ทำไม 'ธุรกิจสายมู'ถึงมาแรง จนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาท

ทำไม 'ธุรกิจสายมู'ถึงมาแรง จนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาท

เมื่อ ‘ความเชื่อ’ + 'ความหวัง' สร้างความทรงพลังให้ธุรกิจสายมู หรือ Mutelu Economy ที่มีเห็นมากมาย ไม่ว่าจะเป็น สีมงคล วอลล์เปเปอร์เสริมดวงบนมือถือ เลขมงคล เครื่องประดับ ฯลฯ ซึ่งจากกระแสความแรงที่เกิดขึ้นมีการประเมินว่า ในปี 2024 ธุรกิจนี้จะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้านบาท

  • Mutelu Economy หรือธุรกิจสายมู เป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อ
  • ปี 2024 มีการประเมินธุรกิจนี้มีมูลค่ากว่าหมื่นล้านบาท 

กระแสมาแรงขึ้นเรื่อย ๆ สำหรับ Mutelu Economy หรือธุรกิจสายมู ไม่ว่าจะเป็น สีมงคล วอลล์เปเปอร์เสริมดวงบนมือถือ เลขมงคล เครื่องรางของขลัง เครื่องประดับมงคล การศัลยกรรมความงามเพื่อเสริมโหงวเฮ้ง ไปจนถึงบริการดูดวง แก้ชง และขอพรทางออนไลน์ฯลฯ ซึ่งในภาพรวมมีการประเมินไว้ว่า ธุรกิจสายมูจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้านบาทในปีนี้

อะไรทำให้ธุรกิจมูถึงมาแรง?

หากลองวิเคราะห์ดูอย่างที่ทราบกัน ‘ความเชื่อ’ เป็นเรื่องราวที่อยู่คู่กับสังคมไทยและคนไทยมานาน บวกกับคนไทยเองเป็นคนเปิดกว้าง เมื่อเห็นอะไรฮิต อะไรดี อะไรเป็นความหวังเพิ่มกำลังใจ ก็พร้อมเปิดรับทันที ยิ่งในโลกยุคโซเชียล มีเดียมาแรงที่ข่าวสารสามารถแพร่สะพัดไปได้อย่างรวดเร็วไร้พรมแดนแบบด้วยแล้ว   

ส่วนธุรกิจมูแรงแค่ไหน นอกจากดูกระแสจากผู้บริโภค อีกส่วนยังสะท้อนจากผลงานการศึกษาของหน่วยงานต่าง ๆ อย่างเช่น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าที่ได้เปิดเผยธุรกิจมาแรงในปี 2024 ซึ่งธุรกิจสายมูก็ติดอยู่ในโผนี้ด้วย และคาดการณ์ว่า ธุรกิจนี้จะมีเงินสะพัดประมาณ 10,000-15,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 10-20%

หรือจากการรายงานของสำนักงานบริหารและพัฒนาความรู้ (okmd) ที่เผยแพร่ผลงานศึกษา Eco-No มู(เตลู) โดยรายงานในทิศทางใกล้เคียงกันว่า ธุรกิจสายมูสามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี และไม่ว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ธุรกิจนี้ยังมีการเติบโตต่อเนื่อง ยกตัวอย่างธุรกิจตัวเลขมงคลมีมูลค่าการซื้อขายไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี เติบโตเฉลี่ยปีละ 5-10% ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นภาพและแนวโน้มของธุรกิจมูชัดเจนยิ่งขึ้น The People จึงได้ไปพูดคุยกับ ‘สา-ธนิสา วีระศักดิ์ศรี’ ผู้ก่อตั้ง RAVIPA แบรนด์จิวเวอรี่สัญชาติไทยที่โด่งดังในวงการธุรกิจสายมูมาช่วยสะท้อนอีกหลายประเด็นเกี่ยวกับธุรกิจนี้

ทำไม \'ธุรกิจสายมู\'ถึงมาแรง จนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาท

มองการเปลี่ยนแปลงธุรกิจสายมูเป็นอย่างไร

สาว่า ความเชื่อมันอยู่คู่กับคนไทยมาตลอดอยู่แล้ว และเอาจริง ๆ จากใจสาเชื่อว่า คนไทยหลายคนเติบโตกับมูมาตั้งแต่เด็ก อย่างตัวสาเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และไทยเป็นเมืองพุทธที่เคารพศาสนาอื่นด้วย เปิดกว้างมากด้วย อย่าง RAVIPA มีขยายไปต่างประเทศเยอะ และแต่ละประเทศจะมีความเชื่อที่ค่อนข้างเป็นแบบประเทศนั้น ๆ ขณะที่ไทย Welcome ทุกอย่าง ถ้าอะไรฮิต อะไรดี เราไหว้หมด

