12 มี.ค. 2562 | 13:11 น.
มือกีตาร์ระดับท็อป 5 ของญี่ปุ่นอย่าง "สึกิโซะ" (SUGIZO) แห่งวง Luna Sea และ X Japan วงร็อกระดับตำนานของประเทศญี่ปุ่น ได้แวะมาเยือนประเทศไทยของเราอีกครั้งช่วงต้นเดือนมีนาคม 2562 และครั้งนี้มาพร้อมกับโชว์ผลงานเดี่ยวเต็มรูปแบบ ที่เขาเปรียบมันเป็นการเดินทางในชีวิต “คอนเสิร์ตของผมเปรียบเหมือนการเดินทาง set list ของผมเปรียบเสมือนแผนที่ แต่ละบทเพลงมีหน้าที่พาทุกคนออกเดินทาง” บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งของ สึกิโซะ ในนิตยสาร Overdrive Guitar Music สึกิโซะ ถือเป็นอัจฉริยะทางด้านดนตรีของอุตสาหกรรมดนตรีญี่ปุ่น นอกจากจะโด่งจากการเป็นมือกีตาร์และไวโอลินของวง Luna Sea แล้ว อีกหนึ่งไฮไลท์ในชีวิตของเขาคือการได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงระดับตำนานอย่าง X Japan เพื่อทดแทนการจากไปของตำนานอย่าง ฮิเดะ แม้จะเป็นสุดยอดในด้านดนตรี แต่หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า สึกิโซะ ผ่านชีวิตในวัยเด็กที่ไม่ค่อยน่ารื่นรมย์เท่าไหร่นัก เขาเกิดมาพร้อมความคาดหวังจากพ่อผู้เป็นนักดนตรีคลาสสิก แน่นอนสึกิโซะและดนตรีเริ่มต้นรู้จักกันผ่านความเกลียดและความกลัว เขาถูกบังคับให้เล่นไวโอลินตั้งแต่ 3 ขวบ และต้องฝึกซ้อมไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมงต่อวัน เขาซ้อมหนักมากขนาดที่ว่าวันไหนซ้อมไม่เสร็จก็ไม่ได้กินข้าวเย็น หรือบางครั้งหนักถึงขั้นโดนตีอีกด้วย (ถ้าตอนไหนเล่นผิด) แต่ 16 ปีผ่านมาเขาได้รู้จักกับดนตรีร็อกที่เปลี่ยนชีวิตเขาตลอดกาล สึกิโซะในวัย 19 ปี เปลี่ยนความชิงชังในดนตรีเหล่านั้นให้กลายเป็นความรักได้อย่างไร วันนี้เราได้มีโอกาสนั่งคุยกับศิลปินระดับท็อปคนนี้เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาในชีวิตของเขา The People : คุณโดนบังคับให้ซ้อมดนตรี (ไวโอลิน) อย่างหนักตั้งแต่ 3 ขวบ จนทำให้ตอนนั้นคุณเกลียดดนตรีมากจริงไหม สึกิโซะ : ผมเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่ 3 ขวบ แต่นึก ๆ ไปมันก็จำอะไรไม่ค่อยได้เลย จำได้อีกทีคือตอนเริ่มเล่นแล้ว เหมือนกับตอนนั้นไม่มีกะจิตกะใจที่จะเล่นมากกว่า The People : ไวโอลินกลายเป็นสิ่งที่คอยหลอกหลอนคุณเลยหรือเปล่า สึกิโซะ : ตอนนั้นผมเกลียดการเล่นไวโอลินมาก แต่ตอนนี้ผมชอบมันแล้ว The People : แต่จากความเกลียดนั้น อะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้คุณหันมารักมันได้ สึกิโซะ : ผมเลิกเล่นไวโอลินไปตอนอายุ 16 เพราะความทรงจำตั้งแต่ 3 ขวบ ถึง 16 มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเหมือนเป็นการโดนบังคับให้เล่น ถ้าเล่นผิดก็โดนว่าอีก มันจึงทำให้ผมกลัวมากที่จะเล่น แต่สุดท้ายผมก็ได้กลับมาเล่นมันอีกครั้งตอนอายุ 20 ปี เพราะว่าผมต้องใช้เป็นเครื่องดนตรีในการเล่นวง Luna Sea นั่นแหละผมก็เลยได้กลับมาเล่นไวโอลินอีกครั้ง