svasdssvasds
logo-pwa

เพิ่ม Thepeople

ลงในหน้าจอหลักของคุณ

ติดตั้ง
ปิด

‘เต่าเหยียบโลก’ สินค้าที่ใช้กับตัวเองเป็น 10 ปี ลองตลาดกับ ‘ร้านเสริมสวย’ ใช้วิธีบอกปากต่อปาก

‘เต่าเหยียบโลก’ สินค้าที่ใช้กับตัวเองเป็น 10 ปี ลองตลาดกับ ‘ร้านเสริมสวย’ ใช้วิธีบอกปากต่อปาก

คุยกับผู้ก่อตั้ง ‘เต่าเหยียบโลก’ สินค้าที่ใช้กับตัวเองมาเป็น 10 ปี จนมาถึงจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ เลือกทำธุรกิจด้วยตัวเอง และสร้างการตลาดด้วยวิธีปากต่อปากจาก ‘ร้านเสริมสวย’

  •  ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เต่าเหยียบโลกกับการเปิดใจทดลองสินค้าใช้เองมากว่า 10 ปี
  • ‘ร้านเสริมสวย’ กลยุทธ์การตลาดของเต่าเหยียบโลกในยุคแรก เพราะไม่มีงบและไม่มีความรู้เรื่องการโฆษณา

คนไทยในสมัยนี้น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักแบรนด์ ‘เต่าเหยียบโลก’ แม้ว่าจะเป็นแบรนด์เก่าแก่ก่อตั้งมาหลายสิบปีแล้วก็ตาม ขณะที่เรื่องราวของจุดเริ่มต้นของเต่าเหยียบโลกก็ถูกพูดถึงอยู่บ่อยครั้งในโลกธุรกิจ แต่บทสัมภาษณ์นี้กับ The People จากปากผู้ก่อตั้งจะเกี่ยวกับแนวคิด กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่คิดในยุคนั้น จนมาสู่เต่าเหยียบโลกที่ตอนนี้บริหารเป็นรุ่นที่ 2 แล้ว

‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ ผู้ก่อตั้งพูดกับ The People ที่โรงงานผลิตสินค้าเต้าเหยียบโลกว่า “สมัยก่อนจะมีแต่พวกโรลออนลูกกลิ้งเท่านั้น แป้งไม่ค่อยเป็นที่นิยมเพราะมันโบราณ แต่เพราะผมใช้กับตัวเองมาเป็น 10 ปี ตั้งแต่ยังทำงานเป็นลูกน้องเขา เรารู้ว่าสรรพคุณมันดียังไง มันเห็นผลแบบล้านเปอร์เซ็นต์”

 

จบป.4 แต่ได้ฝึกงานที่ร้านขายยา

สมชาย เล่าย้อนไปช่วงเด็ก ๆ ว่าครอบครัวค่อนข้างยากจน คุณพ่อคุณแม่อพยพมาจากเมืองจีน แล้วก็มาทำสวน ปลูกพริก ปลูกมะเขือที่ประเทศไทย ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องยาติดตัวแม้แต่น้อย แต่อาศัยความโชคที่คุณพ่อคุณแม่ของสมชาย คุ้นเคยกับเถ้าแก่ร้านขายยาในตัวจังหวัดนครปฐม จึงพาสมชายไปฝากเป็นเด็กฝึกงานตั้งแต่เด็ก ๆ

สมชายเรียนจบเพียง ป.4 เท่านั้น แต่มีโอกาสได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสอนภาษาจีนอยู่ประมาณ 3-4 ปี หลังจากที่จบจากโรงเรียนตอนอายุ 17 ปี คุณพ่อสนิทกับเถ้าแก่เพราะไปซื้อยาที่ร้านอยู่บ่อย ๆ วันหนึ่งได้เอ่ยปากขอฝากให้ สมชาย ลองฝึกงานอยู่ที่นั่น ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้าสู่วงการยาเต็มตัว

หากจะพูดว่า ครึ่งชีวิตของสมชาย ทำงานอยู่กับเถ้าแก่ที่ร้านขายยาก็ไม่ผิด เพราะตลอด 20 กว่าปี จนเขาอายุ 40 ปี เขาตั้งใจทำงานจนได้เป็นพนักงานมือหนึ่งของที่ร้าน หรือคนจีนเรียกว่า ‘หลงจู๊’ แต่แล้วก็มีเหตุให้สมชายต้องลาออกจากร้านขายยาของเถ้าแก่ในที่สุด ซึ่งก็เป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจที่สมชายปั้นมากับมือ

