09 ม.ค. 2567 | 15:33 น.
“การแสดงคือการทำงานกับคน เพราะมันคือการเรียนรู้นิสัยของคนคนหนึ่ง”
คือสิ่งที่ ‘ไกด์’ กันตพล ชมพูพันธ์ รวมถึง ‘โอห์ม’ ฐิติวัฒน์ ฤทธิ์ประเสริฐ สองนักแสดงนำจากซีรีส์ Bake Me Please พิชิตใจนายสายหวาน เรียนรู้จากการเป็นนักแสดง
จากเด็กสองคนที่เคยฝันอยากเป็นนักบินและขี้อาย แต่การแสดงทำให้โอห์มและไกด์เข้าใจเรื่องราวของ ‘คน’ ที่แตกต่างจากการทำการบ้านก่อนการแสดง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภูมิหลัง เรื่องราว จุดเปลี่ยน ความหวัง และความฝันของตัวละครนั้น ๆ เพื่อถ่ายทอดออกมาถึงใจผู้ชมให้สมจริงและดีที่สุด
“การเป็นตัวละครหนึ่งมันต้องสร้าง background หลายอย่าง เพื่อให้เราไม่ใช่โอห์มไม่ใช่ไกด์ แต่เป็นอีกคนหนึ่ง เป็นอีกโลกที่เราต้องสื่อสารกับคนดูให้สมกับเป็นตัวละครที่เขาเขียนมาให้ดีที่สุด” โอห์มอธิบายเพิ่มเติม
บทสัมภาษณ์นี้ เราชวนทั้งสองคน ถอดบทบาทนักแสดงคุยเรื่องตัวตน ความฝัน ความหวัง จุดเปลี่ยนชีวิตและบทเรียนชีวิตที่การแสดงมอบให้พวกเขา
ก่อนจะมาเป็นนักแสดง ทั้งสองคนมีความฝันอยากเป็นอะไร
ไกด์ : จริง ๆ เราสองคนมีความฝันที่คล้ายกันมาก พวกเราอยากเป็นกัปตันหรือนักบิน เพราะไกด์เป็นคนชอบเที่ยว อยากจะลองมีมุมมองเหมือนนกสักครั้ง ไปอยู่บนท้องฟ้า สังเกตก้อนเมฆ สีท้องฟ้าแต่ละวัน ไม่ว่าจะเจอพายุ แต่ก็ยังอยากฝ่ามันไปให้ได้
โอห์ม : ส่วนผมเติบโตมากับครอบครัวที่อยู่ในวงการการบิน คุณแม่ทำงานในสนามบิน คุณลุงก็เป็นนักบิน เราได้ความรู้ต่าง ๆ มาตลอด เป็นสิ่งที่เราศึกษามาทั้งชีวิต โตขึ้นมาก็ชอบเครื่องบิน ชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ก็เลยคิดว่าสักวันหนึ่งก็หวังว่าจะได้ไปอยู่ ณ ตรงนั้น
แล้วนักแสดงเข้ามาในชีวิตตั้งแต่ตอนไหน
ไกด์ : ตอนแรกผมอยากเป็นนักบินก็จริง แต่ค่าเทอมมันแพงมาก ผมไปหาข้อมูลในกูเกิลว่า อาชีพอะไรที่ทำแล้วรวย ผมก็เจอคณะนิติศาสตร์ เรียนอยู่ 3 ปี แต่ตอนนั้นครอบครัวมีปัญหาทางการเงิน ผมไปทำงานพาร์ตไทม์ แล้วรู้สึกว่า ถ้าต้องรอเรียนจบ 4 ปีเพื่อหางานทำ เพื่อแข่งขันกับคนอื่นต่อไป กับเราที่สามารถหาเงินได้ ณ วันนั้น ผมอยากที่จะเลือกเงินมากกว่า แล้วเป็นเวลาเดียวกันกับที่โมเดลลิ่งของเชียงใหม่ชวนผมไปเดินแบบ ถ่ายแบบ จนมีโอกาสมาทำงานที่กรุงเทพฯ ลองแคสต์เป็นนักแสดง หลังจากนั้นก็ติดใจการทำงานในวงการด้านนี้เลย
โอห์ม : ตอนแรก ผมเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าแสดงออก ไม่ชอบเข้าสังคม จนครอบครัวส่งไปแคสต์โฆษณาเพื่อให้กล้าแสดงออกมากขึ้น ก็รู้สึกชอบเป็นนายแบบ เพราะได้ทำงาน มีรายได้ แล้วตอน ม.ปลายผมมีโอกาสไปช่วยงานคุณพ่อที่ทำงาน Post-production เกี่ยวกับวงการบันเทิง ชอบงานเบื้องหลัง ตอนขึ้นมหา’ลัย ผมสอบเข้าสาขานิเทศศาสตร์ จนมีโอกาสประกวด Asia New Star Model ของช่อง 8 ไปประกวดที่เกาหลี แล้วก็กลับมาเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของทางช่อง แล้วก็พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ มาตลอด