The People : ถ้าย้อนกลับไปได้ คุณอยากขอบคุณพ่อกับแม่ไหมที่เข้มงวดกับคุณในวันนั้น สึกิโซะ : ณ ตอนนี้ ผมรู้สึกขอบคุณพ่อกับแม่นะ แต่อาจเป็นเพราะตอนนั้นผมโดนเข้มงวดมากเกินไปจนทำให้รู้สึกกลัว มันจึงเป็นความทรงจำที่เล่นดนตรีอย่างกลัว ๆ แต่ถ้าผมเป็นพ่อแม่ ผมจะสอนให้รู้สึกว่าดนตรีคือความสนุก ผมจะสอนให้สนุกในการเล่นมากกว่าจะอาศัยความกดดัน เพราะถ้าย้อนกลับไปตอนนั้นผมรู้สึกสนุกกับมัน ทุกวันนี้ผมอาจกลายเป็นโปรด้านไวโอลินไปแล้ว The People : ดนตรีร็อกมีความหมายกับคุณอย่างไร สึกิโซะ : คำถามยาก (หัวเราะ) เพราะผมเป็นนักดนตรีร็อก สำหรับผมดนตรีร็อกเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นกว่าดนตรีแขนงอื่น ถ้าจะให้ขยายความก็คือ การใช้ชีวิตและทัศนคติของผม มันเหมือนมาจากดนตรีร็อก เช่น ถ้าผมมีปัญหาที่ไม่สามารถผ่านมันไปได้ ดนตรีร็อกคือสิ่งที่ทำให้ผมไปต่อข้างหน้าได้ อย่างการที่ผมอยู่กับอะไรเดิม ๆ ดนตรีเดิม ๆ และผมสามารถทลายกำแพงเดิม ๆ ที่มีอยู่ และสร้างอะไรใหม่ ๆ ได้ มันคือรูปแบบการใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งของผม ผมมองว่าอย่าง บีโธเฟ่น หรือ ปีกัสโซ่ ทุกคนมีความเป็นร็อกหมดเลย เพราะพวกเขาสามารถก้าวข้ามผ่านสิ่งเดิม ๆ และสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาได้เสมอ The People : คุณมีวิธีคิดในการทำเพลงอย่างไร เพราะงานเดี่ยวของคุณแทบไม่มีกลิ่นอายที่ใช้ใน Luna Sea หรือ X Japan เลย สึกิโซะ : ผมมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่ผมไม่สามารถที่จะแสดงออกในดนตรีหรือรูปแบบของวงร็อกได้ ในตัวผมมันยังมีดนตรีที่ผมสามารถขับออกมาภายในงานเดี่ยวได้ (แสดงตัวตนที่หลากหลายออกมาได้มากกว่า) The People : 10 ปีก่อนในการเล่นดนตรี คุณคิดว่าแนวเพลงที่คุณทำในตอนนี้มีอยู่ในความคิดคุณหรือยัง ถ้ามีมันเกิดขึ้นได้อย่างไร และจากอิทธิพลอะไร สึกิโซะ : ในแง่ของ 10 ปีก่อนก็ไม่ต่างอะไรกับตอนนี้ เพราะว่าใน 10 ปีที่แล้วผมรู้สึกว่าผมค้นพบแนวทางของตัวเองแล้ว แค่ทุกวันนี้มันลึก (deep) ลงมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ มากกว่า The People : แล้วอีก 10 ปีข้างหน้า คุณคิดไว้หรือยังว่ามันจะเป็นแบบไหน สึกิโซะ : คิดว่าหลัก ๆ ก็น่าจะเดินตามทางที่ตัวเองปูอยู่ แต่ก็อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงทำอะไรใหม่ ๆ ได้เหมือนกัน ไม่มีทางรู้ได้เลย The People : บทเพลงของคุณดูจะต้องอาศัยจินตนาการและความเข้าใจในดนตรีมากพอสมควร คุณเคยพบเจอสถานการณ์ที่แฟนเพลงเพิกเฉยต่อเพลงของคุณบ้างหรือไม่ โดยเฉพาะการแสดงสดที่บางครั้งคนฟังอาจจะเข้าไม่ถึง สึกิโซะ : ก็เคยมีที่แฟน ๆ ไม่ค่อยเข้าใจเพลงของผม แต่จริง ๆ ผมไม่ได้ทำเพลงเพื่อจะมาให้คนประเมินได้ ผมจะใส่เรื่องในแง่ของจิตใจและแก่นความคิดของผมลงไปในเพลง