06 มี.ค. 2567 | 11:14 น.
KEY
POINTS
“ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ”
คือแก่นการมองชีวิตของ ‘โทนี่ รากแก่น’ เจ้าพ่อแฟชั่นและนักแสดงในวัย 42 ปีที่ทำให้เขาสามารถมองเรื่องผ่านมุมมองคนที่ 3 และเข้าใจผู้คนที่หลากหลายในสังคมมากขึ้น
ชีวิตของโทนี่ รากแก่น ในวันนี้จึงไม่ใช่การจมจ่อมอยู่กับดรามาเหมือนชีวิตที่ผ่านมา แต่เชื่อว่าทุกคนมีสตอรี่ไลน์ในชีวิตของตัวเอง
“เราเจอความจริงที่ว่า ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ ไม่ได้มองว่าชีวิตจะต้องมีความสุขอย่างเดียว มันไม่จริง เพราะความจริง คือเราจำเป็นต้องเจอทุกเรื่อง ทุกรูปแบบ เพราะมันคือไทม์ไลน์ของเรา มันคือ storyline ที่เราต้องเจอ”
ส่วนเรื่องราวชีวิตช่วงนี้ของเขา คือ ปลูกผัก ปรุงดิน ทำอาหารกินเอง หันกลับมาดูแลใจตัวเอง ถอยออกจากเมือง แล้วหันกลับมาพึ่งธรรมชาติรอบตัว
The People คุยกับ ‘โทนี่ รากแก่น’ คุยเรื่องชีวิตบทใหม่ของโทนี่ที่ใกล้กับธรรมชาติมากขึ้น บทบาทการแสดงจากเรื่อง ‘หมอตลอดกาล’ และแนวคิดชีวิตระดับลึกที่เขาไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน
โทนี่ : ตอนเด็ก พ่อแม่เราแยกทางกัน เราจะรู้สึกว่าชีวิตมันไม่สมบูรณ์แบบเหมือนคนอื่น อายที่จะเป็นตัวเอง เวลาออกไปเจอสังคมก็จะมีความประหม่า กลัวการพูด เพราะกลัวว่าพูดแล้วจะผิด เพราะว่าเราพยายามจะมีชีวิตที่ใกล้เคียงกับความเพอร์เฟกต์ของสังคมให้เป็นมากที่สุด แต่เราก็ด้อยไปเรื่องครอบครัว ทำให้กลายเป็นคนไม่ค่อยยิ้ม ขี้กลัว พูดน้อย ไม่กล้าแสดงออก
โทนี่ : อยู่ดี ๆ พ่อก็เอาเงินไปลงทุน ได้สัญชาติออสเตรเลีย ผมไปแบบงง ๆ ตอนอายุ 12 กับพี่สาว 2 คน พวกเราต้องดูแลกันเอง แต่ขณะเดียวกันเราก็สนุก ได้หนีออกจากชีวิตรูปแบบเดิม ๆ จากบ้านที่เข้มงวดมาก ๆ แบบมาก พอไปอยู่จริง มันค่อนข้างอิสระจนเราหาบาลานซ์ไม่เจอ ไม่เรียน ปลุกก็ไม่ไป อยากทำอะไรก็ทำ
โทนี่ : โห มันยากทุกอย่างเลย เด็กอายุ 12 ไปต่างถิ่น ภาษาก็ยังไม่ได้ แต่ที่ยากที่สุด คือ การตัดสินใจ เราไม่รู้ว่าเราต้องตัดสินใจอย่างไร ก็เลยใช้วิธีดูตัวอย่างจากคนรอบข้าง พยายามทำตามในสิ่งที่เขาตัดสินใจ เพราะมันเป็นปมลึกว่า ๆ เราไม่มีพ่อแม่ที่อยู่ใกล้ชิด คอยให้คำปรึกษา แล้วเหตุการณ์ที่เข้ามามันหลากหลายมาก แล้วเราไม่มีไกด์ไลน์ ทุกอย่างเราต้องเป็นคนที่เลือกเอง แล้วทุกการตัดสินใจนั้นมันคือปัญหาของเราหมดเลยที่มันทับถมไปเรื่อย ๆ เพราะว่าอันนี้ตัดสินใจผิดอีกแล้ว อันนี้ก็ผิด มันผิดเต็มไปหมดเลย