พอได้มาเป็นนักแสดงจริง ๆ เป็นอย่างไร
ไกด์ : รู้สึกว่าการแสดงคือการทำงานกับคน เป็นการเรียนรู้ที่จะเป็นตัวละครหนึ่ง มีความท้าทาย และเรียนรู้ไปในตัว ศึกษานิสัยของคนคนหนึ่ง แล้วเอามาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น ถ้าเรารู้ถึงข้อบกพร่องของตัวเองหรือรู้ว่านิสัยที่เราเป็นอยู่มันไม่ดี เราก็อาจจะได้เรียนรู้จากตัวละคร แล้วมาพัฒนาให้เป็นตัวเราเองที่ดีที่สุด
โอห์ม : ถูกครับ เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทีมเวิร์ก มันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียวที่จะทำออกมาแล้วจบ มันเริ่มตั้งแต่การเขียนบท คิด วางโครงต่าง ๆ มาถึงเรา ออกไปโปรโมต มันอาศัยการทำงานเป็นทีมเวิร์ก เพราะทุกตำแหน่งสำคัญหมด
การแสดงทำให้เราเข้าใจคนอื่นมากขึ้นด้วยไหม
โอห์ม : เข้าใจมากขึ้น เพราะการเป็นตัวละครหนึ่งมันต้องสร้าง background หลายอย่าง เพื่อให้เราเป็นอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่โอห์ม ไม่ใช่ไกด์ เป็นอีกโลกที่เราต้องสื่อสารกับคนดูให้สมกับเป็นตัวละครที่เขาเขียนมาให้ดีที่สุด
ไกด์ : ผมมองว่าอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพเดียวที่เราได้สวมบทบาทหลายอาชีพ ตั้งแต่ทนาย หมอ ตำรวจ ซึ่งการที่เราจะแสดงออกมาได้ เราก็ต้องไปศึกษาถึงเบื้องลึกเบื้องหลัง ตั้งแต่งานอดิเรกสิ่งที่เขาชอบทำไปจนถึงภูมิหลัง
ความท้าทายของการเป็นนักแสดงที่ทั้งสองคนเจอคืออะไร
ไกด์ : ไกด์ย้ายมาจากภาคเหนือ อาจจะติดสำเนียงเหนือมาบ้าง แล้วเป็นนักแสดงใหม่ คิดว่าเราจะต่างจากคนอื่น หรือไปฉุดคนที่เขาเล่นคู่เราหรือเปล่า ตอนมากองแรก ๆ ก็ต้องปรับตัว พยายาม Active ตัวเอง ผลักตัวเอง คุยเยอะๆ เพื่อไม่ให้เหลือสำเนียงเหนือเลย
โอห์ม : ตอนยังไม่เคยเล่นละคร ผมคิดว่าการจำบทยาว ๆ ครึ่งหน้าหรือเต็มหน้ากระดาษ มันยากมาก รู้สึกว่าทำไมคนเราต้องพูดเยอะขนาดนั้น พอเรียนรู้มาเรื่อย ๆ ก็รู้ว่า การเป็นนักแสดงคือการเป็นคนคนหนึ่ง เราไม่ต้องจำ แต่ต้องรู้สึกไปกับทุก ๆ dialogue ทุกอิริยาบถ
พอต้องเป็นตัวละครของซีรีส์วาย ต้องทำการบ้านเพิ่มเติมไหม
ไกด์ : ผมมองว่าซีรีส์วายคือซีรีส์เรื่องหนึ่ง ไม่อยากจำกัดความว่า ซีรีส์วายเป็นซีรีส์ที่พิเศษกว่าเรื่องอื่น เพราะสุดท้ายมันคือซีรีส์ที่แสดงความรัก แค่เป็นความรักอีกรูปแบบหนึ่ง
ถ้าเป็นแบบนั้น การเป็นนักแสดงซีรีส์วาย ทำให้มุมมองความรักของโอห์มและไกด์เปลี่ยนตามด้วยไหม
โอห์ม : ถ้าย้อนกลับไป 3 - 4 - 5 ปีก่อน ตอนเล่นซีรีส์วายเรื่องแรก ผมอาจจะคิดว่าจะเล่นอย่างไรให้คนเชื่อมากที่สุด เราเลยทำการบ้าน ไปดูซีรีส์วาย ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยดูมาก่อน แต่ก็ยังไม่เข้าใจ แต่พอเรามาเล่น ทำงานไปเรื่อย ๆ มองว่าความรักคือความสบายใจ ไม่ว่าจะเป็นเพศไหนก็ตาม
ไกด์ : ผมรู้สึกว่าความรักคือเรื่องราวของคนสองคน ความรู้สึกดีต่อกันค่อย ๆ พัฒนาการจากเพื่อนกลายเป็นคนสนิท หรือเป็นคนรัก สุดท้ายผมคิดว่าเรื่องเพศ อายุ ศาสนา หรือเชื้อชาติก็ไม่มีอะไรที่มาจำกัดความได้
