11 พ.ย. 2566 | 14:43 น.
- NICECNX ศิลปินรุ่นใหม่ที่มีแนวทางและการทำงานเฉพาะตัว ทำตามฝันด้วยค่านิยมที่แตกต่างจากสไตล์การทำงานประจำ
- เขาคือศิลปินที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดอย่างหลากหลาย ไม่ใช่แค่เรื่องดนตรี แต่ยังเป็นเรื่องแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ และมุมมองแบบธุรกิจ
“ผมไม่อยากจบไปทำแบบนี้ตามที่เขาเรียนกันมา” NICECNX ศิลปินหนุ่มมาแรงกล่าวถึงความฝันของตัวเอง และแนวคิดเรื่องทำตามความฝันที่ดูจะไม่สอดคล้องกับค่านิยมหลักอย่างทำงานประจำ มีรายได้ที่แน่นอน
สำหรับศิลปินหนุ่มรายนี้มองว่า “ความฝันเรามักจะถูกความจริงกำหนดไว้ว่า เราเป็นไม่ได้หรอกแบบนี้ มันคือสิ่งที่สอนกันมาเรื่อย ๆ ดีนะที่วันนั้นผมไม่ฟังใครเลย ผมเลยมีวันนี้ได้ ไม่งั้นแย่ ผมอยากให้คิดเหมือนกันว่า ทำไปเลย รู้สึกว่าขอแค่ทำ ชนะใจตัวเองได้แค่นั้นจบ”
NICECNX อาจเป็นอีกหนึ่งกลุ่มตัวอย่างสำหรับคนที่เลือกทำตามสิ่งที่ตัวเองอยากทำแล้วยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ทำเพลง ค้าขาย เล่นคริปโต แน่นอนว่า นอกเหนือจากกลุ่มตัวอย่างแบบ NICECNX ผู้คนที่เลือกทำตามฝันแบบนอกกรอบค่านิยมหลักก็มีคนอีกมากมายที่ไม่ได้ผลลัพธ์ดังฝันเช่นกัน นั่นไม่ใช่สูตรสำเร็จรูปที่จะบอก
NICECNX เล่าให้เราฟังว่า วัยเด็กไม่ตั้งใจเรียน ความสนใจส่วนตัวคือด้านดนตรี และแฟชั่น ซึ่งเขาได้รับอิทธิพลจากการเสพสื่อต่างประเทศ เช่น MTV
“ผมไม่อยากจบไปทำแบบนี้ตามที่เขาเรียนกันมา” นั่นคือสิ่งที่ NICECNX เล่า และย้ำว่า “แต่ไม่ได้ว่าการศึกษาไม่ดี มันอาจจะดีสำหรับหลาย ๆ คน แต่ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากเป็นแบบนี้” ตามที่เรียนกันมา
เขาเริ่มต้นเส้นทางตามความฝันของตัวเองจากแฟชั่น เสื้อผ้า ดนตรี และพรีออเดอร์เสื้อผ้ามาขายในโรงเรียน สำหรับเด็กที่เติบโตในครอบครัวที่เป็นข้าราชการ ยิ่งทำให้เขาขัดแย้งกับพ่อแม่ ไม่มีอะไรที่เขาจะนำไปใช้เถียงหรืออธิบายครอบครัวได้ดีไปกว่า ‘พิสูจน์ให้เห็น’
ความสนใจเรื่องแฟชั่นและดนตรีที่ผนวกเข้าด้วยกันนำมา NICECNX มาสู่เพลงแรกในแนวแรปใต้ดิน ซึ่งในเวลานั้นกำลังได้รับความสนใจพอดี เพลงใต้ดินที่ทำเริ่มได้ยอดวิวกระทั่งไปแตะหลักล้านวิว
ก้าวอีกขั้นของ NICECNX ก้าวไปสู่งาน MC ในผับขณะเรียนมหาวิทยาลัยในเชียงใหม่ เก็บเงิน และพาตัวเองไปอยู่ในสังคมให้คนรู้จักมากขึ้น จากนั้นจึงเดินทางเข้ากรุงเทพฯ
เพลงที่เขาทำในออนไลน์อาจไม่ได้โด่งดังทะลุล้านวิวเสียทุกเพลง แต่อย่างน้อย มีเพลงที่ได้รับความนิยมนำพาแรปเปอร์หนุ่มเข้าสู่วงโคจรอย่างรายการ Rap is Now โดยได้ขึ้นแสดงในงานประชันแรป (ไม่ได้แข่ง) ไปจนถึงแข่งรายการ Show Me The Money (ซึ่งมีดราม่าเรื่องเสียงร้องตามมาด้วย)
ประสบการณ์ในเวทีของรายการบันเทิงช่องดังของไทยนำเขามาสู่ประสบการณ์อีกแบบ ประสบการณ์ที่ได้จากกิจกรรมต่าง ๆ ที่ NICECNX นำพาตัวเองไปในสังคมมากมาย ถูกร้อยเรียงเป็นเพลงชื่อ ‘หลอก’
เพลง ‘หลอก’ ของ NICECNX เป็นผลงานครั้งสำคัญของ NICECNX เพลงนี้ทำยอดได้ 100 ล้านวิว ส่งให้เขาไปเจอโอกาสอื่น ๆ อาทิ มี EP ใต้สังกัด Def Jam Thailand
เรื่องราวของ NICECNX ไม่ได้มีแค่ผลงานเพลง ด้วยทัศนคติเฉพาะตัวของศิลปินหนุ่มรายนี้ ทำให้เขาเลือกทางเดินที่แตกต่างไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทรดคริปโตที่ชวนเสียดายไปตลอดกาล ร่ายเรียงจนถึงทัศนคติและแนวคิดในการใช้ชีวิต
ติดตามเรื่องราวของ NICECNX จากบทสัมภาษณ์นี้
The People: ชีวิตวัยเด็กตั้งแต่อิทธิพลเรื่องการทำเพลง พ่อแม่ ชีวิตในเชียงใหม่ ส่งผลต่อการทำเพลงอย่างไร
NICECNX: เป็นวัยรุ่นทั่วไปธรรมดาทั่วไปแต่ว่าผมติดอยู่อย่างหนึ่ง ผมเป็นคนไม่ค่อยตั้งใจเรียน เพราะผมรู้สึกว่าผมมีความสนใจด้านเพลง ด้านแฟชั่นตั้งแต่เด็ก มันน่าจะเริ่มมาจากแฟชั่นมากกว่า เพราะว่าเหมือนกับไปเสพสื่อเมืองนอก ช่วงนั้นก็จะดู MTV ดู สมัยนั้นยุคนั้นน่าจะเป็นบ้านติดไอ้นี่จาน UBC ตอนนี้จะเป็น True Vision ในปัจจุบันนะ ก็ได้รับอิทธิพลสื่อเมืองนอกมารู้สึกว่ามันเท่ดีมันดูแบบว่าดึงดูดสายตาดีอะไร แล้วก็เล่นสเกตบอร์ดรวมกับกลุ่มเพื่อน ๆ ซึ่งเป็นเด็กค่อนข้างที่เป็นเด็กหลังห้อง ไม่ได้ตั้งใจเรียน ไม่ได้สนใจเรียน แต่รู้สึกว่าเราแค่ไม่ได้โฟกัสสิ่งที่การศึกษาให้เรา