โทนี่ : เราคิดว่าพอตัดสินใจเอง สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เราจะรู้ว่าการตัดสินใจนี้ไม่ได้มาจากคนอื่น แต่มันเป็นตัวเรา เพราะฉะนั้นคนที่ผิด ถ้าเกิดมันเลือกผิด คนที่ผิดมันคือตัวเรา แล้วจะทำอย่างไรที่เราจะตัดสินใจให้ผิดน้อยลง มันเหมือนกับสะสมแต้มให้เราค่อย ๆ เรียนรู้ว่า ครั้งต่อไปเราควรจะต้องทำอย่างไร
โทนี่ : กลับมาไทยก็ยังเป็นอย่างนั้น มันเป็นกระบวนการที่ช้ามากเลย กลายเป็นปมจนถึงทุกวันนี้อยู่เลยว่า เราใช้เวลาเรียนรู้ชีวิตนานกว่าคนอื่นเยอะเลย ยังไม่รู้สึกว่าโต เหมือนเรายังเรียนรู้ตลอดเวลา
เพราะที่ผ่านมา เราคิดว่าหลาย ๆ คนอาจจะคล้ายเรา เกิดมาในครอบครัวที่แตกแยก แยกทางกัน บางคนอาจจะไม่รู้ตัว เหมือนเราที่มองหาสมบูรณ์แบบอยู่ตลอด จนมัน extend ไปถึงเรื่องอื่น เรื่องครอบครัว การใช้ชีวิต หน้าที่การงาน การพูดจา การคบกัน เรียกว่ามันเกินสิ่งที่ควรจะเป็นเกินไปหรือเปล่า
จนมาถึงตอนนี้ที่เรามาเจอแก้ว (จริญญา ศิริมงคลสกุล) แล้วเขาพาเราไปเจอแนวทางชีวิตอีกแบบหนึ่ง แล้วก็ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตแบบนั้นแล้ว แล้วเราได้เรียนรู้ว่าโห ชีวิตตอนอายุ 40 มันโคตรแจ๋วเลย มันสนุกมาก มีอะไรให้ explore เยอะมาก แล้วรู้สึกว่าเรา appreciate มัน และมีความสุขกับชีวิตนี้ของเราแล้ว
โทนี่ : ตอนแรก ๆ ชีวิตของเราคือความสำเร็จ ความสำเร็จคือครอบครัว หน้าที่การงาน คือ cliche เป็นสิ่งที่สังคมเขียนมาว่า ถ้าสำเร็จคือประมาณนี้ แต่ตอนนี้เราเจอคู่ที่เข้าใจกันมาก ๆ เรามองว่าเขาคือ soulmate เป็นคนที่คุยในระดับจิตวิญญาณได้ แล้วพากัน escalate ไปถึงจุดที่รู้สึกว่าความสำเร็จในปัจจุบันกาล คือ การที่เราดูแลสุขภาพของเราได้ดีที่สุด ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ แล้วก็พยายามใช้ชีวิต harmonize กับธรรมชาติให้มากที่สุด จิตใจเราก็บาลานซ์มากขึ้น เพราะเราเจอความจริงที่ว่า ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ
เราไม่ได้มองว่าชีวิตจะต้องมีความสุขอย่างเดียว มันไม่จริง เพราะความจริง คือเราจำเป็นต้องเจอทุกเรื่อง ทุกรูปแบบ เพราะมันคือไทม์ไลน์ของเรา มันคือ storyline ที่เราต้องเจอ ถ้ารู้ความเป็นจริงนี้ เราจะสามารถมองมันอย่างเป็น observer ได้ บางทีทำได้นะ มันไม่ได้ว่าเราทำได้ทุกครั้ง แต่ช่วงหลัง เราทำได้มากขึ้น มองดูว่าเรื่องนี้มันเป็นอย่างไร แล้วก็ค่อย ๆ นึกถึงว่าสิ่งที่เราทำได้อย่างเดียว ก็คือการที่เราจะเอาตัวเองไปรู้สึกหรือไม่รู้สึกกับมันอย่างไรแค่นั้น นั่นคือบาลานซ์