ส่วนธุรกิจสายมูในประเทศไทยจริง ๆ มีมานานมาก เช่น ตลาดพระก็มีเยอะแยะ ฯลฯ แต่ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงชัด ๆ ก็ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และพีคมากช่วงหลังโควิดนิดหน่อย ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลจากโควิด ซึ่งเป็นช่วงยากลำบากมาก ทำให้คนอยากหาที่พึ่งทางใจ ไม่ว่าจะเป็น เสื้อสีมงคล วอลเปอเปอร์มงคล เลขมงคล ไปจนถึงเครื่องรางอื่น ๆ

พอตลาดสายมูมา จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเปิดโอกาสให้หลาย ๆ แบรนด์เข้ามา อย่าง RAVIPA เองตอนเริ่มต้นธุรกิจมูไม่ได้เห็นเทรนด์อะไรเลย แค่เริ่มจากความเชื่อและ Pain point ของตัวเองที่อยากได้อะไรมาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ แต่บางครั้งใส่พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่น ๆ ไม่ได้ อาจเพราะจากการแต่งตัวหรือไลฟ์สไตล์ เลยนำเรื่องดีไซน์มาหลอมรวมกับเรื่องความเชื่อ

สมัยก่อนแบรนด์ไม่ค่อยอยากชูด้านนี้มากนัก ทำไม RAVIPA ถึงกล้า

ต้องเล่าแบบนี้ คือ แบรนด์ RAVIPA เริ่มในปี 2012 ก่อนเทรนด์มูเตลูจะมาด้วยซ้ำ ความตั้งใจสาไม่อยากทำให้เครื่องประดับแค่ใส่แล้วสวย แต่ต้องใส่แล้วส่งพลังบวก เช่น เรามี Infinity สัญลักษณ์ความไม่สิ้นสุดที่เป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์, Horseshoe สัญลักษณ์แห่งความโชคดี, มุก สัญลักษณ์ของพลังเพศหญิง

ส่วนสายมูที่ทำให้แบรนด์ปังมาก ๆ เกิดขึ้นในปี 2019 ช่วงก่อนเกิดโควิด เราทำสร้อยข้อมือสายมูแล้วส่งประกวดรางวัล Demark (Design Excellence Award) รางวัลใหญ่ด้านดีไซน์ของบ้านเรา ซึ่งเราได้รับรางวัล แล้วรู้สึกว้าว เลยทำเป็น limited ขายช่วงนั้นแล้วหยุด

พอโควิดมาปุ๊บ มีลูกค้ามาขอให้ทำขึ้นมาอีก บอกว่า ทำอีกได้ไหม พี่เคยซื้อแล้วดี เลยอยากให้เพื่อนเป็นของขวัญ เป็นกำลังใจเขา เพราะช่วงโควิด-19 แย่มาก ร้านค้าก็ปิด เลยคุยกับพี่สาวว่า เราเองเป็นแบรนด์ที่ต้องการส่งพลังบวกไม่มีเหตุผลไรที่จะไม่ทำ จึงตัดสินใจทำขึ้นมาอีกครั้งและต้องขอบคุณลูกค้าคนนั้นเสมอที่พูดให้เราทำอีก

ทำไม \'ธุรกิจสายมู\'ถึงมาแรง จนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาท

ตอนนี้ธุรกิจสายมูเหมือนกลุ่มทาร์เก็ตจะเด็กลง

เมื่อก่อนจะเป็นรุ่นใหญ่อย่างอากงอาม่าใช่ไหมค่ะ สาว่าตอนนี้คนรุ่นใหม่เปิดรับสายมูมากขึ้น อีกส่วนมาจากการดีไซน์ อย่างของเราจะดีไซน์ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ เช่น สร้อยข้อมือเราสามารถใส่ ไปเล่นยิม เล่นโยคะ พิลาทิสก็ใส่ได้ ตรงนี้ทำให้จากลูกค้ากลุ่มหลักอายุ 25-35 ปี เราสามารถไปแตะกลุ่มลูกค้าที่เด็กลง เช่น วัยมหาวิทยาลัย วัยเริ่มทำงาน

อีกอย่างมาจากการรีวิวจากคนใกล้ตัว และพลังโซเชียล สาว่าเรื่องพวกนี้อยู่ในคนทุกวัย แบบเพื่อนบอกว่าดี เราก็เชื่อ อย่างไม่กี่วันก่อนเพื่อนของสาโทรมาบอกว่า ลูกเขาที่เรียนโรงเรียนอินเตอร์ระดับ High School เอาบัตรเครดิตฉันไปรูดซื้อ RAVIPA มา เห็นอีกทีก็คือใบเสร็จพร้อมกับถุงแล้ว

สาแบบว้าว ถามเพื่อนกลับลูกเขาเห็นได้ไง เพื่อนก็ตอบว่า เขาเห็นทางโซเชียล มีเดีย มีเห็นคนใส่กันเยอะ เขาเลยอยากใส่บ้าง ส่วนราคา ต้องบอกว่าถ้าเทียบกับตลาด RAVIPA ไม่ถูกนะ สาว่า สำหรับคนทำแบรนด์ เรื่องคุณภาพและใส่แล้วเห็นผลเป็นเรื่องสำคัญมากกว่าราคา ดังนั้นเรื่องพวกนี้อย่าหลงทาง

กระแสธุรกิจสายมู จะอยู่อีกนานแค่ไหน?