‘เต่าเหยียบโลก’ สินค้าที่ใช้กับตัวเองเป็น 10 ปี ลองตลาดกับ ‘ร้านเสริมสวย’ ใช้วิธีบอกปากต่อปาก

 

จุดเริ่มต้นเต่าเหยียบโลก

ด้วยความที่สมชายอยู่กับร้านขายยามาเกิน 20 ปี เริ่มฝึกงานที่ร้านและเรียนรู้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่จัดยาไทย ปรุงยาไทย ก็ทำให้สมชายได้คลุกคลีอยู่กับ ‘สมุนไพร’ ตลอดเวลา นอกจากนี้เขายังสามารถสอบใบหมอใบเภสัชที่กระทรวงสาธารณสุขด้านยาแผนโบราณ แล้วก็มีใบเภสัชกับใบเวชกรรมด้วย

สมชายพูดว่า “สมุนไพรที่เอามาทำเป็นแป้งระงับกลิ่นตัวเราใช้กับตัวเองมาก่อน ก็คือเป็นสูตรโบราณที่ผมภูมิใจ พูดถึงสมัยก่อนที่เราเห็นคนใช้พวกลูกกลิ้ง พวกโรออน เราก็เคยใช้แต่พอแฟนทักว่า ทำไมเสื้อมันเป็นคราบเหลือง ๆ แข็ง ๆ ซักเท่าไหร่ก็ซักไม่ออก เราจึงลองทำสูตรขึ้นมาเป็นสูตรของผมเอง”

“สินค้าผมต้องบอกก่อนว่า ต้องลองใช้เท่านั้นถึงจะรู้ว่าคุณภาพเป็นยังไง คือใช้แล้วมันสบาย ไม่เหมือนกับผลิตภัณฑ์ทั่วไป นี่คือข้อดีของสมุนไพรไทย อาจจะโบราณตรงที่ว่ามันเป็นแป้ง อาจไม่ค่อยสะดวกเวลาใช้ แต่ผลลัพธ์หรือว่าสรรพคุณของมัน ผมกล้าพูดว่าคือล้านเปอร์เซ็นต์ ผมทดลองใช้กับตัวเองมาเป็น 10 ปีแล้ว”

“ผมมั่นใจ เพราะสโลแกนของสินค้าเราคือ รับประกันเห็นผลภายใน 1 วัน พิสูจน์ได้เลยว่าปัญหาเรื่องกลิ่นรักแร้จะไม่มี ต่อให้ปัญหากลิ่นตัวแรงแค่ไหนก็จะไม่มี”

สมชาย ตัดสินใจลาออกจากร้านขายยาของเถ้าแก่เพราะน้อยใจเรื่องส่วนตัวระหว่างกัน จึงออกมาและเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง โดยหยิบสูตรแป้งระงับกลิ่นตัวมาเป็นจุดขาย  และตั้งชื่อแบรนด์ว่า ‘เต่าเหยียบโลก’

‘เต่าเหยียบโลก’ สินค้าที่ใช้กับตัวเองเป็น 10 ปี ลองตลาดกับ ‘ร้านเสริมสวย’ ใช้วิธีบอกปากต่อปาก

สมชายเล่าถึงการตั้งชื่อแบรนด์ตอนนั้นว่า “เราอยู่วงการยามาก่อน ลูกค้าบางคนเขาจำชื่อยา ชื่อยี่ห้อไม่ได้ แต่เขาจำโลโก้ได้ เราก็เลยคิดว่า เราจะมาทำแป้งทารักแร้ก็ควรตั้งชื่อที่มันเข้าใจง่าย และกลิ่นรักแร้ชาวบ้านเขาจะเรียกว่า ‘กลิ่นเต่า’

ดังนั้น เราก็เลยเอาเต่ามาเป็นโลโก้ แต่มันก็ยังดูเชยไปเหมือนขาด ๆ อะไรไป จากนั้นจึงลองให้เขาช่วยออกแบบเป็นเต่าไปเหยียบบนลูกโลก เพราะคิดว่าผลิตภัณฑ์ไทย ๆ ก็น่าจะสามารถกระจายไปได้ทั่วโลกได้ เพราะว่าคนทั่วโลกก็มีกลิ่นเต่าเหมือนกัน นั่นจึงเป็นที่มาของชื่อและรูปโลโก้”