โทนี่ : แน่นอนอยู่แล้ว เดี๋ยวนี้เราจะไม่ค่อยไปแสดงความเห็นกับเหตุการณ์หรือปัญหาของใคร แต่ผมคิดแบบนี้ ก็ไม่แปลว่าทำได้ทุกครั้ง เพราะยิ่งถ้าเป็นเรื่องของคนที่แคร์เรามาก อย่างเช่นแก้ว เราอาจจะไม่ทะเลาะกับใครเลย แต่ทะเลาะกับแก้ว เพราะว่าเราแคร์เขามาก กลัวเขามองเราไม่ดี ก็เลยต้องทะเลาะเพื่ออธิบายว่า มันไม่ใช่นะ แต่จริง ๆ เราไม่ต้องอธิบายก็ได้ แต่มันเป็นธรรมชาติว่ามันคืออีโก้นิด ๆ ในใจของแต่ละคนที่ยังยึดถือตนว่าเฮ้ย ฉันเป็นแบบนี้อยู่ อย่ามองฉันอีกแบบหนึ่งสิ
โทนี่ : ใช่เลย ความคาดหวังคือคีย์เวิร์ด เหมือนที่ Yuval Noah (นักเขียนชาวอิสราเอล) เคยบอกว่า สมการความสุขคือการเอาความคาดหวังลบความจริง แล้วจะเท่ากับ happiness เพราะว่าบางทีเราไม่ได้มองความจริง แต่เราเอาความคาดหวังเราไปบวกกับความเป็นจริงมันจะเป็นสิ่งที่เราอยากให้มันเป็น แล้วพอมันไม่เป็นตามที่เราคาดหวังไว้ มันก็จะกลายเป็นความทุกข์ มัน suffering แต่ถ้าเกิดเราสามารถเข้าใจสมการนี้ว่า อย่าเอาความคาดหวังเข้าไปบวกกับความเป็นจริงนี้ แค่มองความเป็นจริงที่มันเป็นจริง มันอาจจะดีกว่าหรือเปล่า
โทนี่ : โห มันสั่งสมตลอดชีวิต ที่เล่าว่าสมัยเด็กเราจำเป็นจะต้องเรียนรู้ทุกอย่างด้วยตัวเอง ผมว่ามันดี เหมือนไม่ได้มีกรอบให้เราคิดว่า เราต้องทำแบบนี้ เราเรียนรู้จากพี่หลาย ๆ คนที่น่าคิดได้ดีกว่าเรา กลายเป็นครูพักลักจำ จนเราโต เราเก่งขึ้นในการแก้ปัญหา เพราะมันไม่ได้มีกรอบให้เราว่าต้องคิดแบบนี้เท่านั้น แต่ก็ทำหลายแบบจนรู้ว่า ถ้าจะเปิดประตูบานนี้ต้องใช้กลอนแบบนี้ กุญแจที่อยู่ในมือมันเริ่มน้อยลง ๆ เพราะรู้แล้วว่า กุญแจนี้เปิดได้เลย
ซึ่งเราชอบแก้ปัญหาในวิธีที่เรารู้สึกว่าต้อง humble และ compromise ที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่เราจะชนเลย ต้องแตกหักกันไปเลย ซึ่งมันเป็น process ในการเรียนรู้ เพราะตอนนั้นเราก็มีอีโก้ที่ดำเนินชีวิตในแบบของเราในยุคสมัยนั้น แต่พอเราโตขึ้นมา รู้สึกว่าเราชอบตัวเองที่แก้ปัญหาด้วยวิธีการ humble แล้วก็ compromise มากกว่า
โทนี่ : หลังจากที่แต่งงานกับแก้วมา เราไปเจอความสนใจในการดูแลสุขภาพ เพราะพ่อเราเสียไปจากมะเร็ง เราก็เลยหาทางช่วยเขาในลักษณะของธรรมชาติบำบัด แต่ช่วยไม่ทันนะ แต่ก็ได้ข้อมูลบางอย่างว่าอ๋อ ยูต้องเริ่มกินให้ดีนะ ก็ค่อย ๆ พัฒนาจากเรื่องสุขภาพมาสู่การออกแบบชีวิตกันว่า ต่อไปนี้เราจะควบคุมคุณภาพอาหารของเราได้อย่างไรบ้าง ก็อาจจะต้องมีพื้นที่สักพื้นที่หนึ่งที่เราสามารถปลูกอาหารกินเองได้
