24 มิ.ย. 2567 | 16:30 น.
เพียงแค่เอื้อนเอ่ยออกมาว่า โอ้มาเถอะหนา กระไรแม่มา~ ผู้เขียนเชื่อว่าหลายคนคงพอคุ้นหูกับท่อนนี้ไม่มากก็น้อย กับบทเพลงอมตะที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคสมัย ก็ยังคงทำให้คนฟังลุกขึ้นมาขยับตามจังหวะเพลงได้อย่างพร้อมเพรียง ทั้งจังหวะจะโคน และน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์ หากไม่ได้ขุนพลเพลงจากแดนใต้อย่าง ‘เอกชัย ศรีวิชัย’ มาขับขาน คงเป็นการยากที่เพลงซึ่งมีเนื้อหาล่อแหลมเช่นนี้จะดังเป็นพลุแตก
ชายคนนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าการออกนอกกรอบ ปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัย ไม่ใช่เรื่องผิดแผก หากแต่เป็นสิ่งที่พึงกระทำ เขาพร้อมจะปรับทุกอย่างให้ทันโลกอยู่เสมอ ตั้งแต่การแหวกขนบมาร้องเพลง ‘หมากัด’ จนทำให้สังคมในห้วงเวลานั้นถึงกับแตกตื่น มาจนถึงการปรับชุดมโนราห์ เทริด ให้มีความทันสมัย นำเพชรมาประดับเล่นกับแสงสีบนเวทีให้มีความตระการตามากขึ้น
The People พูดคุยกับเอกชัย ถึงเส้นทางของชายผู้ไม่เคยลืมรากเหง้าแม้แต่วินาทีเดียว แม้กาลเวลาจะผันเปลี่ยนไปกี่ยุคสมัย เปลี่ยนหมวกที่สวมอยู่มากี่สิบใบ จากนักแสดงทางช่อง 7 มาจนถึงพิธีกรรายการเปิดจอ จ้อข่าว ชายคนนี้ก็ยังตอบอย่างภาคภูมิใจว่าเพราะรากที่เขายึดเอาไว้มาตลอดชีวิต ทำให้ชื่อของเอกชัยยังคงไม่จางหายไปจากสังคม
The People: ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เราก็ยังได้ยินชื่อของเอกชัย ศรีวิชัยอยู่เสมอ อยากจะทราบว่าพื้นเพในวัยเด็ก คุณเป็นอย่างไร
เอกชัย: คือจริง ๆ ถนนของนักร้องเพลงลูกทุ่งมันถูกกำหนดไว้ด้วยสถานภาพทางบ้านมาเกือบจะทุกคน นั่นคือความยากความลำบากของครอบครัวที่ต้องปากกัดตีนถีบต้องสู้ในทุก ๆ เรื่อง พี่เอกก็เป็นคนนั้นเช่นกัน เราก็ต้องสู้ในเรื่องของครอบครัวที่มันลำบาก ที่พ่อแม่ไม่มีทรัพย์สมบัติไว้ให้เรา แต่สิ่งที่พี่เดินมาตั้งแต่แรกเริ่มต้นเนี่ยไปตอนวัยเด็กเราไม่เดินสายการร้องเพลง แต่ว่าเป็นการซึมซับเอาวัฒนธรรมที่คุณพ่อซึ่งเป็นนายหนังตะลุงและเป็นเจ้าของคณะมโนราห์ ก็ซึมซับในเรื่องของวัฒนธรรมท้องถิ่นอยู่ก่อน ซึ่งในความตั้งใจของคุณพ่อในวัยเด็กไม่ได้อยากให้เราเป็นนักร้อง คืออยากให้พี่เป็นมโนราห์หรือเป็นหนังตะลุงตามที่คุณพ่อปรารถนา เพราะว่าในตอนเด็ก ๆ เนี่ยพี่จะเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เล่นกับคน ๆ อื่น
เพราะว่าเวลาช่วงที่พ่อเติมความเป็นองค์ความรู้ของวัฒนธรรม คือในตอนนั้นคือโกรธนะ โกรธพ่อ เพราะว่าเราไม่ได้เล่นน่ะ ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบเด็ก ๆ ทั่วไป วันหนึ่งพ่อก็หยิบกลอนหนังตะลุงมาว่าอันนี้เป็นกลอนนางเดินดงสมมติ เอาท่องให้จำ ร้องให้ได้ แล้วก็ท่องให้จำรีบเพื่อจะให้หมดภาระนี้ไปจะได้เล่น ปรากฏว่ามันไม่ใช่ไง พอมันจบตรงนี้แล้วมันเป็นกลอนฤาษีบ้ามาอีก อ้าว ได้กลอนฤาษีบ้าปั๊บ นึกว่ามันจะจบแค่นั้นไม่ มันเป็นกลอนยักษ์แต่งตัวมาอีกอะไรอย่างนี้ ซึ่งกลายเป็นว่ามันทำให้พี่เอกได้นำเอาสิ่งที่พ่อเขาเรียกว่ายัดเยียดในตอนนั้นน่ะกลับมาใช้ในยุคปัจจุบันว่าเราเป็นคนเข้าใจกลอน บริบทของทำนองหนังตะลุง มโนราห์ และกลอนต่าง ๆ ในภาคใต้ ใช้คำว่าทะลุปรุโปร่งกับมันในทุกบริบทของกลอนนั่นคือในวัยเด็ก