แล้วในซีรีส์ Bake Me Please เล่าความรักในแง่มุมไหน
ไกด์ : ในซีรีส์เล่าเรื่องของชายหนุ่มสองคนที่ชอบทำขนมเหมือนกัน ก็ค่อย ๆ เรียนรู้กันไปเรื่อย ๆ จากลูกศิษย์จนกลายมาเป็นคนที่สนิท และสุดท้ายก็พัฒนาความสัมพันธ์กลายเป็นคนรักกัน
แต่จริง ๆ แล้ว Bake Me Please เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องอะไร
โอห์ม : ซีรีส์ Bake Me Please พิชิตใจนายสายหวานเป็นเรื่องราวของ 5 หนุ่มที่มาอยู่ด้วยกันที่ร้านเบเกอรี่ ชื่อ Temptation ที่เกิดความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความรัก เพื่อน พูดถึงความฝันและมิตรภาพของทั้ง 5 คน
ไกด์ : แล้วระหว่างนั้นก็จะเล่าภูมิหลังของแต่ละตัวละครครบ 5 คน แสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดการปัญหาของตัวเอง หรือแสดงให้เห็นถึงวิธีการจัดการความรู้สึก หรือบางคนก็อาจจะจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้จนอาจจะระเบิดออกมา
สำหรับทั้งสองคน ความฝันและความหวังในวันนี้คืออะไร
โอห์ม : เหรียญมีสองด้าน มีคนรัก ก็ต้องมีคนไม่รัก เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพาร์ตการทำงานหรือการใช้ชีวิต เรามาอยู่ในสปอตไลท์ อาจจะมีส่วนที่คนอื่นมองเห็นชีวิตเราบางส่วน และมองไม่เห็น แต่ผมรู้สึกว่ามันคือการที่เราในฐานะมนุษย์คนหนึ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กว่าเราควรจะอยู่ในจุดไหนของสังคม
ไกด์ : เราไม่สามารถไปบังคับให้ทุกคนมองเราว่าเราต้องเป็นแบบนี้ได้ ผมแค่ชอบการแสดง และอยากทำมันออกมาให้ดีที่สุด ถึงจะมีคำด่าบ้าง หรือมีคำชมก็พร้อมน้อมรับ และจะยังทำต่อไป พัฒนาไปเรื่อย ๆ เพราะนี่คืออาชีพของผม
ตอนแรกไกด์บอกว่า อยากมีมุมมองเป็นนกสักครั้ง แล้วการเป็นนักแสดง ทำให้เราเห็นมุมมองกว้างขึ้น แสดงว่าตอนนี้เรารู้สึกว่าเราเป็นนกแล้วหรือยัง
ไกด์ : ผมรู้สึกว่าผมยังก้าวต่อไปได้มากกว่านี้ เพราะตอนนี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยิ่งเหมือนโปรเจกต์นี้เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ของเราสองคนด้วย ก็รู้สึกว่าก็อยากจะเติบโตกันไปมากกว่านี้ แล้วก็ค่อย ๆ เรียนรู้ อาจจะมีล้มลุกคลุกคลานบ้าง แต่ก็อยากให้ก้าวต่อไปเรื่อย ๆ ครับ
ในมุมมองของโอห์มและไกด์ ความฝันและความหวังเป็นเรื่องเดียวกันไหม
โอห์ม : ผมว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เพราะถ้าเรามีฝันแล้ว เราก็ต้องหวังว่าความฝันนั้นมันจะเป็นจริง ถูกไหม แต่อยู่ที่ว่าระหว่างทางเราจะหยุดมันหรือเปล่า สมมติว่าเราเดินแล้วหยุด เราหวังไปมันก็เท่านั้น
ถ้านิยามตัวตนของตัวเองได้ จะนิยามเป็นอะไร เพราะอะไร
ไกด์ : ผมขอเลือกเป็นแมว เพราะแมวเป็นสัตว์ที่อ้อนได้ อยู่นิ่ง ๆ ได้ นอนเก่ง กินเก่ง ผมก็รู้สึกว่าผมเป็นอย่างนั้น คือถ้าเวลาไหนที่เราอยากพัก เราก็แค่พัก เวลาไหนที่เราอยากเล่น เราก็แค่เล่น ผมเป็นคนเลี้ยงแมวด้วย กลับดึกแค่ไหน น้องก็ออกมารับ ต่อให้น้องอาจจะเหงามาทั้งวันหรือไม่สบาย แล้วแมวจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร แมวจะหาความสุขให้ตัวเองได้เสมอ