แต่ไม่ได้ว่าการศึกษาไม่ดี มันอาจจะดีสำหรับหลาย ๆ คน แต่ว่าผมรู้สึกว่า ผมไม่อยากเป็นแบบนี้ ผมไม่อยากจบไปทำแบบนี้ ตามที่เขาเรียนกันมา ผมรู้สึกว่า เฮ้ย มันมีงานอะไรไหม มีอาชีพอะไรไหม แต่แน่นอนที่บ้านไม่ได้เห็นด้วยอยู่แล้ว เรื่องเพลงเรื่องอะไร เพราะว่าผมเป็นคนเริ่มทำเพลงจริง ๆ ตั้งแต่ม.6 แต่ว่าตอนนั้นไม่ได้ปล่อยเพลงเพราะว่าเพลงมันเหมือนกับคนเริ่มทำใหม่ เหมือนว่าไม่ได้เก่งมากมายอะไร เพลงก็ไม่ได้แมส เริ่มแรปก็เริ่มแต่งตัว เริ่มพรีออเดอร์เสื้อผ้ามาขายในโรงเรียนกับเพื่อน สเกตบอร์ดมาขาย แต่จริง ๆ จุดเปลี่ยนเรื่องเพลงมันอยู่ที่ช่วงมหาวิทยาลัยเพราะว่า ทุกคนเลือกที่จะเป็นอาชีพโน้นอาชีพนี้แล้ว
เรากลับมาถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการแบบนั้นจริง ๆ เหรอ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างที่ 1 และไม่อยากไปโรงเรียน ไม่อยากเข้าเรียน 8 โมงเลิก 4 โมง เวลาสอบก็กดดัน ผมรู้สึกว่าผมไม่อยากให้ชีวิตผมเป็นแบบนี้มัน ๆ เหมือนกับการที่เรา มันอาจจะดีสำหรับหลาย ๆ คนนะ งานประจำมีฐานเงินเดือน แต่สำหรับผมเนี่ยผมรู้สึกว่า การทำงานประจำมันเหมือนการสอบทุกวัน ที่เราไปสอบสายไม่ได้ โดนหักคะแนน ถ้าในชีวิตจริงก็จะโดนหักเงินเดือน เราต้องตื่นแต่เช้าทุกวันแล้ววนอยู่อย่างนี้ จนไม่รู้ว่าอายุเท่าไหร่ ผมรู้สึกว่าอยากตื่นมาแล้วอยู่ในความฝันที่จะต้องตื่นกี่โมงก็ได้ ทำงานกี่โมงก็ได้ เมื่อไหร่ก็ได้ รู้สึกว่านี่แหละคือชีวิตของเรา
แต่ทางที่จะไปตอนนั้นแทบไม่เห็นอะไรเลย เพราะตอนนั้น YouTube ก็ไม่ได้ดัง ไม่ได้มีตัวอย่างให้เห็นว่ามี YouTuber ได้รายได้จากเพราะจากอะไร ที่บ้านก็เป็นข้าราชการหมดเลย ยิ่งหนักเลย ทะเลาะกับพ่อแม่ ผมรู้สึกว่าผมไม่ได้มีมีอะไรที่จะต้องไปเถียงเขา รู้สึกว่าพิสูจน์ให้เขาเห็นดีกว่าว่ามาทำได้
The People: เราพิสูจน์ด้วยสิ่งที่เราชอบ คือการทำเพลงหรือเปล่า หรือว่าตอนที่บอกว่าเริ่มจากแฟชั่นมากกว่าแล้วมาอย่างอื่น
NICECNX: ใช่ ผมพยายามหารายได้ให้ตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่าที่บ้านไม่ได้มีเงินอะไรมากมายอะไร พ่อผมเงินเดือน 9,000 แม่เงินเดือน 15,000 แต่เรากลับไปอยู่โรงเรียนเอกชนที่เพื่อน ๆ บางคนมีรถตู้มาส่ง มีฟิล อัลพาร์ดมาส่ง มีรถเบนซ์ขับมา แต่บ้านเราเป็นรถญี่ปุ่น นั่งรถตู้มาเรียนตอนเด็กทั่วไป ผมก็หาข้อดีอย่างนี้คืออยู่ในสังคมที่เป็นเพื่อนที่ดี ผมรู้สึกถ้ายุคนี้เขาน่าจะรู้จักเป็นคำว่าหา Connection ตั้งแต่สมัยนั้นนะ ผมรู้สึกว่าผมก็มีเพื่อนที่เป็นลูกเจ้าของอันนั้นอันนี้ มันก็มีลูกเจ้าของคนหนึ่งที่เขานำเข้าส่งออก
ผมก็เริ่มพรีออเดอร์สินค้าแฟชั่นจากเว็บต่างประเทศมาผ่านเพื่อนคนนี้ ตั้งแต่ประมาณ ม.5 แล้วก็ไปหาอย่างอื่นทำเยอะ อย่างเช่นแบบว่าเคยแพคแซนด์วิชขายในร้านเกมเพราะว่าเป็นคนติดเกมตั้งแต่เด็กอะไร ไปร้านเกมตอนเย็นก็แบบเฮ้ยเราก็มองว่าแบบจะทำยังไงดีว๊ะ คือตอนนั้นเหมือนกับเครียดในสิ่งที่ในวัยที่คนอื่นไม่เครียด เพราะผมรู้สึกเหมือนกับผมไปอ่านข้อมูลคือผมเป็นคนชอบศึกษาอะไรพวกนี้ เหมือนกับไปอ่านเจอประโยคหนึ่งว่า เราทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ วันหนึ่งเราก็จะได้ในสิ่งที่คนอื่นไม่มีทางได้ ผมก็เริ่มหาเงินตั้งแต่เด็ก เริ่มพรีออเดอร์ก็เริ่มมีเงิน
ตอนม.ปลายจับเงิน 10,000 ถือว่าเยอะมาก ๆ สำหรับผม แล้วก็อยากได้ iPhone เครื่องหนึ่งที่บ้านก็จะกู้ให้ จะกู้มาซื้อ แต่ผมก็เก็บเงินเอง ก็นั่นแหละ มาจนถึงทำเพลง ตอนนั้นไม่ได้หวังว่าจะมีรายได้ แค่อยากจะทำเพลงเพื่อเอาสังคม เพื่อแบบว่าคนทำเพลงส่วนใหญ่ต้องแต่งตัวเป็นแฟชั่น ไม่ว่าจะแนวไหนเขาจะต้องเป็นอารมณ์ศิลปิน
The People: แสดงว่าเริ่มมาจากแฟชั่นแล้วถึงค่อยสนใจดนตรีใช่ไหม
NICECNX: ใช่ แต่จริง ๆ ฟังเพลงตลอดอยู่แล้ว อยู่ในห้องเรียนก็ฟังตอนสอบ ขนาดคิดคำตอบข้อสอบยังเป็นเนื้อเพลงเลย มันอยู่ในหัว เขาเรียกการตกผลึก เพราะผมตื่นมาก็กินข้าวฟังเพลงอาบน้ำ จนพ่อแม่บ่นก็ประมาณแบบอย่าเพ้อเจ้อ เพ้อฝัน เพราะผมก็บอกเป้าหมายผมชัดเจนเลยว่า เฮ้ย อยากแต่งตัวเท่ ถ้าไม่ได้เป็นนักร้องหรือศิลปิน ผมอาจจะทำงานอยู่ร้านเสื้อผ้าแฟชั่น หรืออาจจะเปิดแบรนด์ของตัวเองตั้งแต่เด็กเลย
The People: มาทำเพลงเพลงแรกได้อย่างไร