ซึ่งในตัวเองน่ะต้องใช้คำว่าลำบากลบ 50 เลยดีกว่า ไม่ได้เริ่มต้นที่เลข 1 เราไม่มีนาเป็นของตัวเอง ก็ต้องไปทำนาเยอะกว่าคนอื่น เราไม่มีสวนยางเองก็ต้องไปกรีดยางเยอะกว่าคนอื่น เพื่อกรีดแบ่งกันอะไรอย่างนี้ ทุกอย่างพี่ทำหน้าที่ของพี่แบบตั้งแต่เด็ก เราไม่รู้จักคำว่าวัยรุ่น เพราะเนื่องจากว่าคุณ- เนื่องจากคุณพ่อมามีคุณแม่เนี่ยตอนคุณพ่ออายุ 60 คุณแม่ 19 คือคุณพ่อมีครอบครัวมาก่อนหน้านี้แล้ว คือเป็นนายหนังตะลุงเป็นมโนราห์ก็ค่อนข้างจะมีเมียเยอะ แล้วก็มาเจอกับคุณแม่เนี่ย 19 แล้วตอนมีพี่เอกเนี่ยคุณพ่อ 60 กว่าแล้ว ก็เลยทำให้ตอนที่พอเราเริ่มโต เริ่มทำงานได้ คุณพ่อก็ทำงานไม่ไหว ก็เลยจะต้องเป็นหน้าที่ของลูกคนโต…ทำทุกอย่าง เกี่ยวข้าว เก็บข้าว กรีดยาง นวดข้าว สีข้าว ขุดดิน ขุดหิน ขุดนา ทำทุกอย่าง นั่นคือชีวิตในวัยเด็ก
แล้วก็เริ่มต้นตั้งแต่การสร้างคณะหนังตะลุงให้กับตัวเราเอง คุณพ่อมีความสุขมาก ไปเล่นหนังตะลุงในสมัยนั้นตอนอายุประมาณสัก 10 กว่าขวบเนี่ยค่าจ้าง 1,000 บาทแต่ค่าใช้จ่าย 1,500 พ่อมีความสุขมาก เพราะเราต้องไปเช่ากลอง เช่าเครื่องดนตรี เช่าตรงนู้น เช่าตรงนี้ แต่พ่อได้เดินยืดมากเลยมีความสุขลูกได้เป็นนายหนังตะลุงอะไรอย่างนี้ จนกระทั่งพลิกผันว่าตัวเองจะต้องเข้าในเมืองเพื่อจะ จุดหลักที่การเข้าเมืองของพี่ก็คือการเดินทางเพื่อมาหาตังค์ซื้อกลอง 1 ชุด กลองฝรั่งนะ กลองชุดเนี่ย ราคาในสมัยนั้น 6,000 บาท เพราะฉะนั้นมาในยุคหลังทำไมพี่ถึงชอบซื้อกลองแจกหนังตะลุง นี่แหละ พี่ต้องมาลงทุนเป็นภารโรงในโรงเรียนสุรนาถวิทยาคมเงินเดือน 6,600 บาท
ต้องทำงาน 1 ปี เพื่อที่จะตังค์ซื้อกลอง นั่นคือการออกจากบ้านครั้งแรกที่ออกจากบ้านเพื่อจะมาหาตังค์ไปซื้อกลอง แล้วมันก็ตุปัดตุเป๋เป็นกระทั่งไปเป็นนักร้องในคาเฟ่ในไนต์คลับ แล้วก็เรียนหนังสือควบคู่กันไป คือพี่ต้องโดนออกจากโรงเรียนตอน มศ.1 สมัยก่อนนี่เรียน มศ.1 มันจะมี ม.1 ปัจจุบันมี ม.1 ถึง ม.6 แต่สมัยพี่มี ป.1 ถึง ป.7 ซึ่งจริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลยนะ ไม่รู้จะเปลี่ยนทำไม พี่ก็เรียน ป.1 ถึง ป.7 แต่พอขึ้น มศ.1 สาเหตุที่ได้ออกจากโรงเรียน อ้อ ต้องบอกว่าสอบเข้าโรงเรียนรัฐบาลเนี่ยได้อันดับต้น ๆ ด้วยนะ แล้วตอน ป.4 เนี่ย ป.4 โรงเรียนประชาบาลจะต้องสอบเขาเรียกว่าสอบในตำบลน่ะ ต้องไปสอบที่เดียวกันโรงเรียนประชาบาล พี่ได้ที่ 1 ของตำบล ได้ที่ 1 ของอำเภอ และได้ที่ 1 ของจังหวัด
The People: จังหวัดนครศรีธรรมราช?
เอกชัย: ใช่ครับ ตอน ป.4
The People: มันมีความรู้สึกแว๊บนึงไหมที่น้อยใจ ทำไมเราต้องเกิดมา แล้วทำงานหนักขนาดนี้
เอกชัย: เคยมีถึงขนาดคิดฆ่าตัวตาย ตอนที่เข้ากรุงเทพฯ ครั้งแรกเลย ตอนนั้นก็มาเพื่อจะเรียนรามเข้ากรุงเทพฯ ปี 2525 นี่คือปีแรกที่เข้ากรุงเทพฯ แล้วก็เดินสมัครงานตั้งแต่สะพานผ่านฟ้ามาจนถึงสะพานปิ่นเกล้า คือสมัยก่อนเส้นนั้นเส้นถนนราชดำเนินมันมีแต่คาเฟ่ มันมีแต่ไนต์คลับ คาเฟ่ไม่ได้เหมือนคาเฟ่ปัจจุบันนะ เขาเรียก cafe coffee shop จะมีนักร้อง แต่นักร้องผู้ชายจะมีแค่ 2 แบบคือร้องลูกทุ่งแล้วร้องลูกกรุงมีแค่นี้ คือไทยสากล สมัครตั้งแต่สะพานผ่านฟ้าจนรองเท้ากัด รองเท้าใส่ไม่ได้ต้องถอด แล้วก็ถือโน้ตด้วยนี่เป็นที่มาที่ว่าทำไมพี่เอกเป็นคนที่ชอบให้โอกาสกับเด็ก ทำไมถึงเป็นคนปั้นเด็ก ทำไมถึงเป็นคนสร้างเด็ก
เพราะเราเดินมาทั้งหมด 20-30 คาเฟ่พี่ไม่เคยได้รับโอกาสจากใครหยิบยื่นให้พี่เลย พอเข้าไปถึงปุ๊บก็นักร้องเต็ม ๆ แล้วเดินข้ามสะพานปิ่นเกล้า ฝนมันตก ร้องไห้แบบอยากตายแล้ว ไม่อยากอยู่ คือแบบไม่รู้ว่าพ่อแม่จะหวังพึ่งอะไรจากเราได้ ในเมื่อเราเองก็ไม่หาไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ ก็เดินขึ้นมาร้องไห้จะกระโดดน้ำ แต่บังเอิญว่าวันนั้นน่ะมีการช่วยเหลือผู้- รถอุบัติเหตุเป็นรถ Mini ที่ตกลงไปแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วใช้รถเครนดึงรถขึ้นมา ซึ่งมีศพติดอยู่ในรถด้วย เปลี่ยนใจแล้ว กลัว คือได้สติ มันเหมือน จริง ๆ แล้วพี่มาคิดตอนนี้ว่า อ๋อ คนเวลาจะฆ่าตัวตายเนี่ยมันเป็น 1 วินาทีนะ ที่มันเป็นช่วงหนึ่งของจังหวะชีวิตที่แบบมันวิ้งขึ้นมา แล้วมันก็ทำเลย