ส่วนวิธีการขายและทำให้คนรู้จักตอนนั้นสำหรับสมชาย เขาคิดง่าย ๆ แค่ว่า ‘ร้านเสริมสวย’ น่าจะเป็นอะไรที่ทำให้คนเห็นสินค้าได้ และสนใจเพราะคนใช้เวลาที่ร้านเสริมสวยนาน อีกอย่างก็คือ ภรรยาของสมชายมีร้านเสริมสวยจึงใช้ข้อดีตรงนั้นมาทดลองทำการตลาดวิธีง่าย ๆ

“ผมมองว่าช่างเสริมสวยกับลูกค้าจะสนิทกัน คุยกันตลอด ถ้าเรามีสติ๊กเกอร์ไปติดไว้ที่หน้ากระจก สักมุมหนึ่งของกระจกอย่างนี้เพื่อให้ลูกค้าได้เห็น ลูกค้าก็อาจจะถามช่างเสริมสวยว่านี่คืออะไร ใช้แล้วเห็นผลไหม ช่างเสริมสวยก็เคยใช้ เพราะเราก็มีตัวอย่างไว้ให้ใช้ ซึ่งถ้าช่างเสริมสวยเชียร์บอกว่าสินค้ามันใช้แล้วดี เราก็น่าจะขายได้”

“มันก็เป็นจุดเริ่มต้นของสินค้าเรา คือผมไม่ได้โฆษณา แต่อาศัยสรรพคุณที่ลูกค้าใช้ดีแล้วเขาก็บอกกันต่อ ๆ กัน”

นอกจากนี้ สมชาย ยังบอกด้วยว่าตอนนั้นไม่ได้ดูเรื่องการวางขายสินค้าที่ร้านขายยาเลย แม้ว่าจะเป็นสมุนไพร เพราะว่า “เราเคยอยู่ร้านขายยามาก่อน ร้านขายยาอาจจะไม่ค่อยได้แนะนำเพราะไม่มีเวลา แต่ถ้าสเต็ปที่เราคิดตอนนั้นนอกจากร้านเสริมสวยก็คือ ร้านขายสินค้าบิ้วตี้เลยพวกอุปกรณ์เสริมสวย น้ำยาดัดผม เพราะพนักงานสามารถเชียร์สินค้าให้กับแบรนด์เราได้”

 

ปูทางให้ทายาทเรื่องสำคัญ

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงการสานต่อธุรกิจของครอบครัว ซึ่งปัจจุบันเราจะเริ่มเห็นทายาทของสมชายมาช่วยงานบ้างแล้วในความรับผิดชอบต่างกัน ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน สมชายบอกว่า ‘การปูทางสำคัญมาก’ ทั้งยังยกตัวอย่างว่า “ผมจะปูทางให้พวกเขาตั้งแต่เล็ก ๆ ให้ทุกคนได้เข้ามาสัมผัส ได้เข้ามาเรียนรู้งาน บางทีเราไปตรวจตลาดผมก็จะพาลูก ๆ ไปด้วย เพื่อให้พวกเขาซึมซับในการค้าขาย หลาย ๆ ธุรกิจบางทีลูกอาจจะไม่สนใจ พ่อแม่ก็ไม่มีผู้สืบทอดอะไร บางทีเพราะพวกเขาไม่ได้ปูทาง”

“สำหรับผมอายุเป็นแค่ตัวเลข อายุเยอะเนี่ยไม่ได้เป็นปัญหานะ สำคัญที่สุดคือเราต้องปูทาง เราต้องมองไปถึงอนาคตให้ได้ และต้องมีการปรับปรุงอยู่เรื่อย ๆ เพราะถ้าเราหยุดนิ่ง เราไม่มีการพัฒนาก็เท่ากับเราถอยหลัง”

เต่าเหยียบโลก อีกหนึ่งธุรกิจในตำนานที่ตอนนี้เริ่มจับต้องกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่มากขึ้น ผ่านการโฆษณา และการเลือกแบรนด์แอมบาสเดอร์ ซึ่งการพูดคุยครั้งนี้ก็ทำให้เราตกผลึกได้อย่างหนึ่งว่า สมุนไพรไทยใครว่าโบราณ และการเริ่มต้นธุรกิจไม่เคยมีคำว่าสายไปสิ่งนี้มีอยู่จริง

 

ภาพ: ดำรงค์ฤทธิ์ สถิตดำรงธรรม