เมื่อก่อนเป็น Blue Ocean ตอนนี้ Red Ocean แล้ว และธุรกิจสายมูก็เหมือนธุรกิจอื่นมีช่วงพีกและช่วงตกตามปกติ แต่สิ่งที่จะทำให้แบรนด์อยู่ได้นานคือ Core Value ของแบรนด์ สาเชื่อว่าสิ่งสำคัญในการทำธุรกิจหรือการทำมาร์เก็ตติ้ง คือ Core Value และความเชื่อของแบรนด์เป็นเรื่องสำคัญมาก

วันไหนที่เราเลียนแบบใครสักคน หรือไม่เข้าใจ Core Value ของตัวเอง เชื่อสาเลยว่ามันจะหลงทาง ถ้าเราไม่เข้าใจพื้นฐานของเราดี ๆ สมมุติเราทำตามเทรนด์ เราก็จะไม่รู้ เดี๋ยวใครฮิตอะไรเราก็จะขวา เดี๋ยวเราก็จะซ้าย แต่เราไม่รู้ว่าแก่นของตัวเองคืออะไร แล้วมันจะหลุด เกิดความไขว้เขว

สำหรับสาเชื่อว่า แบรนด์หลายๆ แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมาถึงทุกวันนี้ มีประวัติศาสตร์มาเนิ่นนาน นั่นเพราะพื้นฐานที่เป็น Core Value ของแบรนด์มีความเคลียร์ เราต้องแบบ strong ใน Core Value ของเรามากกว่า อย่าไปทำตามเทรนด์ ไม่เช่นนั้นจะหลงทาง

สิ่งหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่ว่าใครจะกระโดดเข้ามาในตลาดนี้ อยากให้ทำด้วยแบบ Believe จริง ๆ บางคนซึ่งเป็นคนใกล้ตัวสาเองอยากทำสายมูบ้าง เอาแค่นี้มาแปะก็เป็นมูแล้วใช่ไหม คือสาแบบ โห ของเราใช้เวลาดีไซน์อย่างต่ำ 6 เดือน องค์เทพของเรากว่าจะออกแบบมาต้องผ่านการใส่ใจทุกอย่างแบบดูทุกมิลลิเมตร ดูฮวงจุ้ยโหราศาสตร์ทุกอัน ฤกษ์ปลุกเสกเมื่อไร บางครั้งลูกค้าต้องรอของนานเพราะบางเดือนไม่มีฤกษ์ คือ งานเรา craftsmanship ไม่ใช่แค่ปั๊มออกมา

ทำไม \'ธุรกิจสายมู\'ถึงมาแรง จนสร้างมูลค่าเศรษฐกิจระดับหมื่นล้านบาท

ทิศทางแบรนด์ RAVIPA ในอนาคต

RAVIPA ยืนยันเป็นแบรนด์ที่ต้องการส่งพลังบวกให้ผู้คน ไม่ใช่แบรนด์สายมูแม้จะเป็น Hero Product ของเรา ถามว่า สินค้าขายดีของเราคืออะไร เอา 5 อันดับแล้วกัน อันดับ 1 องค์พระแม่ลักษมี ซึ่งตรงกับกลุ่มเป้าหมายของ RAVIPA จะเป็นแบบยังมีความ feminine

70% และปีที่แล้วก็เป็นปีของท่านด้วย, อันดับ 2 องค์พระพิฆเนศ มหาเทพแห่งความสำเร็จ, อันดับ 3 พญานาค เกี่ยวกับเจรจาค้าขาย อันดับ 4 พระตรีมูรติ เป็นเส้นที่ลิซ่าใส่ด้วย ก็เป็นเส้นที่เกี่ยวกับความรัก อันที่ 5 ยกให้กับเจ้าแม่กวนอิม และเส้นนี้เป็นเส้นที่ลิซ่าใส่ มาร์ค ต้วน และแบมแบมใส่

 แต่อย่างที่บอกเทรนด์สายมู เมื่อมาแล้ววันนึงก็ต้องไปเหมือนกับเทรนด์อื่น ๆ  ซึ่งยอมรับเป็น Big Challenge ของตัวเองเหมือนกันว่า ถ้าเทรนด์ไปแล้วจะ maintain แบรนด์ยังไง ซึ่งได้คิดเรื่องนี้ตั้งแต่ปีที่แล้ว

อย่างปีที่ผ่านมาเรา Collaboration กับดิสนีย์ ตอนนี้ไปวางขายที่ฮุนไดเกาหลีประมาณ 5 สาขาและจะขยายเพิ่มอีก รวมถึงเราขยายสาขาไปต่างประเทศมากขึ้น อย่างที่ผ่านมามีไปนิวยอร์ค ฮ่องกง และพยายามจะขยายต่อ เช่นเดียวกับในประเทศที่ปัจจุบันมี 30 สาขาปลาย ๆ  ภายในปีนี้ก็มีแผนขยายต่อเช่นกัน

.

ภาพ : จุลดิศ อ่อนละมุน