ซึ่งตอนนั้นพี่ก็เป็นแบบนั้น แต่บังเอิญพอเดินมาแล้วมันมาเจอเหตุการณ์ที่เขาดึงศพขึ้นมา ไม่เอา แล้วเชื่อไหมว่าพอหลังจากผ่านตรงจุดนั้น เดินลงตรงสะพานปิ่นเกล้ามาชื่อปูเป้คาเฟ่ได้งานที่นั่น นั่นหมายความว่าคนเราวันนี้ถ้าเกิดคุณยังอดทนไม่ถึงที่สุด คุณยังไม่รู้เลยว่าความสำเร็จมันยืนอยู่ข้างหน้า ซึ่งในวันนั้นนักร้องผู้ชายเขาลาไปบวช แล้วเขาบอกว่าถ้าพี่จะมาเป็นนักร้องที่คาเฟ่ตรงนี้ พี่สามารถอยู่ได้สักอาทิตย์ แล้วก็หลังจากนั้นนักร้องกลับมาพี่ต้องออก ซึ่งพี่ว่าใน 1 อาทิตย์เนี่ยฉันจะต้องรู้จักกับแขกให้ได้เยอะที่สุด เพื่อจะพาฉันไปฝากตรงนู้นตรงนี้ตรงนั้นได้อะไรประมาณนี้ครั
พอครบ 1 อาทิตย์นักร้องก็มา แต่ตอนนั้นแขกติดพี่เยอะแล้ว เจ้าของร้านก็ไม่กล้าไล่พี่ออก แล้วท้ายที่สุดเจ้าของร้านนั้นน่ะพอเขาปิดกิจการเขาก็พาพี่มาฝากไว้ปาราจีโน่ปิ่นเกล้า ปาราจีโน่ตรงท่ารถปรับอากาศ เป็นสาเหตุทำให้ได้เจอกับนักข่าวท่านหนึ่งอยู่ดาราภาพยนตร์ เป็นเจ้าของคอลัมน์วัยฉกรรจ์ ซึ่งดังมากในตอนนั้นชื่อพี่ปุ๊ ภูเขาทอง ก็ท่านมานั่งอยู่ในคาเฟ่แหละชอบนั่งคาเฟ่แล้วก็มาเจอพี่เอก …บอกว่า เฮ้ย พี่เอกหน้าตาดี อยากพาไปหาอาหรั่ง คุณไพรัช สังวริบุตรว่าเขาอยากได้หน้าไทย ๆ แบบนี้ไปเล่นหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ ก็เลยตัดสินใจพาพี่ไป ตอนแรกก็ไปถ่ายแบบผมก่อนให้กับโรงเรียนเกศสยาม นั่นคือครั้งแรกมาจากพี่ปุ๊ ภูเขาทองเลยนะ นี่คือเริ่มตัวเองร้องเพลงอยู่ในคาเฟ่ปาราจีโน่
พอมาเจอนักข่าวบันเทิง ซึ่งคำว่าวัยฉกรรจ์เนี่ยไม่มีใครไม่รู้จักพี่ปุ๊เขาดังมาก ณ ตอนนั้น ก็พาไปถ่ายแบบให้กับกางเกงยีนส์ กาแฟ แล้วก็ถ่ายแบบผม พอถ่ายแบบผมปั๊บ เหมือนอาหรั่งเห็นว่า เฮ้ย ช่วยตามเด็กคนนี้หน่อย พี่อ้อยก็เลยพาพี่เอกไปที่บริษัทดาราวีดีโอที่ถนนประชาชื่น ซึ่งตอนนั้นพี่หลุยส์เรียนอยู่เมืองนอก มีแต่พี่ลอร์ดอยู่กับอาหรั่งก็จับพี่แต่งตัวเป็นเจ้าชาย ตัวดำเมี่ยม แล้วพูดก็ทองแดง แต่จุดเด่นมันอยู่ตรงที่คือพี่ตอนที่ฝึกเล่นหนังตะลุงตอนนู้นน่ะ เราเล่นหนังตะลุงเราพูดราชาศัพท์แม่น เพราะว่าราชาศัพท์คนพูดไม่แม่นเนี่ย คนเล่นลิเก คนเล่นหนังตะลุงจะพูดเก่งหมดราชาศัพท์ กราบถวายบังคมอาญาไม่พ้นเกล้าขอรับด้วยเกล้าอะไรอย่างนี้ต่าง ๆ นี้เราพูด แล้วก็ตอนที่เล่นหนังตะลุงมันมีภาพยนตร์ที่เข้าเทเลซีนจากทีวี
ขึ้นเป็นภาพยนตร์เรื่อง ชื่อเรื่องว่าโกมินทร์ ซึ่งตอนนั้นคุณลอร์ดท่านน่ะเล่นเป็นตัวโกมินทร์ แล้วมันจะมีพระเอก 3 คนทั้งหมดคือโกเมศ โกมล โกมินทร์ ก็เราเล่นหนังตะลุงอยู่ แล้วมันก็มีภาพยนตร์เรื่องนี้ฉายคู่กันน่ะทุกวัน 30 วัน ดูจนจำบทได้หมดเลยว่าตัวนี้โกเมศ ตัวนี้โกมล ตัวนี้โกมินทร์ เรื่องราวมันเป็นยังไงแบบไหนยังไง แล้วอีกวันที่เข้าไปหาอาหรั่งเนี่ย อาหรั่งกำลังคัดหาตัวโกเมศ แล้วก็ท่านก็ให้พี่พูดบท แล้วพี่ก็จำจากในหนังที่พี่ดูมาจากภาพยนตร์น่ะ พี่ก็พูดบทตามนั้นเลย แต่ทองแดงนะ อาหรั่งบอกว่าพี่ลอร์ดเอาคนนี้เลย หน้ามันคม หน้ามันไทย แต่พี่ลอร์ดบอกว่าเขาพูดทองแดงนะ อาหรั่งบอกแต่หนังเราพากย์ไม่เป็นไร แล้วเดี๋ยวเอาเขาฝึกใหม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นการเป็นดารา