NICECNX: เพลงแรกคือเพื่อนชวน เพื่อนชื่อว่าออฟทำกับกลุ่ม 8 GARAD ที่อยู่เชียงใหม่ ก็เป็นเพลงที่แบบเป็นแรป Underground ใต้ดินแต่ว่ามันดันเป็นกระแสพอดีนะ มันน่าจะเป็นล้านวิวแรก ๆ เลยของเพลงฮิปฮอปที่มันเป็นอยู่ใต้ดิน แต่เรายังไม่ได้เห็นเม็ดเงินไม่ได้เห็นอะไร แต่เรารู้สึกว่าเราเท่ขึ้น เรามั่นใจขึ้นมันทำให้เรามั่นใจ แล้วรู้สึกว่าเฮ้ย เหมือนสิ่งที่มันทำให้เราเข้าใกล้ความฝันเพราะอะไรก็ตาม ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจกับตรรกะ ผมมีจินตนาการเยอะมาก
ผมรู้สึกว่าวันไหนที่ฟิลลิ่งเราเข้าใกล้ความฝัน มันจะรู้สึกดี วันไหนที่เราห่างจากความฝันเราออกไปทีละก้าวมันจะรู้สึกแบบดาวน์ นอย ๆ หน่อย แต่ถ้าวันนี้ต่อให้ตื่นมาผมไม่ได้เงินในวันนี้ แต่วันนี้รู้จักคนใหม่เพิ่มขึ้น รู้จักคนที่มี Connection มากขึ้น ผมรู้สึกว่าผมประสบความสำเร็จใกล้เข้าไปอีกทีละนิด ๆ
The People: แรปเปอร์ที่อยู่เชียงใหม่ที่คนรุ่นใหม่รู้จักคือ ILLSLICK คิดว่าได้อิทธิพลจากแรปเปอร์เชียงใหม่ที่เป็นคนดังด้วยไหม
NICECNX: ใช่ ผมฟัง ILLSLICK ตั้งแต่เด็กเลย เหมือนกับถ้าเอาจริง ๆ แล้ว ถ้าผมจะใช้คำว่าพระเจ้าสำหรับผมก็ไม่แปลก ผมรู้สึกว่าอันนี้คือไม่มีผิด ไม่มีถูกนะ อันนี้คือความเห็นส่วนตัวนะ ผมรู้สึกว่าผมศรัทธาในเขามากกว่าศรัทธาในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ...แต่ผมรู้สึกว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมในวันที่ผมท้อทำให้ผมอยากลุกขึ้นมาจากเตียง มาทำอะไรบางสิ่งบางอย่างแล้วทำให้ผมใกล้ความฝันตัวเอง อันนั้นคือแรงบันดาลใจ แล้วคือสิ่งที่ผมศรัทธาจริง ๆ ก็เป็นเพลงของเขา
The People: หลังจากเพลงได้ล้านวิวแล้ว ไปทำอะไรต่อ วางแผนหรือว่าเห็นอะไรที่จะทำต่อบ้าง
NICECNX: ตอนนั้นไปเป็น MC ในผับ เหมือนกับมาแล้วหาเงินไประหว่างทาง ตอนนั้นน่าจะได้คืนละ 400-500 ครับ เรียนตอนเรียนมหาวิทยาลัย เลิกงานตี 2 เข้าเรียน 8 โมง วนกันเป็นเกือบปี ผมพยายามพาตัวเองไปรู้จักคนให้มากขึ้น ก็หาเงินไปด้วยแล้วก็เก็บเงินมาก้อนหนึ่งมากรุงเทพฯ มาทำเพลง
ตอนนั้นรู้จักกับพี่นีโน่ พี่ฟิก แล้วก็ยังโอม (YOUNGOHM) ก็เลยขอให้เขาช่วยทำเพลงให้ฟีเจอร์ริ่งด้วย เพลงนั้นน่าจะ 19 ล้านวิว แต่มันเป็นกระแสที่ดังมาก ๆ ในช่วงนั้นเพราะว่าไม่ค่อยมีแรปเปอร์เยอะ ไม่ค่อยมีคนทำเพลงเยอะนอกจากค่ายใหญ่ ๆ ผมน่าจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่ทำให้มีแรงผลักดันอีกแรงหนึ่งของวงการ
The People: รู้จักพวกนีโน่ YOUNGOHM ได้อย่างไร
NICECNX: ก็ตอนนั้นเหมือนกับ Rap is now กำลังมาแล้วมันเป็นเฉพาะกลุ่มมาก ๆ มันมีไม่กี่คนที่ทำเพลงขึ้นมา...ผมไม่ได้ลงแข่ง แต่ผมไป Perform เวที Season 2 ตอนนั้นเพลงมาพอดี น่าจะเป็นโชว์แรกในชีวิตเลย
The People: เลยได้รู้จักกลุ่มพวก Rap is now
NICECNX: ใช่ เพราะผมเป็นคนที่หา Connection ตลอดอยู่แล้ว
The People: พอเพลงที่ทำได้ 16 ล้านวิว เพลงไกลแค่ไหน หรือมาถึงเพลงหลอก คือความสำเร็จที่ตามมาเลยด้วยไหม
NICECNX: ยังครับ ตอนนั้นทำเพลงออกมาเรื่อย ๆ ก็มีหลักแสนวิว ล้านวิวมาเรื่อย ๆ จนถึงเพลงหลอก เนี่ยน่าจะเป็นหลังแข่ง Show Me The Money เพราะว่าตอนนั้นแข่ง Show Me The Money ผมมีดราม่าเรื่องร้องเพี้ยน จริง ๆ แล้ว ผมถามว่าร้องเพี้ยนไหม ตอนนั้นคือมันไม่มั่นใจในสิ่งที่ตัวเองพูดออกไป แรปออกไปเพราะว่า หนึ่ง การเดินทางมาจากเชียงใหม่มันอ่อนล้ามาก ลงทะเบียน 8 โมงเช้า ได้ออดิชั่นตี 2 และสิ่งที่เตรียมมาคือลืมหมดเลย แต่ว่ากรรมการทุกท่านนั่งเหมือนเดิม คือคนที่เราเคารพนับถือในวงการเหมือนกัน ผมรู้สึกว่าผมเดินทางมาไกลมาก ผมขึ้นไปคำแรกคือผมลืมเนื้อทุกอย่าง
ผมรู้สึกว่า ถ้าผมปล่อยไมค์เงียบ มันคือจบ แต่ถ้าผมแรปสด ฟรีสไตล์สดมันอาจจะออกมาไม่ดี อาจจะเป็นดราม่า ผมรู้ตั้งแต่วันนั้นแล้วแต่อย่างน้อยผมก็ได้ทำ ผมลองคิด ไหน ๆ ก็เดินทางมาแล้วถ้าสมมติเราไม่ทำเลย โอกาสเท่ากับ 0 เราทำดี-ไม่ดีมัน 50-50 มันก็เป็นดราม่าไป ทำไมคนที่ดีกว่า ทำไมเขาไม่เข้ารอบ คนนี้มันร้องเพี้ยนคนนี้มัน...ผมก็เลยรู้สึกว่าผมไม่อยากไปทะเลาะกับใคร ไม่อยากเถียงใคร
จบรายการผมก็เลยทำเพลงเลย รู้สึกว่าทำเพลงร้องให้มันเพราะไปเลย เป็นเพลงที่ทุกเพศทุกวัยฟังได้ปัจจุบันก็จำไม่ได้ว่า 117 ล้านวิว หรือประมาณนี้ ผมรู้สึกว่าไม่อยากไปเถียงกับใคร ไม่อยากไปทะเลาะกับใคร แต่อยากพิสูจน์ให้เขาเห็น มันคือการแก้แค้นที่ดีที่สุดแล้ว
The People: ไม่แน่ใจว่า 100% หรือเปล่า แต่บอกได้ไหมว่าเพลง ‘หลอก’ คือมาจากเป้าเพื่อโต้ตอบคอมเมนต์ที่ว่า
NICECNX: ด้วย
The People: ไม่ได้ 100%?