พอเราทำสถานที่ที่เราคิดว่า สถานที่นี้แหละที่จะทำให้เราใช้ชีวิตแบบที่เราอยากทำ มันเป็นพื้นที่ที่บ้านแก้วซื้อไว้นานแล้ว เราก็หาที่ที่หนึ่งที่อยากจะลองออกแบบชีวิต ตอนแรกก็คิดว่าเขาใหญ่ แต่ถ้าต้องขับรถไปเขาใหญ่ เราคงไม่ได้และไม่ได้เรียนรู้สิ่งนี้ แต่โชคดีที่ไม่มีใครห้ามให้เราทำ เราก็เลยได้ลองทำ พอได้ทำเรารู้สึกว่าเรา appreciate ชีวิตมาก ๆ
ทุกอย่างเป็นวงจรของมัน ทำให้เราอยู่กับการเฝ้ารอ อยู่กับทุกกระบวนการที่เราทำ มันพาให้เราอยู่กับเหตุการณ์ ณ ตรงนั้น ลืมเรื่องที่ไม่มีความสุข ลืมเรื่องกวนใจ มันไม่ได้อยู่กับเรื่องที่มันเป็นอดีตหรืออนาคต มันอยู่กับสิ่งที่มันเกิดขึ้นตรงหน้ามาก ๆ
โทนี่ : ได้เลย ทุกวันนี้เราไม่ค่อยอยากออกไปไหน เพราะที่บ้านมีงานให้ทำเยอะมาก งานปรุงดิน หย่อนเมล็ดปลูก รอคอย รดน้ำ คอยหมักจุลินทรีย์ เคลียร์กิ่งไม้มาเผาถ่าน เพราะฉะนั้นสถานที่ตรงนี้เป็นเหมือนห้องแล็บที่มีอะไรให้เราเรียนรู้อีกเยอะ แต่สำหรับผมมันจะเป็นที่พักใจได้จริง ๆ มันต้องมีแก้วด้วย มันต้องมีหมาน้อย 2 ตัวของเราด้วย มันต้องมีครอบครัวของเราที่คอยแวะเวียนมาด้วย มีเพื่อนของเราบ้าง มันกระจายออกจากบ้านเราออกไปนิดหนึ่ง แต่ไม่ได้ไกลมาก
โทนี่ : ผมว่าถ้าเราโฟกัสที่เงิน แต่ไม่รู้จักการเงิน มันอาจจะทำให้เราไม่เหลือเงินในที่สุด เราอะเป็นแบบนั้น (หัวเราะ) แต่แก้วสอนให้เราเข้าใจเรื่องการเงิน ต้องเก็บ ออมเงิน ถ้าเราได้เงินเท่านี้ ต้องใช้เท่าไร ผมคิดว่าที่พักใจแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอก แต่ถ้ามองมาที่พวกเราแล้วเห็นว่าที่พักใจเราน่าสนใจอาจจะตั้งมันเป็นเป้าหมาย เก็บเงิน เพื่อลงทุนสิ่งนี้ เมื่อก่อนเราใช้เงินไปซื้อเสื้อผ้า แต่เราเอาใช้สร้างบ้าน มันเป็นการลงทุน ซึ่งในอนาคตเราอาจจะหาผลกำไรจากมันได้บ้างเพื่อความอยู่รอด
ผมคิดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องมีที่แบบนี้เพื่อฮีลใจ มันอยู่ที่มุมมอง เราว่าอันนี้คือคีย์เวิร์ด ไม่ใช่ว่ายูจะต้องอยู่สถานที่แบบนี้ ต้อง luxury หรือไม่ luxury อยู่ตรงไหนก็ได้ ขอแค่รู้ว่า เราอยากให้ความสำคัญว่าเราอยากจะพัฒนาจิตใจของเราไปในเชิงไหน ไปในทางที่เราน่าจะ harmonize มากขึ้น ก็ต้องย้อนกลับมาที่เชื่อไหมว่าความเป็นจริงมันมี 2 ด้านเสมอ ถ้าเราเชื่อสิ่งนี้ได้ เราจะเห็นคีย์เวิร์ด เห็นอาวุธบางอย่างที่จะทำให้เราพัฒนา หรือดูแลจิตใจของตัวเองได้
โทนี่ : ใช่ แต่ละคนก็คงมีวิธีของตัวเอง อย่างที่บอกทุกคนมีไทม์ไลน์ มี storyline ของตัวเองทั้งหมด และ storyline นี้มันเป็นสิ่งสนุก สำหรับเรามันสนุกแล้วกัน บางคนอาจจะยัง suffer อยู่กับ storyline ของตัวเอง แต่เรารู้สึกว่าพอเรามองไปแบบนี้เราสนุกกับมันได้