ซึ่งการเป็นดาราภาพยนตร์ ดาราละครทีวีเนี่ยมาก่อนเพลงนะ เพราะตอนนั้นเพลงยังไม่ดัง ยังไม่ได้อัดเพลงเลยมาก่อน ก็เริ่มเล่นเป็นดาราของดาราวิดีโอในยุคนั้น ก็เล่นหนังไปหลายเรื่อง พอเล่นหนังไปปั๊บ ๆๆ ในช่วงจังหวะนั้นก็ยังร้องเพลงอยู่ในคาเฟ่ แต่ก็เป็นดาราของช่อง 7 เราแล้วนะครับ คุณพ่อชวนชัย ฉิมพะวงศ์ นี่คือคนจุดประกายทำให้ทุกวันนี้มีชีวิตแบบนี้ มีความเป็นเอกชัย ศรีวิชัยอย่างนี้ เอกชัย ศรีวิชัยเมล็ดบันเทิงเม็ดนี้คุณพ่อชวนชัยเป็นคนปลูก คุณพ่อชวนชัยเป็นคนที่แต่งเพลงจักรยานคนจน ไข้คอยหมอ ขาดคนหุงข้าว เพลงเยอะแยะเลยที่ดัง ๆ เขาเป็นคนปั้นยอดรักสลักใจ เหมือนท่านน่ะไปนั่งกินอาหารอะไรอย่างนี้ แล้วก็เห็นพี่เอกร้องเพลง ก็เรียกพี่ลงไปนั่งคุยด้วย บอกว่าอยากเป็นนักร้องอัดเสียงไหม
ซึ่งคำว่า ชวนชัย ฉิมพะวงศ์เนี่ย โอ้โห แบบอลังการมากสำหรับเรา แต่ท่านก็บอกว่าอยู่จังหวัดอะไร บอกอยู่นครศรีธรรมราช เฮ้ย ไม่ได้ว่ะเป็นคนใต้ คนใต้นักจัดรายการเขาไม่ค่อยสนับสนุน เพราะว่าหัวหมอ ปั้นไปแล้วมันจะดื้อ มันขี้ดื้อ มันหัวหมอ เอาอย่างนี้ไหมลูกฝึกพูดอีสาน ผมก็เลยตั้งใจฝึกภาษาอีสาน ก็เลยเป็นภาษาอีสานแต่บัดนั้น เว้าอีสานซู่มื้อ เพื่อสิให้พี่น้องฮู้ว่าผมเป็นคนใต้แต่ว่าผมไปโตอยู่อีสาน นักจัดรายการจะได้เอาเพลงผมมาเปิด เพราะว่าผมเป็นลูกคนอีสาน แต่ว่าผมเกิดอยู่ใต้ เนี่ยก็เลยทำให้ผมได้ฝึกภาษาอีสาน จนกระทั่งว่ามาอัดเพลง และอัดเพลงชุดแรกพ่อชวนชัยเขาบอกว่ามันเป็นเด็กใต้แต่มันโตอีสาน แม่นครับผมเป็นคน ผมโตอยู่อีสาน ผมบ่แม่นคนใต้เด้พี่น้อง คนใต้แต่ว่าชาติกำเนิดผมคนใต้ แต่ว่าผมอยู่อีสาน
ก็จนกระทั่งว่านักจัดรายการวิทยุทั้งหมดก็เปิดเพลงให้พี่หมด แล้วเพลงมันก็ดังเปรี้ยง รายการแรกที่มาก็คือที่ช่อง 7 ชื่อรายการชุมทางคนเด่น สมัยนั้นอาประจวบ จำปาทองเป็นคนจัดขึ้นมาร้องเพลง เพลงพี่มีแต่ให้ แต่ตอนนั้นชื่อเสียงทางด้านหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ มีแล้ว เพราะได้รับรางวัลเยอะมากที่สุดกับละครเรื่องเกราะเพชรเจ็ดสี ผมได้รับรางวัลแบบเยอะมาก คือทุกภาคส่วนของการมอบรางวัลให้ ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ทองคำ รางวัลเมขลา รางวัลสุพรรณหงส์ คือได้หมดทุกรางวัลเลยในประเทศ ก็ปรากฏว่าพอทำเพลงปั้ง เพลงมันดังเปรี้ยงเลย พอเพลงดังปั๊บ ของนักร้องสมัยก่อนคือเปิดวงดนตรี ก็คือการเปิดวงดนตรี การเปิดวงดนตรีก็ต้องรับงานออกเดินสายต่างจังหวัด ไม่เหมาะที่จะถ่ายละครแล้ว
ก็ไปลาอาหรั่ง ไปลาอาว่าขออนุญาตที่จะไม่ได้เล่นหนังแล้วนะอา เพลงมันดังแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่าตอนที่ไปเล่นหนัง ตอนที่ไปเล่นละครจักร ๆ วงศ์ ๆ เนี่ย พี่ด้วยความที่เป็นคนที่ไม่ชอบไปนั่งอยู่ห้องแต่งตัวของดารา คือจะอยู่แต่หน้าเซต อยู่แต่กับพวกกับผู้กำกับ อยู่แต่กับเด็กกล้อง อยู่แต่กับเด็กไฟ อยู่แต่มอนิเตอร์ เมื่อก่อนมันจะเป็นเทป ต้องเป็นคนกด กดเป็นเทป เป็นเขาเรียกอะไรเป็นม้วนเทปเข้าไปแล้วก็ถึงกดอัด เป็นเราต้องเป็นคนกดอัดเอง แล้วก็ดูเฟรมในมันจะมีมอนิเตอร์เล็ก ๆ แค่นั้น ก็ดูว่าเขาจัดไฟยังไง ถ้าเกิดไฟหน้า foreground แบบนี้ ต้องยิง 4k มาจากไหนถึงจะเห็นเม็ดฝน เข้าขวาออกซ้าย เข้าซ้ายออกขวา มองขวามองซ้าย คุยยังไงดูหมด พอดูจากตรงนั้นเพราะด้วยความสนิทกับพี่ลอร์ดก็ไปห้องตัดกับพี่ลอร์ด ไปอยู่ห้องตัดกับพี่ลอร์ด