NICECNX: ไม่ได้ 100% มันก็จะมีเรื่องในชีวิต เรื่องความรักอะไรปกติ เพราะผมเป็นคนที่ถ้าพูดตรง ๆ น่าจะเอาแรงแค้นหรือว่าแรงนี้เป็นแรงผลักดันตัวเอง คำดูถูกเหยียดหยามตั้งแต่เด็กเป็นแรงผลักดัน สิ่งที่พ่อแม่ไม่เห็นด้วยแต่ว่าเรามีความฝันของเราเอง เป็นแรงผลักดันว่า ถ้าเราไม่ลงมือทำ ถ้าวันนั้นคือผมมาดรอปเรียนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่มาปี 3 แล้วนะ เพื่อนฝึกงานผมกลับมาเหมือนกับฝึกงานในชีวิตจริง
ดรอปเรียนมาผมรู้สึกว่าอย่างน้อยถ้าผมล้มเหลว ผมยังกลับไปเรียนได้ แต่ถ้าผมไม่ทำเลย ผมอาจจะพลาดความฝันตรงนี้ไปเลย
The People: พอมีความสำเร็จ เราทำอะไรต่อ ชีวิตเป็นลูปแบบศิลปินคือทำเพลง ไปทัวร์ กลับมาทำเพลงใหม่ออกอัลบั้ม แบบนั้นไหม ลูปชีวิตที่บอกว่าอยากใช้ชีวิตของตัวเองเป็นอย่างไร
NICECNX: ออกเพลงปุ๊บก็มีงานติดต่อเข้ามาเยอะมาก เคยมีงานมากสุด เดือนหนึ่ง 21 งานติดกัน ผมรู้สึกว่ามันก็เป็นลูปนี้ เพราะผมรู้สึกว่าผมเคยเหนื่อยมาก แล้วผมก็กลับมาถามตัวเองว่า มันเหนื่อยไปหรือเปล่าอะไรก็แล้วแต่ ผมรู้สึกว่าอีกเสียงหนึ่งข้างในมันก็บอกว่า นี่คือสิ่งที่เราเลือกมาตั้งแต่แรกแล้ว มันคือความฝันของเรา เราอยู่ในความฝันตัวเองนะ ทุกครั้งที่ผมตื่นเต้นหรือว่าอยู่บนเวทีหรือว่ากำลังจะออกไป Perform ไปโชว์ มันมีแน่นอนมีความตื่นเต้นอยู่แล้ว ผมก็คิดว่าหลายคนอยากมายืนตรงนี้ เขายังไม่ได้มายืน ต่อให้ผมมีลูปที่มันเหนื่อยมาก แต่มันคือสิ่งที่ย่อระยะเวลาทั้งชีวิตเหลือแค่ไม่กี่ปี ให้ผมมีเงินประสบความสำเร็จ ต่อยอดได้
The People: เรามาเจอค่ายที่บอกว่าเป็น Def Jam Thailand ตอนนั้นไนซ์ทำแบบไม่มีสังกัด แล้วมาอยู่ Def Jam Thailand ได้อย่างไร
NICECNX: ต้องย้อนกลับไปตอนที่เพลง ‘หลอก’ ดัง ผมเป็นคนหนึ่งที่ได้นั่งอยู่กับ Three Man Down, Tilly Birds, ไททศมิตร...ที่พี่โอม Cocktail นะ ขออนุญาตเอ่ยถึงนะ เขาบวชแล้วสึกออกมา เขามาชวนผมคนแรกแล้วผมก็ไม่ได้เซ็นกับเขา วันที่โบกี้ไลอ้อนยังไม่ออกเพลงลงใจ พี่มอยกับพี่แฟรงค์ What The Duck มาชวนผม ก็พลาดโอกาสตรงนี้ไป พี่กอล์ฟมาชวนผม ผมก็ไม่ได้ ปฏิเสธ เพราะตอนนั้นมองแค่เป็นเรื่องเงิน จนเมื่อปีที่แล้วผมกลับมาถามตัวเองว่า เงินน่ะถ้าเราอยากได้เงิน ทำไมเราไม่ไปทำธุรกิจ แต่ถ้าเราอยากอยู่กับมืออาชีพจริง ๆ ที่ทำเพลงจริง ๆ เราควรจะหาค่ายดี ๆ อยู่
เพราะเราไม่ต้องมาคิดปกเพลงเอง ไม่ต้องมาคิด Marketing เอง ไม่ต้องมาทำอะไรเอง เราควรเป็นศิลปินเราควรแค่ทัวร์กับแต่งเพลง ทำเพลงแค่นั้น ผมรู้สึกว่าตรงนี้มันตอบโจทย์ตรงที่ Def Jam หรือ Universal Music Thailand คืออันเดียวกันนะ คือเป็นค่ายของ ๆ ศิลปินหลาย ๆ ศิลปินที่เราติดตามอยู่ไม่ว่าจะเป็น The Weekend, Taylor Swift, Post Malone, Drake หรือหลาย ๆ คน Olivia, Billie Eilish หรืออะไรก็ตามผมรู้สึกว่ามันจะ World Wide ได้มากกว่า ผมรู้สึกว่าตอนนี้ถ้าผมตั้งใจทำ แล้วเดินหน้าต่อกับค่ายนี้ ผมก็ค่อนข้างที่จะดี เขาซัพพอร์ตทุกอย่าง
The People: มาอยู่กับ Def Jam สไตล์การทำงานต้องเปลี่ยนไหม เพราะเคยทำเดี่ยวมาตลอด แล้วอยู่ ๆ ต้องมีภายใต้ระบบ และที่บอกว่าไม่อยากจะตื่นมาเป็นเวลาทำงาน ต้องมีเข้าระบบ
NICECNX: ไม่มี คือเขาค่อนข้างอิสระ เหมือนกับว่าเราทำเพลงอยู่บ้านเราได้ แล้วส่งมาให้ค่าย ค่ายก็ปรูฟ คือผมค่อนข้างที่จะเป็นคนที่เขาค่อนข้างไม่ยุ่งกับผม ไม่ยุ่งเรื่องเนื้อเพลง ไม่ยุ่งเรื่องทำนอง ไม่ยุ่งเรื่องอะไร แต่ก็วางระบบให้ marketing ให้มากกว่า รู้สึกว่าสบายมากขึ้น ดี เพราะว่าทีมงานมืออาชีพ
The People: พวกสไตล์ดนตรีหรือว่าแนวอะไรที่บอกว่าไม่มายุ่งนี่คือ ไม่มีกำหนดก่อน
NICECNX: ไม่กำหนดเลย เหมือนผมเป็นคนที่ตกผลึกแล้วว่าทำแนวไหนคนจะฟัง แนวไหนตลาดกลุ่มไหนวัยรุ่นฟังอะไร ผู้ใหญ่ฟังอะไร คนทั่วไปฟังอะไรได้ คือตอนนี้จะทำแรปก็ได้ ทำป็อปก็ได้ ทำร็อกอะไรเมทัลได้หมด เขาไม่ได้กรอบผมอยู่แล้ว
