25 พ.ค. 2566 | 22:45 น.
- วิศรุต จันทิพย์วงษ์ ทายาทรุ่น 2 ที่สานต่อแนวคิดธุรกิจเต่าเหยียบโลกต่อจาก ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’
- เป้าหมายใหญ่อยากให้คนไทยเปิดใจกับสมุนไพรไทย และกล้าเรียกชื่อแบรนด์เต่าเหยียบโลก
“ป๊าขายสินค้าตัวนี้มากว่า 15 ปี ดังนั้นสินค้าก็อาจจะดูเชย ดูโบราณ คนไม่กล้าเรียก(ชื่อแบรนด์)” โอ - วิศรุต จันทิพย์วงษ์ ทายาทรุ่นที่ 2 เปิดใจกับ The People
เต่าเหยียบโลก ชื่อแบรนด์ที่หลายคนอาจจะคุ้นหูมานานเพราะอยู่คู่กับคนไทยมากว่า 15 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นรุ่นทายาทที่เข้ามาบริหารและพยายามปรับเปลี่ยนหลาย ๆ ด้านต่อยอดจากสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่ทำมา
‘โอ – วิศรุต’ หนึ่งในทายาทรุ่นที่ 2 ของ ‘สมชาย จันทิพย์วงษ์’ ผู้ก่อตั้งแบรนด์เต่าเหยียบโลก ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่สู้ชีวิต เริ่มต้นธุรกิจเพราะ ‘ความน้อยใจ’ และการต่อสู้เพื่อสร้างแบรนด์ดิ้งให้เป็นที่รู้จักผ่าน ‘ร้านเสริมสวย’ เรียกได้ว่าเป็นการตลาดแบบดั้งเดิมของสมัยนั้น ซึ่ง โอ – วิศรุต ก็พยายามเข้ามาแก้ pain point ในหลายเรื่อง โดยเฉพาะความโบราณและการทำการตลาด
น้อยใจเลยเริ่มธุรกิจ
ปากต่อปากที่เล่ามาเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของธุรกิจเต่าเหยียบโลกเราอาจได้ยินมาจากหลาย ๆ สื่อ ก่อนหน้านี้ The People ได้เปิดบทสัมภาษณ์ของ สมชาย ในฐานะผู้ก่อตั้งแบรนด์และแนวคิดธุรกิจในมุมต่าง ๆ
แต่สำหรับลูกชายเขาเล่าว่า “ป๊าจะชอบพุดประมาณว่า ตกงานมาก็เลยเอาความรู้มาใช้ต่อ คือในช่วงที่ปะป๊ายังทำงานเป็นลูกจ้างอยู่คือเป็นเภสัชแผนโบราณ ก็เริ่มต้นมาเป็นลูกจ้างในร้านขายยาครับ ทำงานมาตั้งแต่วัยรุ่นสักประมาณ 15 ปีจนอายุ 40 ปี ก็คือทำงานมานานครับ 20 กว่าปี ผมเคยถามป๊าว่า ในช่วงนั้นเคยคิดจะทำอะไรเป็นของตัวเองไหม ป๊าก็บอกว่าคงเป็นลูกจ้างไปตลอดชีวิตนะครับ ก็คงทำงานไปเรื่อย ๆ จนเกษียณ”
“จนวันหนึ่งที่ป๊าทำงานกับเถ้าแก่มานาน แล้วก็เหมือนกับเถ้าแก่เขาซื้ออาคารพาณิชย์เก็งกำไร ป๊าก็ด้วยความที่เป็นลูกจ้างที่ทำงานมานาน จนขึ้นเป็นหลงจู๊ก็คือเป็นลูกจ้างอันดับหนึ่งของที่ร้าน ก็เลยไปคุยกับเถ้าแก่ว่าอยากจะขอผ่อนซื้ออาคารพาณิชย์ตัวนี้”