เพราะว่าเราจะต้องไปถ่าย เขาเรียกถ่ายตอนเหาะตอนอะไรอย่างนี้ แล้วห้องอยู่ติดกับห้องตัดที่ดาราวีดีโอ ก็ไปอยู่กับพี่ลอร์ด ก็ไปนั่ง ก็นั่งรถไปคันเดียวกันอะไรกัน เล่นกันจนสนุก จนกลายเป็นก๊วนของทีมเบื้องหลัง ก็ไปอยู่กับพี่ลอร์ดก็ไปเห็นการตัดต่อ เนี่ยมันถึงเกิดความเป็นครูพักลักจำของการกำกับภาพยนตร์หรือกำกับละคร คือพี่เป็นคนที่ถ้าพี่จะรู้เรื่องไหนพี่ต้องรู้ให้ได้ พี่ต้องรู้ว่าอันนี้เขาใช้เลนส์อะไรอยู่ ตอนนี้ถ่ายระยะแค่ไหนพี่ถามเนี่ยใช้เลนส์อะไร พี่จะได้เล่นถูกว่าเลนส์นี้รับไว้แค่ไหน ถ้าเลนส์ขนาดนี้รับอะไรไว้ เราจะได้รู้ว่ามันถึงไหน ถึงเอว ถึงบ่าถึงไหล่ เราจะได้เซฟตัวเองในการเล่นได้ แล้วเวลาเราเดินเข้า blocking เราควรจะรู้ว่ามุมไหนของเราดีที่สุด เราโดนแสงไหม คนบังเราไหมอะไรอย่างนี้
มันถูกสอนมาตั้งแต่วันนั้นจากการครูพักลักจำ เพราะพี่ไม่เคยไปนั่ง นั่นคือเหตุการณ์ที่กลับมาจนถึงตัวเองเปิดวงดนตรี ในระหว่างที่เปิดวงดนตรีด้วยความที่มีเพลงน้อย เพลงดังน้อยก็ไปกระท่อนกระแท่น จนกระทั่งนายทุนการเปิดวงชื่ออาสรรเสริญ รุ่งเสรีชัย ก็ในระหว่างนั้นในระหว่างที่เปิดวงดนตรีกับคุณอาสรรเสริญเนี่ยก็ได้ทำวงคู่กับพี่ผึ้ง-พุ่มพวง ดวงจันทร์, อาภาพร นครสวรรค์, ยิ่งยง ยอดบัวงามอยู่ในวงหมด แต่อาภาพรเป็นหางเครื่อง เต้นหางเครื่องในวง ขายมาม่า ขายมาม่าหลังเวที เขาจะเรียกพี่เอกว่าหัวหน้าเพราะว่าจะเป็นนักเต้นแล้วก็เป็นคนจับเขาขึ้นร้องเพลงครั้งแรกนะอาภาพรเนี่ย เพราะว่าวันนั้นน่ะไปนอนวัดกันชื่อวัดกุฏิ แคสูง จังหวัดนครศรีธรรมราช
แล้วมันก็จะมีบ่อน้ำที่มีเขาหล่อปูนเอาไว้ แล้วก็อาภาพรไปนั่งซักผ้าที่นั่น แล้วพี่เอกก็นอนอยู่ที่กุฏิตรงนั้น คือวงดนตรีสมัยก่อนไม่ได้นอนโรงแรมต้องนอนตามวัด เพราะคนมันเยอะ ทีมงานมันเยอะ นอนโรงแรมไม่ไหวก็นอนวัด จนเหลือคณาเลยมาเสี่ยงดวง ใครร้องเพลงวะก็ลุกขึ้นไปดูเห็นเขานั่งซักผ้าอยู่ ไอ้หนูมานี่ซิร้องเพลงได้เหรอ หนูเป็นแชมป์ของแอ๊ด เทวดาที่ภาคเหนือ อ้าว แล้วทำไมมาเต้นหางเครื่อง หนูก็สมัครร้องเพลงนี่แหละค่ะ แต่คุณอาสรรเสริญบอกว่าหางเครื่องขาดให้ช่วยเต้นไปก่อน วันนั้นปกติรถบัสจะต้องออก 4 โมงเย็นเพื่อไปงาน พี่ก็บอกว่าวันนี้เปลี่ยนเอารถบัสออกบ่ายโมง เพื่อจะไปถึงเวทีแต่วัน แล้วก็สั่งนักดนตรีขึ้นซ้อมเพลง ซ้อมดนตรีให้อาภาพรร้องเพลง ตอนนั้นเขาชื่อไอ้ฮายให้ขึ้นซ้อมร้องเพลงแล้วก็ร้อง จนเหลือคณาเลยมาเสี่ยงดวง แล้วก็ รู้แล้วอย่าบอก รู้แล้วอย่าบอก
ชุดร้องเพลงก็ไม่มี ก็เอาชุดหางเครื่องใส่ แล้วมันไม่พอดีก็เอาหนังสติ๊กรัดข้างหลังไว้เพื่อให้มันตึง ใส่รองเท้าส้นสูง หมุนไม่ได้นะถ้าหมุนมันจะเห็นข้างหลัง เดินออกไปก็ต้องเดินถอยหลัง นั่นคือเวทีแรกของอาภาพร นครสวรรค์ ที่วัดวังไทร อำเภอกาญจนดิษฐ์ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นั่นคือการสร้าง แล้วหลังจากนั้นเพลงเลิกแล้วค่ะก็พี่เป็นคนเอามา พี่ทำให้เขาเป็นอาภาพร นครสวรรค์มาถึงปัจจุบัน ในระหว่างที่เดินสายวงดนตรีในนามเอกชัย ศรีวิชัยลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาก ก็เลยคิดใหม่กับอาสรรเสริญ อาสรรเสริญเป็นเจ้าของค่ายมวย อาเราใช้หางเครื่องสัก 100 คนเถอะ คิดมาคนแรกนะ แล้วทำมาก่อนที่วงหมอลำมีอยู่ปัจจุบันนี้ อาไปเอาหางเครื่อง 100 คนนะคุณอาภาพรรู้ดีเรื่องนี้ อาบอกโอเค แล้วเปลี่ยนจากวงเอกชัย ศรีวิชัยให้เป็นวงบ๊อกซิ่งโชว์ boxing คือนักมวย
เพราะว่าอะไร มันจะได้มียิ่งยง, เอกชัย, อาภาพร, พรศักดิ์ นักร้องทั้งหมดอยู่รวมกับพี่เอกหมดเลย แล้วพี่เป็นหัวหน้า หัวหน้าคือออกคนหลังเพื่อน ในระหว่างที่เดินทางไปเนี่ยก็มีเพลงยิ่งยงดังคือสมศรี 1992 นั่นคือเป็นจังหวะที่แบบ เฮ้ย ทำไมคนมันร้องเพลงยิ่งยงกันทั้งสนาม ร้องไปร้องมา ๆ ยิ่งยงออกหลังพี่แล้ว เพราะว่าถ้าพี่ ถ้ายิ่งยงร้องเสร็จก่อนบางทีคนหนีกลับแล้ว คนไม่รอเอกชัยแล้ว เพราะเขาดังกว่าแล้วตอนนั้น ดังแบบหูดับตับไหม้นะยิ่งยงเป็นคนที่ดังแบบ คืออยู่ด้วยกันตลอดเพราะว่าขับรถอยู่ด้วยกัน กินข้าวอยู่ด้วยกัน นอนอยู่ด้วยกัน คือผ่านวิบากกรรมกันมาเยอะมาก ๆ เคยมีอยู่วันหนึ่งนะไปเล่นที่ตราด เป็นภาพที่พี่จำได้ เล่นโรงหนัง โรงหนังเนี่ยมันจะมีไฟพันห้าส่องหน้าเรา แล้วมันจะมีผู้หญิงอยู่แถวนึงนั่งถือดอกไม้เต็มหมดเลย