The People: กลับมาพูดเรื่องจุดที่เรามาถึงตรงนี้ คิดว่าเป็นจุดที่มาถึงเป้าหมาย ถึงฝันที่เราอยากจะแต่งตัว อยากจะทำสิ่งที่ต้องการ ทำตรงนี้มันคือจุดนั้นแล้วไหม
NICECNX: มันถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในจุดนั้นแล้วกันนะพี่ เพราะว่าเหมือนกับตอนเด็กเราไม่มีตังค์ซื้อเสื้อผ้าแต่ตอนนี้เรามีแล้ว เพราะหาเงินมาได้ แต่ผมไม่ได้มองแบบนั้นแล้ว เพราะรู้สึกว่ามันเป็นทุกคน คนที่ไม่มีแล้วเคยมี มันจะรู้สึกดี แต่ผมรู้สึกว่าการที่จะโตไปข้างหน้าเราไม่ควรมาโฟกัสเรื่องพวกนี้ มันควรจะโฟกัสก้าวต่อไปของเรา อาจจะเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ คอนเสิร์ตเดี่ยวหรืออะไร มันมีทุกคนพี่
มันไม่ผิดที่เราจะคิดว่าจะแต่งตัวอะไร จะตื่นกี่โมงอะไร มันคือมุมมองในผม ณ ตอนนั้นที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่วันนี้ผมเคยจับเงินเท่านี้แล้ว ผมอยากจะได้มากกว่านี้ ผมอยากจะได้ความสำเร็จมากกว่านี้ ไม่แน่ในอนาคตผมอาจจะเปิดค่ายเองก็ได้ ไม่มีใครรู้
The People: เท่ากับว่าจะไม่ได้อยู่ Universal ไม่ได้อยู่ Def Jam Thailand
NICECNX: อาจจะเป็นภายใต้ Universal อะไรก็เกิดขึ้นได้
The People: ที่เคยบอกว่า พ่อแม่เป็นราชการ พ่อแม่ตั้งคำถาม ต้องพิสูจน์ให้พ่อแม่ พอมันมาถึงตรงนี้แล้ว มีรายได้ไปให้พ่อแม่ พ่อแม่เห็นแล้วว่าอย่างไรบ้าง
NICECNX: อันนี้คือพูดได้เลยเนอะพี่ ตั้งแต่มีเงินรายได้มา ผมทัวร์มาตั้งแต่อายุ 23 ตอนนี้อายุ 28 ณ วันนั้นจนถึงวันนี้ ผมไม่เคยส่งเงินให้เขาต่ำกว่าเดือนละ 20,000 มันถือว่าเยอะมั้ย มันเยอะสำหรับเขาด้วยเยอะสำหรับผมตรงที่ เด็กคนหนึ่งมากรุงเทพฯ คนเดียว ไม่มีคนตามมาด้วย ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ จนมีบ้านมีรถด้วยเพลงตัวเองได้ ซื้อของในราคาที่แพง ซื้อเพชรราคาเป็นล้านใส่ได้ในน้ำพักน้ำแรงตัวเอง ผมรู้สึกว่าผมภูมิใจตรงนี้นะ ใครจะว่าผมฟุ่มเฟือยก็มันชีวิตของเราด้วย
The People: พอประมวลทั้งหมด ไนซ์เป็นเหมือนภาพแรปเปอร์ของอเมริกัน ฝั่งอเมริกันที่จะต้องมีวัตถุนิยมเป็นบลิงค์ ๆ เป็นสิ่งที่บ่งชี้และพิสูจน์ตัวเองมาจาก ชนชั้นทำงาน และสำเร็จได้ อันนี้เรามีอิทธิพลมาจากพวก MTV หรือสื่อหรือเปล่า
NICECNX: ผมว่ามันเป็นส่วนมากเลย เพราะว่าตอนนั้นผมที่เดินทางกว่าจะมาถึงเป้าหมายที่ระยะหนึ่งของความสำเร็จเนี่ย ระหว่างทางมันมีการดูถูกเยอะมาก มันมีสิ่งที่แบบ แรปเปอร์หรอ อะไรอย่างนี้...พูดจริง เขาคือคนพูด มันไม่จำหรอกพี่ว่าเขาพูดอะไรกับเรา แต่เราฟัง เราไม่ได้ลืมหรอกว่าเขาพูดอะไรไว้
เราก็เป็นวัตถุนิยมไหม? ตัวอย่างตอนนั้นมันคือแรปเปอร์เมืองนอก ผมไม่มีตัวอย่างละที่จะต้องไปซื้อบ้านซื้ออะไรเหมือนคนไทยทั่วธรรมดา เพราะผมเสพอะไรมา ผมได้สิ่งนั้นกลับไป ผมทำให้เขาเห็นเป็นภาพยิ่งเหมือนใน MTV ตอนเด็กเลย
จริง ๆ มันอาจจะฟุ่มเฟือยมากนะ สำหรับซื้อเพชร มันไม่จำเป็นด้วยซ้ำ แต่วันที่มันใส่แล้วมันถ่ายรูปลงอ่ะพี่มันเหมือนกับเรารู้สึกดีอ่ะ มันเป็นประมาณนั้นนะ เหมือนรองเท้าว่าทำไมต้องแพง ทำไมวัตถุบางอย่างเสื้อผ้า ทำไมราคาแบบแบรนด์ทำไมแพงจัง ทำไมหลุยส์วิตตองแพงกว่าแบรนด์ตลาดทั่วไป ผมรู้สึกว่ามันคือมูลค่าทางจิตใจด้วย แต่ว่าวันนี้ ถามว่าวันนี้ถ้าผมไม่มีอะไรพวกนี้ได้มั้ย ได้ เพราะผมมั่นใจว่าคำว่า “Nice CNX” มีค่ากว่าเพชรแล้วตอนนี้
The People: มันมีวัฒธรรมฮิปฮอปที่ว่า มันจะต้องเขาเรียกว่าบลัฟกัน เขาเรียกว่า Diss กัน เคยถูก Diss หรือมีอะไรอย่างนั้นไหม