“แต่เถ้าแก่คงคิดว่าขายให้ลูกน้องคงไม่ได้กำไรก็เลยปฏิเสธไป ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ป๊ารู้สึกน้อยใจแล้วก็ลาออกมา โดยที่ลาออกมาก็ไม่รู้จะทำอะไรนะครับตอนนั้น ผมว่าบางทีโชคชะตามันก็เล่นตลกกับชีวิตเหมือนกัน เพราะต่อมาป๊าก็รู้สึกว่านำความรู้ที่มีเกี่ยวกับเรื่องของแป้งระงับกลิ่นกายตัวนี้ ซึ่งก็ทำแล้วใช้เองมาอยู่ก่อนแล้ว มาลองทำเป็นสมุนไพรแล้วออกขาย ซึ่งหม่าม้าก็ทำร้านเสริมสวยอยู่แล้ว ป๊าเลยเอาตัวแป้งระงับกลิ่นกายมาลองวางขาย ปรากฏว่าได้รับผลตอบรับที่ดีจากลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายผู้หญิงนะครับ”
ที่มาของโลโก้เต่าเหยียบโลก
โอ – วิศรุต ได้เล่าว่า “แรก ๆ มันชื่อจับเต่าครับ คือโลโก้มันเป็นเต่าเหยียบโลกอยู่แล้วนะครับ ด้วยความที่ตอนนั้นป๊าก็ไม่ได้มีความชำนาญมาก ก็จ้างคนมาช่วยดีไซน์ช่วยออกแบบ ซึ่งมันก็มาจากเหตุผลว่าคนมักจะเรียกกลิ่นตัวว่ากลิ่นเต่านะครับ เพราะฉะนั้นเราก็เลยใช้ชื่อเรียกสินค้าว่าไปจับเต่า”
“จริง ๆ เราชอบชื่อนี้มากเลยเพราะเหมือนไปจับเต่า แต่พอเราไปจดชื่อแบรนด์เครื่องหมายการค้าไม่สามารถจดได้ เพราะว่าชื่อมันค่อนข้างจะอาจจะทั่วไปเกินไป ก็เลยมองว่าอยากจะขายสินค้าตัวนี้ไปทั่วโลก ก็ตรง ๆ ง่าย ๆ เลยครับ ก็เต่าเหยียบโลกเหมือนกับว่าสินค้าของเราช่วยระงับกลิ่นกายให้กับผู้คนทั่วไป ก็คือสามารถช่วยได้ทั้งโลกเลย”
“จริง ๆ เราก็ถือว่าเป็นเจ้าแรกในตลาดนะครับที่ขายเป็นแป้งระงับกลิ่นกาย คือผมว่าคนไทยคุ้นเคยกับตัวสารส้มที่มันระงับกลิ่นกายอยู่แล้ว แต่ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบของเป็นสารส้มแท่ง พอป๊ามีความชำนาญเรื่องนี้เราก็เลยแปรรูปออกมาครับ ก็นำสารส้มไปแปรรูปเป็นลักษณะของผงแป้ง เพื่อให้สะดวกกับการใช้งานยิ่งขึ้น คือตัวแป้งจากสารส้มนี้เมื่อใช้แล้วมันจะแห้งสบายทันที”
โอ – วิศรุต เล่าเรื่องเกี่ยวกับการตลาดในช่วงแรก ๆ ด้วยว่า “ป๊าเริ่มทำธุรกิจประมาณปี 1998 ช่วงนั้นเรายังไม่มีเงินทุนที่จะเข้าไปขายตามร้านค้า เพราะฉะนั้น ช่องทางเดียวที่ป๊าคิดถึงก็คือร้านเสริมสวยนี่แหละครับ ก็คือต่อยอดมาจากร้านของหม่าม้าเลย ปะป๊าคิดว่าร้านเสริมสวยน่าจะเป็นช่องทางที่ลูกค้าต้องนั่งแล้วก็ใช้เวลาอยู่ที่จุด ๆ หนึ่งนาน ๆ เพราะฉะนั้น เวลาที่เขามองไปด้านหน้าตามกระจก ก็น่าจะเห็นสินค้าที่วางไว้ สามารถที่จะติดสติ๊กเกอร์เพื่อโปรโมทโฆษณาได้ ผมว่นี่คือจุดขายสำคัญของเต่าเหยียบโลกช่วงแรก ๆ ที่เริ่มทำครับ”
“นอกจากนี้ เราก็มีกระจายสินค้าไปตามร้านเสริมสวยอื่นด้วยครับ ป๊าก็ขับมอเตอร์ไซค์นี่แหละครับ ขับคนเดียวพ่วงปี๊บเหล็กท้ายมอเตอร์ไซค์แล้วก็ไปส่งของทั่วกรุงเทพฯ พอถึงช่วงหนึ่งเราเริ่มมีตลาดในกรุงเทพฯ มากขึ้น ป๊าก็เริ่มขับรถยนต์แล้วก็พาลูก ๆ แต่ละคนไปด้วย คือจะมีคิวเลยครับว่าวันไหนพาใครไป ปกติป๊าจะไปช่วงเสาร์-อาทิตย์ก็จะเลือกลูก 1 คนไปกับรถด้วยแล้วก็ไปตลาดกับต่างจังหวัดกันครับไปส่งสินค้า”