เพื่อให้เพลงสามารถไปถึงทุกคนให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ The People : การซ้อมเยอะสำคัญต่อการเป็นนักดนตรีมั้ย หรือซ้อมน้อยก็เก่งได้ สึกิโซะ : ผมมองว่าการฝึกฝนเป็นสิ่งที่สำคัญมาก จริง ๆ แล้วการเป็นนักกีตาร์มันมีระดับฝึกหลาย ๆ อย่าง ในแง่แรกคือ skill ทักษะการใช้กำลัง ทักษะของการออกแรงที่ดี คือเหมือนกับต้องฝึกฝนให้คล่องแคล่ว แต่ด้วยความที่มันเป็นดนตรี ทักษะการใช้กำลังมันไม่ใช่ทุกอย่าง อีกอย่างคือตัว sense เพราะผมมองว่าสิ่งนี้ต่อให้ฝึกฝนแค่ไหน ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ แต่เรื่องนี้มันเป็นสิ่งที่สามารถไปค้นคว้าหาความรู้ สะสมข้อมูลให้มีมากขึ้นได้ ผมมองว่าถ้ามีสองสิ่งนี้ คือตัว sense กับ skill ถ้ามันไปด้วยกันมันก็สามารถทำให้คุณเป็นนักดนตรีที่ดีได้ บางครั้งเราอาจจะไม่ได้ดีดกีตาร์เพราะขนาดนั้น แต่เพราะมี sense ที่ดี มันจะทำให้คุณดูมีภูมิ ดูหล่อขึ้นมา ดูมีเสน่ห์มากขึ้น ในทางกลับกันบางคนอาจมี skill ที่เก่ง มีเทคนิคการออกแรง การสลับนิ้วที่ดี แต่ถ้าไม่มี sense มันก็จะดูน่าเบื่อ ดูไม่มีเสน่ห์ได้ ตัวผมเองเลยอยากที่จะมีสองสิ่งที่ดีนี้อยู่ในตัว The People : โมเมนต์ประทับใจตลอดอาชีพนักดนตรี สึกิโซะ : มีทั้งเรื่องการได้เล่นกีตาร์หน้าคนดูหลายหมื่นคนก็ประทับใจ หรือการได้เล่นกีตาร์คู่กับศิลปินที่ผมชอบ มันก็รู้สึกประทับใจ แต่โมเมนต์บนเวที ทุกครั้งที่ขึ้นเล่นมันจะมีความประทับใจเกิดขึ้นต่างกันไป ผมเลยไม่สามารถที่จะเลือกอันใดอันหนึ่งมาได้ The People : คุณเคยบอกว่าฝันสูงสุดของคุณเมื่อ 30 ปีที่แล้วคือได้ไปยืนบนเวทีของบุโดคังหรือโตเกียวโดม แต่ว่าตอนนี้ความฝันทุกอย่างเป็นจริงแล้ว คุณมองก้าวของตัวเองต่อไปอย่างไร สึกิโซะ : ณ จุดนี้ผมไม่ได้มองว่าจะต้องเล่นที่สถานที่ไหนเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่ผมกลับมองว่าผมอยากสร้างดนตรีหรือสร้างเพลงที่มันดีมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเพลงหรือการบรรเลงที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะสามารถพาคุณเล่นที่ไหนก็ได้ The People : คุณเป็นอาสาสมัครเพื่อเด็ก สังคม และสิ่งแวดล้อมทั่วโลก อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณหันมาสนใจสิ่งนี้ ลูกของคุณมีส่วนด้วยหรือเปล่า สึกิโซะ : แน่นอน เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ลูกสาวผมเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น ก่อนหน้าที่จะมีลูกสาว ผมค่อนข้างใช้ชีวิตก้าวร้าว เกรี้ยวกราด ดื่มเหล้าเยอะมากชนิดแทบจะเอามาอาบได้เลย แต่พอลูกสาวผมเกิดมา แล้วเธอทั้งสมบูรณ์ แข็งแรง ผมมีความรู้สึกละอายกับสิ่งที่ผมเคยเป็น มันเลยทำให้ผมฉุกคิดว่าอยากใช้ชีวิตที่ดีขึ้นกว่านี้ อยากทิ้งอดีตและทำเพื่อสังคมให้สังคมน่าอยู่มากขึ้น เรื่อง : วิทวัส ปัญญาเลิศวุฒิ สัมภาษณ์โดย : อภิญญา มาลยาภรณ์