NICECNX: ผมว่าก็น่าจะมี แต่ผมไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ผมไม่รู้ว่าใครทำด้วย แล้วก็ผมไม่รู้สึกว่าต้องไป Dissใครด้วย เพราะรู้สึกว่าผมไม่ได้เกลียดใครในวงการ ผมรู้สึกว่ามันเป็นแรงบันดาลใจด้วยซ้ำถ้าวันหนึ่งเขาเกลียดเรา เขาอาจจะอิจฉามั้งหรือว่าอะไร ผมรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปโต้ตอบเพราะว่าการแก้แค้นศัตรูที่ดีที่สุดคือการประสบความสำเร็จ จนเขาตามไม่ทัน เอื้อมไม่ถึงมากกว่า
The People: ความเป็นฮิปฮอปมันจะมีอะไรแบบนี้
NICECNX: ใช่ มันคืออีโก้ ผมยอมรับว่าผมมีอีโก้มาก
The People: แต่บางคนจะไม่ค่อยเข้าใจ หรืออาจจะไม่เข้าใจวัฒนธรรมแบบนี้
NICECNX: ทำทำไมวะ ใช่
The People: วัฒนธรรมฮิปฮอปเป็นส่วนหนึ่งที่อาจจะมีบางส่วนคาบเกี่ยวกับ American Dream คือมีบ้าน มีรถ มีวัตถุ พออยู่กับสังคมแบบนี้ก็จะมีบางคนที่คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่ก็จะมีอีกกลุ่มหนึ่งที่บอกว่า เฮ้ย ลดละสิ่งไม่จำเป็นดิ มองเรื่องนี้อย่างไร
NICECNX: มันก็มีส่วนที่ถูกต้องด้วยแล้วก็ส่วนที่ไม่ถูกทั้งหมด ผมรู้สึกว่า ณ วันนั้น สิ่งที่ถูกต้อง ผมอาจจะเป็นเก็บเงินซื้อเพชร ณ วันนี้สิ่งที่ถูกต้องของผมคือเก็บเงินแล้วไปลงทุนต่อ มันอยู่ที่มุมที่มองแล้วก็ประสบการณ์ที่เจอมามากกว่าพี่ รู้สึกว่ายิ่งเราเติบโตมากขึ้น เราอาจจะไม่ไปใช้เงินกับสิ่งฟุ่มเฟือย เราอาจจะมองอนาคต มันเลยมีคำว่า “อาบน้ำร้อนมาก่อน” ผมเข้าใจวันนี้แหละว่า ผู้ใหญ่เขาอาจจะเคยเจอแบบนี้มาแล้ว
The People: เคยเล่าว่าไปเทรดคริปโต ครั้งใหญ่เลยว่า 5 ล้าน มันเกิดอะไรขึ้น
NICECNX: ตอนนั้นเป็นช่วงโควิดรอบสุดท้ายที่ล็อคดาวน์ล่าสุดเนี้ย ก็คือเหมือนกับว่าตอนนั้นมันไม่มีอะไรทำ แล้วก็มีเงินอยู่ในกระเป๋าจำได้ 15,000 – 16,000 ประมาณนี้ แล้วรู้สึกว่าผมเครียดมาก เพราะคอนเสิร์ตก็ไม่รู้ว่าจะมีเมื่อไหร่ เพลงก็รอ Passive Income จากรายได้เพลงมันก็นานกว่าจะได้ ผมก็เลยหาอะไรลงทุน ตอนนั้น Club House ดังมาก ผมก็เปิดไปเรื่อย ๆ ก็ไปเจอห้องหนึ่งเขียนว่า “การลงทุนเพื่ออนาคตหลังโควิด” ผมก็นั่งฟังก็เออ พูดดีนี่หว่า ผมก็เริ่มศึกษา ตื่นมาผมดู Kim Property Live ดูการลงทุนทอง ดูพี่ท็อป คุณท็อป Bitkub ดูการลงทุนว่าแบบคริปโตโบโบ้หรืออะไรก็ตาม ดูทุกเรื่องตอนนั้นอสังหาริมทรัพย์
แต่ผมก็มองตัวเองว่า นอกจากซื้อหวยแล้ว ตอนนี้เทรด Forex มันก็ไม่มีอะไรแล้วนอกจากคริปโต ผมก็เลยเสี่ยงลงทุนไป มีเงินติดกระเป๋า 15,000 ลงทุนไปหมื่นเอ็ด เหลือตังค์กินข้าว 2-3 พัน 4พัน ปรากฏว่ามันเหมือนถูกหวยพี่ ผมไปลงทุนดันไปลงทุนใน DeFi ซึ่งมันลึกมาก ปกติทุกคนอาจจะเทรดคริปโตบนกระดานทั่วไปไม่ Binance ก็ Bitkub ใช่มั้ยคนไทย ผมดันไปศึกษาลึกตรงที่สมัคร MetaMask ซื้อ BNB ใน Binance โอนไป MetaMask แล้วก็ไปลงทุนใน DeFi DeFi จะเป็น Decentralization ก็คือแบบว่าไม่มีกฎหมายในนั้น เป็นเงินถ้าเหรียญได้รับ Audit ถูกต้อง เงินก็จะเข้ากระดานหลัก ผมกลับไปมองตรงนั้นผมซื้อเหรียญนั้นน่ะ ชื่อเหรียญ MMP วันแรกที่เปิดเคาท์ดาวน์หน้าเว็บ ผมเป็นคนกดแล้วลงทุนไปประมาณหมื่นเอ็ดมั้ง
ตื่นมา 2 วัน ผ่านไป 2 วันนะ น่าจะมีเงินประมาณ 4 ล้านกว่าบาท ซึ่งผมคิดว่ามันไม่ทันได้ตื่นเต้นอ่ะพี่ มันไม่ทัน ฝันไปหรือเปล่าวะ ผมก็เลยช็อคแล้วก็เลยถอนเงินออกมา ก็มานับดู เฮ้ย มันได้จริงนี่หว่าแล้วก็ฝากเข้าไปใหม่ ซึ่งจังหวะฝากเข้าไปใหม่เนี่ยมันก็คือ คือเรื่องทั้งหมดมันอาจจะเกิดขึ้นเร็วนะ แต่ว่าระยะเวลาประมาณตอนนั้นประมาณ 6 เดือนนะ มันค่อยลดไปเรื่อย ๆ จนน่าจะเหลือก้อนสุดท้ายเหลือประมาณ 400,000 แล้วก็เลยถอนออกมาจาก 4-5 ล้านประมาณนั้น
(คริปโตลง?) ผมลงทุนไปเยอะมากพี่ ผมซื้อตอนนั้นมี Ethereum 12 Ethereum มี Bitcoin อยู่อันหนึ่ง ผมก็ขายหมดเลย ขายจังหวะขายแบบต่ำด้วย แต่ถ้าถามว่า เริ่มต้นจริง ๆ ก็เริ่มต้นจากเงินหมื่นเอ็ดก็ไม่ขาดทุน แต่ว่ามันขาดทุนกำไร แล้วมันเจ็บใจมากกว่า
The People: แล้วเงินเหล่านั้น เอามาต่อยอด มาซื้อวัตถุ?