ด้วยความที่ โอ – วิศรุต กับพี่น้องคนอื่น ๆ เข้าไปช่วยและเห็นคุณพ่อทำธุรกิจตั้งแต่เริ่มต้น จึงไม่แปลกหากเขาจะมองว่า ทันทีที่เรียนจบก็อยากเข้าไปช่วยสานต่อธุรกิจทันที เพราะกลัวมันจะช้าเกินไป ซึ่งเขาพูดกับ The People เปิดเรื่องราวและมุมคิดที่น่าสนใจ ทำให้เรารู้จักตัวตนของเขามากขึ้น
สานฝันช่วยปรับภาพลักษณ์ธุรกิจ
ผู้ชายที่มีความคิดเรียบง่ายแต่หนักแน่น เปิดใจคุยกับเราว่า “จริง ๆ ความฝันของผมก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ คือเราเห็นว่าป๊าทำธุรกิจอยู่แล้ว มันก็อาจจะเป็นโฟกัสสำคัญที่เรารู้สึกว่า เราอยากจะช่วยต่อยอดธุรกิจของที่บ้านเราให้มันยิ่งเติบโต เพราะตอนนั้นปะป๊ายังทำธุรกิจอยู่กับหม่าม้า 2 คนเป็นหลัก ซึ่งพวกเขาทั้งสองก็อายุมากขึ้นทุกปี”
“ด้วยความที่ป๊าม๊าก็อายุมากขึ้น แล้วก็เราอยากจะต่อยอดธุรกิจด้วย ผมมองว่าคู่แข่งของเราส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ระดับโลกทั้งนั้น เราในฐานะที่เป็นลูก ผมกับพี่ 2 คนก็รู้สึกว่าอยากจะเข้ามาช่วยพัฒนา คือถ้าเรายิ่งรอไปนานกว่านี้ ก็ไม่รู้ว่าธุรกิจมันจะเป็นยังไง บางทีคู่แข่งอาจจะเข้ามาแย่งตลาด จนสินค้าของเราไปไม่รอดในตลาด เพราะฉะนั้น มันรู้สึกเป็นความท้าทายที่ว่าเราเองที่เป็นกำลังสำคัญ แล้วก็เป็นโอกาสเดียวที่จะทำได้ ก็อยากจะใช้โอกาสนี้เข้ามาช่วยต่อยอดธุรกิจครับ”
“ซึ่งผมก็เรียนจบในสาขาการตลาดจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศรีราชา ผมคิดไว้อยู่แล้วจะเข้ามาช่วยธุรกิจของที่บ้านทันทีที่เรียนจบเลยครับ เพราะมองว่าถ้ายิ่งปล่อยไปนาน กว่าผมจะหาโอกาสไปหาความรู้ต่าง ๆ จากบริษัทเนี่ย เผลอ ๆ อาจจะใช้เวลา 5 ปี 10 ปี มองว่าคงไม่ทันการครับ ก็เลยรีบเข้ามาช่วยที่บ้านเลย”
“เอาง่าย ๆ เลยครับคือ ธุรกิจของเราเรียกว่าปะป๊าขายสินค้าตัวเดียวมาตลอด 15 ปี ดังนั้น ผมเรียนจบมาเนี่ย ช่วงที่มาทำธุรกิจของที่บ้าน ป๊าก็ขายสินค้าตัวนี้มานานกว่า 15 ปีแล้ว ดังนั้นสินค้าก็อาจจะดูเชย ดูโบราณไปบ้าง คนไม่กล้าเรียกชื่อแบรนด์ เพราะยังรู้สึกเขิน ๆ อยู่นั่นคือสิ่งที่ผมอยากเข้ามาช่วยมาเปลี่ยนแปลง”
“เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราเข้ามาช่วยต่อก็คือเรื่องของการทำการตลาด การปรับภาพลักษณ์ เปลี่ยนบรรจุภัณฑ์ มีการส่งเสริมการขาย มีการกระจายสินค้าให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้ามากขึ้น บางทีจะมีลูกค้าเข้ามาคอมเมนต์ในโลกออนไลน์ครับว่า สินค้าตัวนี้ใช้ดีนะแต่ว่าหาซื้อไม่ได้เลย ฉะนั้น เราก็เข้ามาช่วยตอบโจทย์เรื่องการกระจายสินค้าผ่านทั้งในส่วนของเซเว่นอีเลฟเว่น แล้วก็โมเดิร์นเทรดต่าง ๆ ให้เข้าถึงลูกค้าครับ”