โทนี่ : พื้นที่นี้เป็นพื้นที่ที่บ้านแก้วเขาเคยซื้อไว้นานแล้วแถวปริมณฑล ประมาณไร่ครึ่ง อยู่ดี ๆ วันหนึ่งเราสองคนหลังจากแต่งงานแล้ว เราก็หาที่ที่หนึ่งที่เราอยากจะทำไอเดียนี้ อยากจะออกแบบชีวิตกัน
โทนี่ : หลัง ๆ ชีวิตเรา ทำงานเพื่อมาทำสถานที่ตรงนี้ เอาสุขภาพเป็นหลัก ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพใจ วางเรื่องนี้ไว้เป็นแกนชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป สุขภาพกายต้องมีอะไรบ้าง อาหารที่ดี วิธีการกินที่ถูกต้อง ทำให้ต้องปลูกอะไร เพื่อให้ได้โปรตีนครบ โพรไบโอติกส์ ไขมันดี ที่ทำให้สุขภาพเราดี ส่วนสุขภาพใจ ก็ต้องย้อนกลับไปว่า เราต้องเข้าใจความเป็นจริงว่าทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ แล้วก็ไม่เอาใจตัวเองไปเล่นกับเรื่องราวใด ๆ ที่จริงจังเกินไป หรือเอาเรื่องอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเรามาใส่ใจ
แล้วผมกับแก้ว พยายาม reflex เป็นกระจกสะท้อนให้กัน สมมติเราเข้าเมืองไปงานแฟชั่นโชว์ เราก็มานั่งถามกันว่า รู้สึกอย่างไรกับการไปนั่งในคนหมู่มาก เริ่มจากความรู้สึกว่า เมื่อยขาเนอะ ภาพสวยดีนะ โชว์ดี แล้วก็เข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนมีเพื่อน มี soulmate ที่คอย reflex ให้กัน
โทนี่ : เหมือนมันไม่มีเรื่องเวลามาจำกัดเราว่าจะต้องใช้ชีวิตแบบนี้เมื่อไหร่ หรือใช้ชีวิตไปนานแค่ไหน แต่เรารู้สึกว่าในทุก ๆ วันที่เราใช้ชีวิตแบบนี้ ก็มันเป็น goal ของเราไปแล้ว มันเป็นเป้าหมายแล้วมันก็สามารถ achieve ได้ในทุก ๆ วัน
โทนี่ : มัน deep ผมไม่กล้าไปพูดแบบนี้กับใคร ถ้าไม่มาถาม เพราะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่อง personal มาก กลัวคนไม่เข้าใจแล้วจะมาดรามาหรือตัดสินเรา แต่นี่คือทางที่เราเลือกนะ เพราะมันมีหลายทาง มันมีทางอื่น ทางที่สนุกสนานไปกับชีวิตอีกแบบหนึ่งก็ได้ สุดท้ายแล้วมันไม่เชิงว่าไม่มีดีชั่ว มันเป็นเรื่องพลังงาน แรงสั่นสะเทือน คลื่นความถี่ ซึ่งไม่บอกว่าอะไรดีหรือไม่ดี แต่เราอยู่ในความเป็นจริงที่เราจำเป็นที่จะต้องดำเนินต่อไปด้วยกัน as a social as a สังคม เราจำเป็นจะต้องเอาด้าน positive มาเจอกันเพื่อให้สังคมมันไปรอด
โทนี่ : แน่นอนเลย space, time and matter นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดชีวิตตั้งแต่แรก และมีเวลาที่ทำให้ชีวิตเราดำเนินไป ถ้าเราหยุดอยู่กับที่ มันก็จะไม่เกิด space, time and matter ชีวิตก็เหมือนการเดินทางจริง ๆ นั่นแหละ