ซึ่งแน่นอนถ้าดอกไม้ผู้หญิงมาต้องเป็นของพี่ เพราะพี่เป็นนักร้องหล่อ ถือว่าเป็นลูกทุ่งที่แบบโอเคสุดแหละตอนนั้น เพราะพี่เป็นคนที่แต่งตัวไม่เหมือนคนอื่น พี่จะไม่ใส่สูท พี่จะใส่แจ็กเก็ตยีนส์ พี่จะแต่งตัวที่มันเป็นแฟชั่น เพราะเราผ่านความเป็นดารามา ใส่รองเท้าผ้าใบใส่อะไรอย่างนี้แต่ง ออกไปร้องเพลงหน้าเวทีนั่งกันนิ่งเลย ไม่มีใครขยับ สวัสดีครับเดี๋ยวผมหมดรอบบ่ายแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงสุดท้ายแล้วนะครับ แล้วเดี๋ยวผมจะเข้าข้างในแล้วนะ บอกให้เขารู้ แล้วผมไม่ออกมาแล้วนะครับ ก็เฉยไม่มีอะไรเลย สวัสดีครับเนี่ยผมจะเข้าหลังเวทีแล้วนะครับ ก็ยังไม่ลุกขึ้นมาอีก ทั้งแถวเลยดอกไม้เต็ม ไม่ใช่แล้วล่ะ น่าจะเป็นของไอ้ยงแล้วล่ะ สวัสดีครับดนตรีขึ้น มาผมมาแล้วหนา พรึบลุกขึ้นกันมาเป็นแถวเลยแบบ ตั้งแถวกันมา แล้วเดินกันแบบตั้งแถวมา ดอกไม้ทั้งนั้นเลย
ทีนี้สมัยก่อนมันไม่ได้เป็นไฟแบบนี้หน้าเวที มันเป็นไฟลังข้าวหมู มันเป็นหลอดนีออน หลอดนีออนจริง ๆ นะไม่ใช่คีนูแบบปัจจุบันนะ หลอดนีออนเลยเป็นลัง ๆ ซึ่งมันจะเป็นลังข้าวหมูเป็นสามเหลี่ยม แสงมันไม่สามารถลอดออกไปข้างนอก แต่มันจะส่องมาที่เรา พี่ยืนอยู่ข้างม่านโกรธมาก โกรธคือแค้นใจ ไม่ใช่เรา ยิ่งยงเขาบอก มาผมมาแล้วหนา แล้วก็โผล่หน้าเลยลังข้าวไฟเหมือนผีเข้า คือหน้าเขียวปืด ยิ่งยง โอ๊ย หล่อมากเลยพี่ยง จูบ หอมกัน จูบยิ่งยงเหมือนจูบแง่งสับปะรด พูดได้ ๆๆ เพราะเราเป็นเพื่อนรักกันมาก เขาเป็นคนน่ารักมาก นั่นคือประสบการณ์ของวงดนตรีเอกชัยหรือบ๊อกซิ่งซาวด์ หลังจากคุณยิ่งยงดังเปรี้ยงอาสรรเสริญก็ยุบวงนี้ พอยุบวงนี้ปั๊บเขาก็เปิดเป็นวงยิ่งยง ยอดบัวงาม
แล้วอาภาพร นครสวรรค์เนี่ยจริง ๆ ตอนนั้นน่ะเขาชื่อน้องนิด ศิษย์บุญโทนร้องเพลงแปลง ๆ มิดเลย ๆ มิดเลยนะพี่ชาย เพลงแก้เสียงครวญจากสมศรีเนี่ย พี่เป็นคนเอาเพลงนี้ให้จันทรา ธีรวรรณ ซึ่งนักร้องอยู่ในวงพี่ ดาว-มยุรีอยู่ในวงพี่หมดนะ ให้จันทราไปต่อมา อาทิตย์นึงแล้วกลับมาถามว่าเพลงร้องได้ยัง หนูยังไม่มีเวลาเลยค่ะ ใครไปเรียกไอ้ฮายมาหน่อยดิ มันนั่งอยู่ตรงนี้ มันช่วยแพ็กเทปบริษัทอยู่ มาเลย ไอ้ฮายมึงเอาเพลงนี้ไปต่อไป เสียงครวญจากสมศรีแล้วรีบเอามาร้องให้ฟัง มันหายไปชั่วโมงเดียว กลับมา ข่าวคราว มันยืนร้องข้างโต๊ะเลย อาสรรเสริญสั่ง พี่สั่งให้อาสรรเสริญทำดนตรีเลย ก็เอาอาภาพรอัดเสียงเลย แล้วอาบอกจะตั้งชื่อมันว่าอะไรดีวะเอก นครสวรรค์ อาภาพร กรทิพย์เขาดังธิดาคุ้มเกล้า เขามาจากนครสวรรค์ ชื่ออาภาพร นครสวรรค์เลย
ซึ่งพี่ก็ โห ยาวมากอา ไม่เป็นไรเดี๋ยวดังมันติดหูเองแหละ ก็เนี่ยชื่ออาภาพร นครสวรรค์ ด้วยผลงานเพลงเสียงครวญจากสมศรี เปรี้ยงเลย เกิดเลย ดังเลยก็แยกไปตั้งวง เป็นวงยิ่งยงกับวงอาภาพรอยู่รวมกัน พี่ก็ถูกแยกตัวออกมาต่างหาก แล้วก็รอวันที่ น้อยใจไปหายิ่งยง โอ้โห ยงดังมาก เมื่อไหร่กูจะมีวันแบบนี้เหมือนมึงบ้างวะ คนล้นฟ้าล้นดินไปหมด ยิ่งยงเป็นเพื่อนที่พี่มีความรู้สึกว่าถ้าเขาโกนหัวแล้วเขาห่มจีวรเขาคือพระที่น่ากราบไหว้มากที่สุด เขาเป็นคนที่ไม่เคยอิจฉาเพื่อน ไม่เคยทำร้ายเพื่อน ไม่เคยพูดจาหาเพื่อนไม่ดี เขาเป็นคนที่แบบคือที่สุดของเพื่อนนะ ยิ่งยง ยอดบัวงาม วันหนึ่งเขามาจับคอแล้วก็จับแขนจับขา บอกเพื่อนกูเปิดโรงแรมไว้ให้มึงแล้วนะ มึงมาหากูวันนี้ มึงนอนโรงแรมนี่นะ นอนกับกูนะ อย่าไปไหนนะ