“จากเดิมที่เรามีแค่ 1 ตัวตลอด 15 ปี เราก็เริ่มต่อยอดในส่วนของแป้งระงับกลิ่นกายที่ลูกค้าชอบและติดใจ นอกจากนี้ก็เพิ่มความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ตอนนี้เราเพิ่มมาอีก 2 สูตร Whitening กับ Nourishing ครับ แล้วก็เพิ่มขยายตลาดในส่วนของโรลออนด้วย ยังมีทั้งในส่วนของพรีเซ็นเตอร์ แล้วก็สินค้าใหม่ ๆ ผมตั้งเป้าไว้ว่าเราอยากจะเป็นผู้นำในส่วนของผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายจากธรรมชาติ เลยพยายามทำสินค้าให้มีความหลากหลายครอบคลุมครับ”
นอกจากนี้ โอ – วิศรุต ยังแชร์กับเราเกี่ยวกับวิธีการสอนเรื่องธุรกิจของคุณพ่อว่าเป็นสิ่งที่เขาประทับใจคือ มันเหมือนเป็นการปลูกฝังความคิดเรื่องธุรกิจอย่างนึง ซึ่งเขาพูดว่า
“ผมมานั่งคิดย้อนกลับไปตอนที่ผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย แล้วเราอยากจะช่วยกระจายสินค้าในตลาด แม้ว่าตอนนั้นเราจะช่วยอะไรได้ไม่มากนะ แต่การที่เราขับมอเตอร์ไซค์ไปส่งสินค้า ทำเหมือนกับพ่อเลย ผมก็คุยกับพี่ชายพี่สาวเลยว่าเราจะแบ่งตลาดกันยังไง ผมดูโซนนี้พี่ ๆ ดูโซนนี้แล้วเราก็ขับมอเตอร์ไซค์ไปช่วยกระจายสินค้า สุดท้ายแล้วการที่เราช่วยกระจายสินค้าได้ส่วนหนึ่งในตอนนั้น อย่างน้อยมันก็ค่อย ๆ ต่อยอดช่วยธุรกิจขึ้นมาครับ”
ทั้งยังพูดถึงความสำเร็จของเต่าเหยียบโลกว่า การทำการตลาดผ่านร้านเสริมสวยสำหรับเขาในฐานะลูกถือว่าสุดยอด เพราะหากเป็นเขาในตอนนั้นคงรู้สึกเขิน ๆ ที่จะเข้าไปเจาะตลาดผ่านธุรกิจแบบนั้น อาจอเพราะมีแต่ผู้หญิงใช้บริการมากกว่าผู้ชายก็ได้ ขณะที่พ่อของเขาก็พยายามใช้การตลาดแบบ ‘ปากต่อปาก’ เป็นวิธีดั้งเดิมที่เชื่อว่าในสมัยนี้เราก็ยังเห็นกันอยู่บ้าง
ทั้งนี้ เขายังบอกกับเราเกี่ยวกับเป้าหมายใหญ่ของเต่าเหยียบโลกในรุ่นของเขาว่า อยากจะเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายอันดับ 3 ของประเทศไทย นอกจากนี้ เขาอยากเป็นแบรนด์ของคนไทยที่ใช้ส่วนประกอบจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ และเห็นผลลัพธ์ที่ดีต่อคนทั่วโลก ซึ่งแผนการเปิดตลาดในต่างประเทศก็เป็นอีกหนึ่งขาที่จะก้าวไปสู่จุดนั้นในอนาคต
โอ - วิศรุต ย้ำทิ้งท้ายว่า “ถ้าถามว่าวันนี้เต่าเหยียบโลกต้องไปทำธุรกิจอื่น ๆ ที่เป็นธุรกิจใหม่ บางทีเราอาจจะเจ๊ง อาจจะไปไม่รอดก็ได้ ผมเชื่อว่าหลาย ๆ คนเนี่ยมีความชำนาญ มีความถนัดในด้านของตัวเอง จงใช้ความถนัดนี้แล้วลองลงมือทำ ลองศึกษาให้มากขึ้น ผมเชื่อว่าพอเราเรียนรู้พัฒนาอยู่เรื่อย ๆ สุดท้ายแล้วเราจะเจอจุดที่เป็นจุดแข็งของเรา”