โทนี่ : เราว่ามันมีผลลัพธ์ได้ทุกวัน มันเกิดขึ้นตลอด ตลอดเวลา เพราะเราเติบโตมากับการต้องคิดก่อนตัดสินใจ เพราะไม่มั่นใจว่าเราคิดถูกหรือผิด จะกินอะไร ควรซื้อไหม เดินไปทางไหนดี พอเป็นแบบนี้ตลอด เรารู้สึกว่าพอตัดสินใจถูก มันเป็นผลลัพธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ มีทั้งผลลัพธ์ short term และ long term
โทนี่ : ใช่ มันเกิดขึ้นตลอดเวลา สมมติเราตั้งเป้าไว้ long term มันก็จำเป็นที่จะต้อง maintain อย่างที่เราบอกว่า เราก็คงต้อง maintain เรื่องของ relationship เรื่องของจิตใจเราไปตลอดชีวิตเรา นั่นคือ long term แต่ว่าเราจะทำแบบนั้นได้ทุกวัน เราต้องเป็นแบบนั้นเหมือนกัน
โทนี่ : ไม่รู้เหมือนกัน แต่รู้ว่าตอนนี้เรา appreciate life มาก เรา appreciate หลาย ๆ อย่างได้ง่ายขึ้น บางทีมันไม่ใช่แค่ appreciate ด้วย มันใจฟูกับหลาย ๆ เรื่อง ต่อให้มันดีหรือร้าย มัน welcome ทุก ๆ เรื่องได้มากขึ้น
สำหรับเรื่องที่ผ่านมา เราผ่านมาได้ เรารู้สึกว่าจัดการมันได้ดีประมาณหนึ่ง ถ้ามันเกิดอีกในอนาคต เราก็คงพอมีกุญแจไปไขมันได้ แต่เราก็กลัวเหมือนกันว่า ถ้าเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่เราตั้งเป้าอย่างดีแล้ว เป็นเรื่องที่เราอินมาก เช่น เรื่องสุขภาพ หรือเรื่อง relationship บางทีเราก็นั่งคิดนะว่า ถ้าไม่มีแก้วเราจะอยู่อย่างไรวะ มันมีความรู้สึกนั้นเหมือนกัน
โทนี่ : แก้วใช้คำนี้ แก้วอีกแล้ว แก้วเขาเป็นคนที่มีคีย์เวิร์ดดีอะ เขาบอกว่า เราไม่ได้พึ่งตัวเอง แต่เราพึ่งธรรมชาติ เราก็เออ จริงด้วย พึ่งตัวเองแม่งอีโก้ไปนิดหนึ่ง แต่ถ้ามองว่าพึ่งธรรมชาติ แปลว่าเราต้องทำงานให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ทำอย่างไรไม่ทำให้เขาเสียหาย ขณะเดียวกันเรามีอาหารกิน
ถ้าเกิดเราไปเรียนรู้ถึงขั้นจุลินทรีย์ เราจะเข้าใจว่าวิธีการกินอาหารของต้นไม้มันอาศัยจุลินทรีย์ หลายชนิดมาก ถ้าเกิดมองลึกเข้าไปจริง ๆ มันคือการทำงานร่วมกันของหลาย ๆ สิ่ง แล้วความ diverse คือความหลากหลาย เราก็รู้สึกว่า โอเค This is a trick. เราจะทำอย่างไรที่จะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ด้วย เราก็มาเห็นว่าคนก็มีความหลากหลาย สังคมมีความหลากหลาย มนุษย์มีความหลากหลาย เราจะอยู่ร่วมกันได้แบบไหนบ้าง