เมื่อไหร่กูจะมีวันนี้บ้างวะยงอะไรอย่างนี้ บอก เอ้ย เดี๋ยวก็มี มึงมีความสามารถเชื่อสิมันยังมาไม่ถึง แล้วถ้ามันไม่ถึง เออมี มึงเชื่อกู หลังจากนั้นก็จะพาพี่ไปทานข้าว คือจะดูแลพี่แบบดีมาก ๆ เลยในระหว่างที่เขาดังเปรี้ยงนะ อยู่มาวันหนึ่งพี่ หนีมันหนีความตกยากของตัวเองไปอยู่โคราช ไปบ้านของอาจารย์โต้ง คนด่านเกวียนคนที่ทำเพลงให้พี่ ก็คิดว่าตัวเองไม่มีบุญวาสนาแล้วล่ะชาตินี้ ตอนนั้นบ้านก็โดนยึดอะไรที่กรุงเทพฯ ก็เลยพาน้องกลับใต้กันหมดเลย พาน้องสาวกลับไปบ้านเดิมที่ท่าศาลา กลับไปอยู่ใต้กันหมด พอตอนกลับมาอยู่ใต้ก็นึกถึงคำของพ่อ พ่อพี่เป็นคนที่ให้รักหนังตะลุง ให้รักมโนราห์ตามที่ท่านสอนมา แล้วก่อนท่านจะเสียชีวิตท่านก็แช่งเอาไว้ว่าถ้าเมื่อไหร่ที่มึงลืมหนังตะลุงและลืมมโนราห์ มึงจะไม่มีวันไปถึงดวงดาวได้
พี่ก็นั่งนึก เอ๊ะ พ่อเราไปไม่ได้จริง ๆ ด้วย เราเป็นผลไม้แค่สุกเลื่อม ๆ เอง เราไม่สุกแบบเต็มต้นเลย เป็นเพราะคำสาปแช่งของพ่อหรือเปล่า บังเอิญตอนนั้นน่ะมันมีเพลงรักน้องพรของสดใส รุ่งโพธิ์ทองดังมาก พี่ก็เลยคิดว่าพี่จะทำยังไงพี่เป็นนายหนังตะลุงหนิ พี่เอาตัวหนูนุ้ยของหนังตะลุงมาเป็นนักร้องไหม ชื่อเพลง แต่งเพลงผัวน้องพรขึ้นมา ไปให้เขาแต่งเพลงมาให้ นุ้ยนี่แหละคือแฟนพร พร..พร ผมชื่อหนูนุ้ย คือต้องร้องพูดเสียงแบบนี้ หนูนุ้ยขอวอนน้องพรจะได้ไหม คนชื่อสดใสจะมาอาศัยมานอน อะไรอย่างนี้ คือมันเป็นเพลงที่ทำลายสถิติมากในภาคใต้ คือมันดังภายในชั่วข้ามคืน คือดังมาก ดังคือพี่ไม่มีตังค์เลยสักบาทหนึ่ง มันดังจนกระทั่งแบบ เฮ้ย ทำยังไงเทปก็ไม่มีขาย เราก็จะต้องไปจ้างบริษัทเทปเพื่อปั๊มลูกเทปขึ้นมา 10,000 บาท 130,000 เอาตังค์ที่ไหน ก็ต้องไปกู้ยืมตังค์มา
แต่เทปมันขายดีจากม้วนตอนนั้นม้วนละ 80 บาทขึ้นม้วนละ 180 บาท มันดังชนิดที่แบบดังระเบิดเลยในภาคใต้ ก็ไปยืมตังค์โน่นนี่มันเพื่อเทปขายไปทั้งหมด 800,000 ม้วนในยุคนั้น ก็ได้เอาเงินทุนตรงนั้นทั้งหมดมาสร้างวงดนตรี แล้วสร้างวงดนตรีตอนแรกน่ะ พี่ไม่ได้ทำเวที ซื้อแต่เครื่องเสียง ชุดหางเครื่อง อุปกรณ์ต่าง ๆ ของวงดนตรีทั้งหมด เพื่อเปิดวงเป็นของตัวเอง เล่นโรงภาพยนตร์ 2 รอบบ่ายค่ำ เพราะว่าเราไม่ต้องสร้างเวที ไม่ต้องซื้อไฟอะไรเยอะ ก็ปรากฏว่ามันวิกแตกทุกเวทีทุกโรงทุกรอบ เล่นตรงไหนบางทีกระจกด้านหน้าของโรงหนังพลาซ่าหาดใหญ่ พี่ยังจำได้เลยว่าคนมันดันจนกระจกแตกหมดเลย ประตูแตกหมดเลย มันเป็นคลื่นมหาชนที่แบบมันเยอะมาก เต็มแทบจะนั่งขี่คอกันน่ะ
ด้วยความที่เป็นหนูนุ้ยเนี่ยที่มันดัง ดังจากหนูนุ้ย พี่ก็เลยกลับมานั่งคิดว่า อ้อ แสดงว่าคนเราทำอะไรก็แล้วแต่ที่มันเข้าใจตัวเอง มันก็เลยทำให้เรารู้สึกว่าการเข้าใจตัวเองมันคือธรรมชาติที่สุด นี่มั้ง ถ้าในทางวิทยาศาสตร์ก็คือว่าเราเป็นนายหนังตะลุงไง แล้วเราเชิดหนังตะลุงเป็นไง เราร้องกลอนหนังตะลุงได้ เราพากย์เสียงตัวหนังตะลุงได้ทุกตัว วันนี้เราหยิบตัวนี้มาเป็นตัวพระเอก เราพากย์ตัวนี้แล้วมันอินเข้าไปในรูป มันใช่ แล้วถ้าในทางไสยศาสตร์ก็พ่อบอกแล้วไงว่ามึงอย่าทิ้งความเป็นหนังตะลุง อย่าทิ้งตัวตนของมึง เฮ้ย มันสำเร็จ ถ้าอย่างนั้นคิดใหม่ พอมันสำเร็จแบบนี้ ก็คิดใหม่ว่าแสดงว่าเราต้องอยู่กับพื้นบ้าน ทีนี้พื้นบ้านต่อมาที่เราจะนำเสนอเอาภาคกลางสิ มันจะได้ World Wide Web มันจะได้ไปเหนือไปอีสานไปโน่นได้ เพราะหนูนุ้ยมันก็อยู่แต่ใต้อย่างเดียวใช่ไหม
