‘การเป็นทาสรับใช้ในบ้าน’ (Domestic servitude) เห็นได้จากการพรรณนาถึงความรักที่พี่เลี้ยงผิวดำมีต่อเด็กผิวขาว
นักวิจารณ์ยังจวกด้วยว่านวนิยายเรื่องนี้เต็มไปด้วยตัวละครที่ตอกย้ำทัศนคติแบบเหมารวมของชาวแอฟริกัน - อเมริกัน เช่น สาวใช้ผิวดำสุดโอหัง กับสามีที่ไม่เอาไหนและชอบใช้ความรุนแรง
แต่ถึงแม้ผู้เขียนหนังสือจะถูกวิจารณ์ยับแค่ไหน สุดท้ายสารจากนวนิยายและหนังที่ดัดแปลงจากนวนิยายเรื่องนี้ก็สื่อถึงความเป็นจริงที่ว่า ‘การเหยียดเชื้อชาติ’ ไม่สามารถขจัดให้หมดสิ้นออกไปจากสังคมได้ แต่ความมืดมิดจากความไม่เท่าเทียมก็ไม่ควรหยุดเราไม่ให้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเท่าเทียมและความยุติธรรมทางสังคมต่อไป และเราต้องใช้เสียงของตัวเองให้เกิดประโยชน์ เพื่อช่วยเหลือคนชายขอบอีกจำนวนมาก ที่ยังคงต้องทนทุกข์อยู่ในความเงียบจนถึงทุกวันนี้