NICECNX: ไม่ ผมก็ไปลงทุน MV “แค่อยากพูดคำว่ารัก”
(เป็นต่อยอดในงานเพลง?) แล้วทุกวันนี้ผมก็ยังลงทุนอยู่ ไม่ในคริปโตก็ในหุ้น ใช่ เพราะผมรู้สึกว่าตอนนั้นมันเป็นข้อดีตรงที่ผมเสียเงินไปเยอะใช่มั้ย ผมก็เลยมีเรื่องไปคุย ประสบการณ์ไปคุยกับนักลงทุนหลายๆคน ผมก็จะได้ Connection มากขึ้น ตอนที่หุ้น More ยังไม่ขึ้น ผมก็รู้ว่ามันจะขึ้น แต่ผมรู้สึกว่าผมเล่นไม่เป็น ตอนนั้นไม่ได้สมัครกองทุน ไม่ได้อะไร ผมรู้สึกว่าผมอยู่วงในหลาย ๆ เรื่อง แต่ผมแค่แผลเดิมมันยังไม่เสร็จ (ยังเข็ดอยู่ว่างั้น?) ใช่
The People: พอมาเป็นงานดนตรีกับตัวค่าย มันจะมีออก EP ในปีนี้ใช่มั้ย เล่าถึง EP นี้ว่ามันทำงานยังไง เราไอเดียมาจากไหน
NICECNX: จริง ๆ แล้ว ก่อนที่จะอยู่ค่าย ผมทำเพลงใน EP เนี่ยส่วนหนึ่งเสร็จหมดแล้ว แต่จริง ๆ จะออกเป็นอัลบั้ม แต่อัลบั้มมันค่อนข้างไม่คุมโทน เพราะเราไม่เคยมีค่ายมีอะไร แต่พอมาปรึกษาพี่ ๆ หรือว่าปรึกษาทีมงานในค่ายเขาบอกว่า ควรจะคุมโทนให้เป็นธีมเดียวกัน ก็เลยคัดจากผมว่ามีประมาณ 20 เพลงมั้ง ตอนนี้เหลือประมาณ 10 กว่าเพลง แล้วก็จนมาเป็น EP นี้ 6 เพลงก่อนในพาร์ทแรกชื่อ EP ว่า AT NiGHTเพราะว่าทุกเพลงมันแต่งตอนกลางคืน ในความรู้สึกที่เราฟุ้งซ่านไปกับมันในสิ่งที่เราเจอประสบการณ์ที่เราผ่านมา ก็เป็น 6 เพลงที่ค่อนข้างที่จะคัดมาแล้วเป็นดนตรี Synth Pop แล้วก็เป็นเพลงที่ฟังง่ายทุกเพลง
The People: มันจะไม่ใช่แรปเปอร์แบบที่เคยแรปหรือเปล่า
NICECNX: ใช่ ใน EP นี้ผมไม่ได้พูดเลยว่าผมเป็นแรปเปอร์ ผมพูดในฐานะศิลปินคนหนึ่งมากกว่า
The People: ทำไมเราถึงเป็น Synth Pop ไม่ได้แบบแรปเหมือนที่เราเคยทำ
NICECNX: ชอบ เอาง่าย ๆ คือชอบ คือผมแค่อยาก ผมชอบอะไรผมก็ทำ EP หน้า อัลบั้มหน้าอาจจะเป็นร็อก อาจจะเป็นฮิปฮอป ไปเลยก็ได้ เพราะผมรู้สึกว่ามันไม่ได้อยากจำกัดกรอบตัวเอง ผมรู้สึกว่าทุกวันนี้คนฟังเพลงทั่วไปเขาก็ไม่ได้สนใจว่าแนวอะไร แค่มันน่าฟัง มันเพราะ มันทำให้เขาเลิกงานเสร็จเหนื่อย ๆ มาเปิดฟังในวิทยุหรือในไฟล์เพลงตัวเองแล้วมีความสุข เราก็ดีใจแล้ว ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนคนนั้นมากกว่า ที่จะเติมเต็มให้ได้
The People: คือไม่ได้นิยามตัวเองด้วยว่าเป็นแรปเปอร์
NICECNX: ไม่แล้ว เพราะรู้สึกว่าถ้าเรานิยามว่าเป็นแรปเปอร์ บางอย่างที่เราไม่ใช่แรปเปอร์แล้วเราอายที่จะทำมันก็จะไม่ทำ แล้วก็จะไม่ได้เจอประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างเช่นบางคนก็อาจจะคิดว่าแรปต้องเป็นแรปคำหยาบคาย ต้องมีเหล้ายาปลาปิ้งหญิงอะไร ผมอาจจะไม่ใช่แบบนั้นแล้วก็ได้ ผมอาจจะเป็นคนที่อยากทำเพลงเพื่อเติมเต็มความฝันตัวเองในวัยเด็กแค่นั้น
The People: นิยามว่าเป็นคนทำเพลง เพื่อเติมเต็มความฝัน
NICECNX: ศิลปิน
The People: ศิลปินที่ทำเพลงเพื่อเติมเต็มความฝัน นิยามเป็นแบบนี้มากกว่า
NICECNX: บางทีก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น
The People: ในวันนั้นเราพิสูจน์กับพ่อแม่แล้วว่า ประสบความสำเร็จจริง ๆ
NICECNX: ผมว่าจริง ๆ แล้วมันน่าจะเป็นตั้งแต่วันแรก ๆ ที่เขาหมดห่วง เพราะว่าไม่ได้ขอเงินใช้เลยตั้งแต่มาอยู่กรุงเทพฯ แล้วก็เหมือนกับใช้หนี้ให้เขา หนี้รถ หนี้อะไรในบ้านก็มีในส่วนนั้น แต่ถามว่าสิ่งที่ควรทำคือเอาเขามาอยู่ด้วย มาดูแล ผมยังทำไม่ได้ เพราะว่าผมรู้สึกว่า รายได้เรายังไม่มากพอ เพราะที่บ้านเป็นคนเชียงใหม่ เลยมีบ้าน 3 หลังที่เชียงใหม่ แล้วแม่อยู่คนเดียว พ่ออยู่แพร่เพราะพ่อแม่เลิกกันตั้งแต่เด็ก
ผมรู้สึกว่าผมอาจจะยังไม่สามารถทำให้เขามาอยู่ด้วยกันได้ หรือความต้องการเขาอาจจะไม่ได้มาอยู่ด้วยกัน แต่ผมรู้สึกว่าผมดูแลเขาได้ในระดับที่ดีเพราะว่าถ้าพูดตรง ๆ ก็คือถ้ามุมกลับกัน เป็นผม ผมเป็นเขานะ ผมก็จะอยากให้ลูกคนหนึ่ง หมดห่วงลูกแล้วก็เห็นลูกประสบความสำเร็จตามความฝัน ทุกวันนี้เขาแทบจะไม่มายุ่งอะไรกับผมเลย แค่นั้นผมว่าถ้ามุมมองพ่อแม่หมดห่วงก็คือดีใจแล้ว
The People: เอาเรื่องราวหรือเอาไอเดียอะไรมาแต่งเพลง เป็นเรื่องความรัก?