โทนี่ : แน่นอน พอเราเชื่อว่าทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ เราจะเห็นประตูมี 2 ด้าน หน้าต่าง มี 2 ด้าน คนก็มี 2 ด้านเสมอ แน่นอนว่าเราคงไม่อยากไปสุงสิงกับคนที่ชอบเอาด้านไม่ดีออกมาบ่อย ๆ เราก็เอาตัวเองออกมาแค่นั้นเอง เราให้สิ่งที่ดีแล้ว เขาให้สิ่งที่ไม่ดีกลับมา เราก็พยายามหลีกเลี่ยงออกมา เอาตัวเองออกมา คือเราต้องไวต่อกัน แบบว่าสแกนสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้มากขึ้น
โทนี่ : ยาก ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเปิดเผยทุกด้านของตัวเองออกมาตลอดเวลา แต่เราไม่ได้โฟกัสเรื่องนั้น แต่โฟกัสที่ตัวเราต่างหากว่าเราเอาส่วนที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น หรือคนที่มาหาเรามากน้อยแค่ไหน แล้วเก็บโทษไว้แค่ไหน ถ้าเขาได้รับประโยชน์จากเรา เราก็ยินดีด้วย แต่ถ้าเขาได้โทษจากเรา เราก็ขอโทษด้วย เราพยายามให้ตัวเราเป็นประโยชน์ให้มากขึ้น แล้วเราเชื่อว่ามันจะดึงดูดคนที่คล้าย ๆ กันเข้าหากัน
โทนี่ : เอาตรง ๆ เราไม่มีเลย เรารู้สึกว่าตอนนี้ เราไม่อยากเล่าเรื่องเราให้ใครต้องมาเข้าใจ เราจะใช้ชีวิตของเราแบบนี้ ถ้าใครสนใจก็มาเดินข้าง ๆ กันก็ได้ แต่ว่าเราไม่พร้อมที่จะอธิบายตัวเอง เพราะไม่รู้ถูกหรือผิด เอาอย่างนี้ผมนึกออกแล้ว มันธรรมดาที่สุดอะ ธรรมด๊าธรรมดาที่สุด
เราอยู่กับความหวือหวามาเยอะมาก ความดรามามาเยอะมาก เรา enjoy กับมันมามากพอแล้ว ตอนนี้เราสามารถอยู่กับความธรรมดาได้มากขึ้น แต่ความธรรมดา คนอาจจะมองว่าอุ๊ย ดัดจริตจัง บ้านก็แบบโห ทำซะอะไรหวือหวาเลย ธรรมดาตรงไหน มันปัจเจกมาก ๆ เราก็คงธรรมดาขึ้นเรื่อย ๆ แหละ ตอนนี้มันธรรมดาของเลเวลเราประมาณนี้ มันก็ยังอาจจะหวือหวาอยู่ แต่เราก็เชื่อว่าเราใช้ชีวิตธรรมดาได้ง่ายขึ้น
โทนี่ : ปีนี้ เป้าหมาย เราอยากเรียนรู้เรื่องการทำดิน ทำระบบน้ำการก่อสร้าง สร้างบ้านด้วยไม้ ด้วยดิน เราอยากเรียนรู้เรื่องการทำอาหาร ภายในปีนี้เราก็อยากจะมีผลิตภัณฑ์ผลิตผล ที่มีทั้งโปรตีน โพรไบโอติกส์ มีไขมันดี ที่เราสามารถผลิตได้ในพื้นที่ของเราเอง โดยที่ใช้ตังค์ให้น้อยที่สุด
แล้วก็เราอาจจะ quit วงการบันเทิง เรารู้สึกว่า ถ้าเราแบ่งเวลาไปทำงานในวงการบันเทิงด้วยทำสิ่งนี้ด้วย มันไม่เสร็จสักอย่าง เหมือนที่ผ่านมาเราแบบอันนี้ก็ไม่เสร็จ อันนั้นก็ไม่ดี เราก็เลยอยากจะลองสักตั้งหนึ่งว่า ขอลองโฟกัสตรงนี้ก่อน แล้วเมื่อไหร่ที่เราเข้าใจอะไรบางอย่างมากขึ้น วันนั้นเราค่อยตัดสินใจอีกทีว่าเราจะทำอะไรต่อ
โทนี่ : เราขอบคุณวงการบันเทิงมาก ๆ สิ่งที่เราได้ คือเราเห็นว่าจิตใจมันมีอยู่จริง ถ้าเกิดเราไม่ได้เป็นนักแสดง เราคงไม่เคยเห็นมันชัดขนาดนี้ ทุกครั้งที่เราไปสวมบทบาทตัวละคร เราเข้าฉาก เราต้องรู้สึกเสียใจ ดีใจ มันคือเรื่องใจทั้งหมด พอเรื่องใจมันชัด มันเลยรู้ว่า เราจำเป็นต้องดูแลสิ่งนี้