โอห์ม : เป็นคำว่าสงบ ผมชอบอะไรที่สงบ ไม่ได้หวือหวา ชีวิตเรียบง่าย Slow Life แต่ไม่ได้เอ้อระเหยลอยชายขนาดนั้น บางอย่างเรารีบได้ แต่ว่าก็ต้องพักบ้าง
ตัวตนจริงของทั้งสองคนเหมือนหรือต่างกับชินกับพีชในซีรีส์มากน้อยแค่ไหน
ไกด์ : ไกด์รับบทพีช เป็นเด็กหนุ่มที่สดใส ได้รับความรักจากยายมาเต็มเปี่ยมเสมือนพระอาทิตย์ เหมือนไกด์ในชีวิตจริงตรงทัศนคติ ไกด์เป็นคนชอบมองโลกในแง่บวก ต่อให้เจอปัญหาอะไร แต่ไกด์ก็รู้สึกว่าเราเครียดไปมันก็เท่านั้น สู้เรามาหาวิธีแก้ปัญหากับพยายามมองโลกในแง่บวกดีกว่า
โอห์ม : ผมชอบได้บทเป็นผู้ชายไม่ค่อยพูด ไม่ได้รู้สึกไกลตัว เพราะด้วยตัวเราเองเป็น Introvert เหมือนเป็นคำที่ดูเท่นะ แต่ว่าเป็นอย่างนี้จริง ๆ ผมไม่ค่อยชอบเข้าสังคม เหนื่อยกับการอยู่กับคนเยอะ ๆ แต่มันเป็นอาชีพที่เราต้องทำ ก็คล้ายกันกับตัวละคร
จากวันแรกจนถึงวันนี้ การเป็นนักแสดงบอกอะไรกับทั้งสองคนบ้าง
ไกด์ : สำหรับผม บอกหลายอย่าง จากเด็กคนหนึ่งที่ไม่เอาเรื่องการแสดง ไม่กล้าเปิดเผยตัวเองต่อสาธารณะ วันหนึ่งติดใจการแสดง ต้องมาเป็นบุคคลสาธารณะ มันก็มีภูมิใจ มีความกล้าที่จะทำอะไรสักอย่าง เราอาจจะชอบหรือไม่ชอบ แต่การเรียนรู้ระหว่างทางก็เป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเรา
โอห์ม : บอกว่าชีวิตเราพลิกผันตลอดเวลา มันไม่ได้มีแค่ด้านเดียว ไม่รู้เลยว่าวันไหนจะดีหรือร้าย มันอาจจะร้ายตลอดไปหรือดีตลอดไปก็ได้ ทำให้เรียนรู้ชีวิตว่าการเล่นละครเรื่องหนึ่งมันจบ Happy Ending แต่ชีวิตเรามันไม่ได้จบ Happy Ending ทุกคน มันสอนให้เรารู้อย่างนั้น
ทั้งสองคนอยากจะลองแสดงบทบาทแบบไหนในอนาคต
ไกด์ : อยากลองเล่นภาพยนตร์กับละครเวทีดู เพราะมันเป็นอีกศาสตร์ของการแสดง ละครเวทีมันจะเล่นให้ชัด ออกเสียงให้ชัด ส่วนภาพยนตร์ก็จะมีความ real เหมือนชีวิตปกติ
โอห์ม : อยากเล่น Method acting เล่นแบบลึก ไม่ถอดบทบาท แต่รู้สึกว่าเรายังไม่ได้เก่งเท่านั้น แต่วันหนึ่งเราอยากพัฒนาตัวเองไปให้ถึงจุดนั้นให้ได้ในการเล่นออกมาให้คนดูเชื่อที่สุด
แล้วในฐานะโอห์มและไกด์ มองตัวเองในอนาคตไว้อย่างไร
ไกด์ : ผมอยากเป็นคนคนหนึ่งที่มีความสุข ต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จในหน้าที่นักแสดง แต่ไกด์ก็อยากมีชีวิตที่ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องคิดมาก อยากใช้ชีวิตกับแมว อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับสิ่งที่เราทำและมีความสุข
โอห์ม : ผมอยากพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าเราจะอยู่ในแบบอยู่ในตรงไหนของชีวิต ไม่ว่าจะทำงานอะไรอยู่ หรือปลูกข้าว แต่ขอให้เรามีความสุขในการใช้ชีวิตทุก ๆ วัน อยู่กับพ่อแม่ อยู่กับคนรัก อยู่กับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุข มีความทุกข์บ้างก็ไม่เป็นไร