NICECNX: มี EP ที่แล้วเป็นชื่อ EP ว่า 25 years old ก็คือรวมทุกเรื่องตั้งแต่เกิดมาจนถึงอายุ 25 EP นั้นผมรู้สึกว่าชอบที่สุดแล้วในชีวิต เพราะว่าเนื้อหาส่วนใหญ่ไม่มีความรัก มันเป็นเรื่องชีวิต แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าทุกวันนี้คนชอบเพลงรักมากกว่าเพราะว่าเขาอาจจะไม่อยากต้องมาฟังเรื่องเล่าของผม หรือถ้าไม่ใช่แฟนตัวยงอะไร อาจจะไม่ต้องการความเครียด แค่ต้องการฟังเพลงเหมือนที่ผมพูด เลิกงานมาฟังเพลงสบาย ๆ
The People: ส่วน EP ที่จะถึงนี้คือส่วนใหญ่พูดถึงความรัก
NICECNX: รักหมดเลย แต่ว่าเป็นเพลงรักที่เนื้อหาค่อนข้างที่จะอิงผมเยอะมาก แล้วก็เป็นเนื้อหาวัยรุ่นเป็นรักที่ไม่ใช่รักเลิก รักเลิก มันคือรักที่ก่อนจะเลิกเกิดอะไรขึ้น รักที่ทำไมความรักเป็นแบบนี้ ทำไมความรักมันเจ็บแล้วเรายังรักอยู่ เหมือนเพลงแรกใน EP ชื่อว่า “ถ้าหากว่ารักต้องเจ็บแล้วดีอย่างไร”
The People: กระบวนการทำเพลงเป็นยังไง แต่งเนื้อร้อง เขียนเพลงอย่างไรบ้าง
NICECNX: ผมทำเองทั้งหมด ยกเว้นดนตรีกับบีต ให้โปรดิวเซอร์ชื่อว่า จีแบง ช่วยทำ ซึ่งอยู่ด้วยกันมาค่อนข้างสักพักแล้ว บางเพลงก็แต่งเนื้อก่อน บางเพลงก็มีทำนองก่อน
The People: แสดงว่าส่วนใหญ่แล้ว เรามีทักษะในการทำเพลง ในการเล่าเรื่อง แต่ว่าตัวดนตรีก็คือใช้ทีมงาน
NICECNX: ก็บอกว่าอยากได้แบบนี้ แนวนี้ จริง ๆ รู้สึกว่า บางคนเขาคิดมากเกินไป ควรเป็นงั้นเป็นงี้ ผมเคยเป็นคน ๆ นั้นที่คิดมาก หลังจากเพลง “หลอก” ปล่อย รู้สึกว่าจะทำไงให้มันดังเท่านี้วะ แต่ช่วงนี้ผมไม่ได้คิดละ ผมคิดว่าถ้าเพลงมันเพราะ มันทำมาจากใจจริง ๆ มันดังเองแหละ ผมว่าเป็นงั้นมากกว่า
The People: หวังอะไรจากตัวผลงานที่จะปล่อยในปีนี้ มีเพลงอะไรที่อยากจะแนะนำ
NICECNX: จริง ๆ แนะนำทุกเพลง (หัวเราะ) เพราะมันตั้งใจทุกเพลง แล้วมันดีหมด แต่ว่าเพลงจริง ๆ ที่ผมชอบเป็นพิเศษก็จะมี “ตลอดกาล” กับ “ถ้าหากว่ารักต้องเจ็บ”
The People: มันมีเรื่องราวหรือว่ามีความพิเศษอย่างไร
NICECNX: เพลง “ถ้าหากเราต้องเจ็บ” จะเป็นสตอรี่เกี่ยวกับไปทัวร์ต่างจังหวัดวันหนึ่ง แล้วมีน้องคนหนึ่งพึมพำขึ้นมาว่า ถ้าหากว่ารักต้องเจ็บแล้วมันดียังไงวะ ผมก็เลยแบบ เฮ้ย ไอ้นี่ดีนะ ผมก็เลยเอามาแต่งเป็นเพลงเพราะผมรู้สึกว่าก็จริง ทุกวันนี้ความรักของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถ้าพูดถึงเรื่องความรัก ผมจะมองให้มันลึกขึ้น บางคนรักกันเลิกกัน แต่ผมคิดว่าทำไมยังมีคนที่ยอมเสียใจ ยอมเศร้า ยอมเจ็บ ยอมให้คน ๆ นี้มีอิทธิพลกับเราทุกวัน และยังรักเขาอยู่ ทำไมเราไม่ปล่อยวาง มันก็เป็นคำถามหนึ่งที่ความรู้สึกมันใช้คำพูดอธิบายไม่ได้
The People: เพลงนี้หรือเปล่าที่บอกว่าซื้อเนื้อเพลง
NICECNX: เพลงนี้ซื้อเนื้อเพลงหรือเปล่า เป็นผมให้เครดิตน้องมากกว่า เขาแค่พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่าถ้าหากว่ารักต้องเจ็บแล้วดีอย่างไร ผมก็แค่ซื้อประโยคนั้น
The People: ซื้อนี่หมายความว่าขอแล้วให้เครดิต แต่ว่าไม่ได้จ่ายเงิน?
NICECNX: ให้เงินไปเลย ผมรู้สึกว่าเหมือนมันศิลปะ มันต้องให้เงินอยู่แล้ว เพราะว่าเราใช้เงินกินข้าวกินอะไร จะบอกว่าให้เครดิต เครดิตมันบางทีมันซื้อข้าวไม่ได้พี่นั่นแหละ
The People: ซื้อแค่ประโยคเดียวเลย
NICECNX: ประโยคเดียว แล้วเพลงที่เหลือมาแต่งเอง
The People: ที่ซื้อนี่พอจะบอกได้ไหมว่าประโยคเดียวมีค่าเท่าไหร่
NICECNX: หลักพัน ถือว่าช่วยน้อง ถือว่าเป็นสินน้ำใจให้เขา
The People: ไม่แน่ว่าอนาคตจะมีคนพูดอะไรเป็นคำคมกับไนซ์ แล้วโดนใจ ไนซ์อาจจะซื้อต่อ ซื้ออีกรอบหนึ่ง?
NICECNX: อาจจะเป็นไปได้ เพราะผมรู้สึกว่าถ้าประโยคนี้อยู่กับผมอาจจะทำให้คนเข้าใจประโยคนี้มากขึ้นก็ได้
The People: มีอะไรอยากฝากกับแฟนเพลง คนที่ติดตามไนซ์
NICECNX: วันนี้เพลงผมอาจจะไม่ใช่เพลงที่ดีที่สุด แต่ผมจะตั้งใจทำทุกผลงานให้มันดีที่สุด แล้วก็หวังว่าไม่ว่าเพลงไหนก็ตาม แค่ 1 ประโยคของเพลงที่ทำให้คุณลุกขึ้นมา ตื่นขึ้นมาทำตามความฝันได้ ทำให้วันที่คุณท้อ คุณได้เข้าใกล้เป้าหมายตัวเอง คุณยอมเหนื่อยว่ะ ขี้เกียจว่ะ แต่ว่าคุณใจยังสู้ ชนะใจตัวเองได้ เพราะว่าฟังประโยคในเพลงผม ผมรู้สึกว่าแค่นี้ผมก็ประสบความสำเร็จแล้ว ผมรู้สึกว่าผมดีใจมาก ๆ แล้ว แล้วก็อย่ายอมแพ้ เพราะว่าผู้ชนะจริง ๆ แล้วไม่เคยล้มเลิก แต่คนที่ล้มเลิกไปก่อนไม่เคยผู้ชนะ
The People: ความฝันของเรา ณ จุดนี้ ความฝันยังเหมือนเดิมไหม ฝันอะไรมากกว่านี้อีกไหม
NICECNX: รู้สึกว่าอยากจะฝันมากกว่านี้ คืออยากให้โอกาสเด็กจังหวัดเดียวกันที่อยากเป็นศิลปินได้ทำเพลงได้ ได้มีบทบาทหน้าที่มากขึ้น ได้ตามฝันตัวเองมากขึ้น ไม่จำกัดกรอบตัวเอง เพราะผมรู้สึกว่าความฝันเรามันมักจะถูกความจริงกำหนดไว้ว่าเราเป็นไม่ได้หรอกแบบนี้ มันคือสิ่งที่สอนกันมาเรื่อย ๆ ดีนะที่วันนั้นผมไม่ฟังใครเลย ผมเลยมีวันนี้ได้ ไม่งั้นแย่ ผมอยากให้คิดเหมือนกันว่า ทำไปเลย รู้สึกว่าขอแค่ทำ ชนะใจตัวเองได้ แค่นั้นจบ