เราแม่ง abuse มันมาเยอะมาก ใช้มันเปลืองมาก แล้วก็ปล่อยปละละเลยมาก เพราะเราเป็นมนุษย์ที่ยึดติดกับ object เรื่องที่จับต้องไม่ได้ เราไม่เคยให้ความสำคัญเลย เพราะฉะนั้นขอบคุณวงการบันเทิงมากที่เอาสิ่งนี้มาให้เราเห็นชัดอยู่ตลอดเวลา ทำให้เรารู้ว่าวันนี้เราจำเป็นที่จะต้องมองสิ่งนี้ตลอด แล้วก็ดูแลมัน
โทนี่ : สำคัญที่สุด สำหรับผมสำคัญอันดับ 1 เพราะมันเป็นตัวบ่งบอกว่าเราจะทำอะไร สำคัญถึงขั้นที่ว่าถ้าเราคิดร้ายมันส่งผลนะ เรายังไม่ทันได้พูดออกไป หรือแอ็กชันออกไป แต่แค่เราคิดไปในเชิง bitchy เราว่าสถานภาพใจมันอยู่ในแรงสั่นสะเทือนที่แย่แล้ว จนรู้สึกว่าถ้าเรามี aware สิ่งนี้ตลอด มันคงจะดี เราคิดว่าถ้ารู้เรื่องนี้เร็วกว่านี้ คงสนุกกว่านี้
โทนี่ : ก็เราจะมีแรง ตอนนี้พอเราอายุ 40 กว่า บางอย่างที่เราอยากจะขุด มันก็ไม่ได้ปรื๊ดปร๊าดเหมือนสมัยก่อน บางทีทุกวันนี้บางทีเราขุด อีกวันหนึ่งเราก็ปวดกล้ามเนื้อแล้ว บางทีก็ต้องจ้างคนเข้ามาทำให้ ถ้าเกิดเรารู้ตั้งแต่อายุน้อยกว่านี้ เราคงได้มีโอกาสทำทุกอย่างด้วยตัวเองจริง ๆ
โทนี่ : ชื่อเรื่องหมอตลอดกาล เป็น original story ที่ทางทีวีธันเดอร์ทำกับทาง ThaiPBS เกี่ยวข้องกับวงการแพทย์โดยตรง มันคือเรื่องของความเป็นหมอที่ทำให้เห็นว่า ถ้าเกิดคุณ Once a doctor, always a doctor ภาษาอังกฤษของชื่อเรื่องนี้มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ การที่เราได้ไปสัมผัสหมอหลาย ๆ คน คือเขาอยู่มาได้ถึงจนถึงขั้นเป็นอาจารย์ใหญ่ เป็นหมอจริงจัง เพราะว่าลึก ๆ เขามีจิตใจที่อยากจะรักษา
โทนี่ : ตลอดกาลเป็นศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอกที่มีความสามารถ คล้าย ๆ มือ 1 มือ 2 ในโรงพยาบาลเลย มีปมชีวิตทั้งเรื่องครอบครัวและเรื่องงาน เจอมรสุมชีวิตจนไม่อยากเป็นหมอ ตัดสินใจไปอยู่ต่างจังหวัด แล้วเขาไปเจอไดอารีของแม่ที่ทำให้เขามีเป้าหมายชีวิตใหม่ว่า อยากทำเช็กลิสต์ของแม่ที่ยังไม่ได้ทำก่อนตาย แล้วมันก็ไปเกี่ยวข้องกับการรักษาคน
โทนี่ : สำหรับหมอตลอดกาล สามารถดูย้อนหลังได้ทางเว็บ VIPA.me เป็นซีรีส์เกี่ยวกับทางการแพทย์ที่เข้มข้นมาก ๆ แล้วก็อยากให้ดูว่า ความสนุกอาจจะไม่ได้อยู่แค่เรื่องราวของทางการแพทย์ แต่เป็นเรื่องราว storyline ของการสืบสวนสอบสวน ฝากด้วยครับ ทุกคนเต็มที่มากกับเรื่องนี้
เรื่อง : ณัฐธนีย์ ลิ้มวัฒนาพันธ์
ภาพ : กัลยารัตน์ วิชาชัย