ก็มานั่งนึกจำลำตัดหวังเต๊ะได้ว่าร้องเพลงหมากัด แต่จำได้เป็นท่อน ๆ จำได้ไม่หมด ก็เลยเขียนขึ้นมาเอง โอ้มาเถิดหนากระไรแม่มา ตั้งวงกันไว้ตรงหน้า จะให้เอกชัยลาไปหรืออย่างไร ผมมาหลายคนกับนักดนตรีเพื่อนบ้าน เขียนเอาใหม่ แล้วบอก โอ่ น้องสาวจ๋าดูหมาให้พี่ด้วย จำจากที่เขามาเอามาผสมผสานกัน แต่ลืมนึกไปว่า โอ้มาเถิดหนากระไรแม่มา มันคือเพลงอีแซว แต่ไอ้ โอ่ น้องสาวจ๋าดูหมาให้พี่ด้วย มันคือลำตัดเอามาผสมกันได้ยังไงไม่รู้ อ้าว ตอนนั้นบริษัทมีเดีย ออฟ มีเดียส์โดยคุณยุวดี (ยุวดี บุญครอง) เป็นผู้บริหาร ก็ทำมาสเตอร์นี้เสร็จมานำเสนอ พี่ยุก็รับไว้ แล้วก็เอาไปออกที่ช่อง 9 ตอนนั้นชื่อคอนเสิร์ตอะไรไทยสักอย่าง จำชื่อคอนเสิร์ตไม่ได้ อยู่ที่ตลาดไทยเป็นของช่อง 9 ก็พี่ยุบอกร้องเพลงนี้เลยไหม บอกร้องเลย
ก็ขึ้นไปร้องเพลงนี้เลยที่ช่อง 9 ผลปรากฏว่าที่ช่อง 9 สายไหม้โดนด่าว่าเอาเพลงลามกจกเปรต คือคนในยุคนั้นกับคนยุคนี้ไม่เหมือนกัน คนในยุคนั้นเนี่ยคือถ้าอย่างนี้คือถือว่าเป็นเพลงลามกมาก ๆ ช่อง 9 ก็โทรฯ มาด่าลงมาถึงข้างล่างพี่ยุร้องไห้อยู่ พี่ไม่เอาแล้วเอก พี่ทิ้งเลย พี่ไม่เอาเด็ดขาดแล้วแบบนี้ แต่พี่คิดอีกแบบหนึ่ง ในเมื่อน้ำมันท่วม เราก็ขี่เรือสิ ทำไมเราต้องขี่มอเตอร์ไซค์ใช่ไหม ก็หาเรือมาขี่ทำให้ได้ พี่ยุครับพี่ยุทำรายการวิทยุรายการทีวีอยู่เยอะ ผมขอกล้อง 1 ตัวแล้วขอคนถ่าย แล้วขอคนทำสกู๊ป ผมทำเอง แล้วเดี๋ยวพี่มาตัดต่อให้ผม เธอจะไปไหน จะไปบ้านหวังเต๊ะ แล้วก็จะไปบ้านแม่ขวัญจิต ก็ไปบ้านขวัญจิต แม่ขวัญจิต ซึ่งแม่ขวัญจิตก็สนิทอยู่แล้วก่อน มาก่อนในระดับหนึ่ง ไปหาคุณแม่ไปถึงคุณแม่งอน
คุณแม่ไม่คุยกับพี่ เพราะว่าพี่เอาเพลงลำตัดกับอีแซวไปปนกัน รู้มาก เก่งหนิ เก่งเกินไม่ปรึกษาอะไรนะพ่อเอก ทำไปได้ยังไงเอาลำตัดกับเพลงอีแซวไปใส่ปนกันซะ งอน ไม่คุยด้วย พี่ก็กลับกรุงเทพฯ มือเปล่า วันรุ่งขึ้นไปอีก แม่ยังไม่ตื่น ไปล้างถ้วย ล้างถ้วยล้างจานในครัวกวาดนู้นกวาดนี่ อ้าว มาทำไม ก็อยากมาหุงข้าวให้แม่กิน ไป ๆ เลยไม่ต้องมายุ่งกับฉันเลย ไอ้พ่อรู้มากเขาว่าอย่างนี้ แต่คำว่าไม่ต้องมายุ่งกับฉันเนี่ยรู้ว่าคืออะไร อย่างนี้ได้การนั่งเมื่อไหร่ก็นวด ๆๆ พอนวดไปสักพัก เอากลอนบทนั้นมาให้เขาซิ ให้มาท่องซิ เนี่ยลำตัดมันต้องเป็นตับอย่างนี้ ๆๆ อีแซวมันต้องอย่างนี้ ๆๆ นี่มันต้องเว้นวรรค 2 คำหยุด 2 คำอย่างนี้ ๆ เอากลอนนี้ไปท่องสิลูก เอากล้องมา ปึ้ง แม่เพลง โอ้ น้องสาวจ๋าดูหมาให้พี่ด้วย เนี่ยอันนี้มันทะลึ่งไหม โอ๊ย ทะลึ่งที่ไหนล่ะ เขาร้องมาตั้งนานแล้ว อันนี้เขาเรียกว่าหักคอรอจังหวะทำนองแบบนี้ตัดปึ้ง
ไปบ้านหวังเต๊ะ พ่อครับอันนี้ที่เราร้องออก โอ้มาเถิดหนากระไรแม่มา น้องสาวจ๋าดูหมาให้พี่ด้วย เนี่ย โอ้มันไม่ทะลึ่งหรอกอันนี้มันเป็นเรื่องปกติ ลำตัดก็เวลาร้องกันไปเขาก็จะทำอย่างนี้ ปึ้งตัด มาตัดเปิด โอ้มาเถิดหนากระไรแม่มา ตัดเป็นสกู๊ปพ่อหวังเต๊ะพูด แม่ขวัญจิตพูด นี่คือศิลปินแห่งชาติพูด คนอื่นไม่ต้องเสือก มีนักวิชาการเยอะแยะมากมายออกมาด่าพี่ พี่ก็ถามกลับไปเป็นโต๊ะกลมนะรายการ มันลามก พี่บอกว่าเรื่องราวของทางเพศมันสื่อได้ 2 แบบ ภาพโป๊เปลือยและอนาจารอันนั้นลามกอย่างเดียว แล้วผ่านตัวอักษรที่มันแสดงถึงความขบขัน มันมีอารมณ์ขัน เพราะเรื่องราวทางเพศเนี่ยถ้าผู้ชายเขาพูด เขาพูดเพื่อให้หัวเราะกัน ไม่มีใครพูดเพื่อให้มีอารมณ์ ก็เลยถามนักวิจารณ์กลับว่าคุณฟังเพลงหมากัดแล้วคุณมีอารมณ์ทางเพศหรือคุณหัวเราะ ทุกคนก็ไม่มีใครตอบพี่ ถ้าคุณมีอารมณ์ทางเพศ พี่ก็กราบเขาที่โต๊ะเลย
โอ้มาเถิดหนากระไรแม่มา แล้วมีอารมณ์ทางเพศมากกราบขอประทานจริง ๆ แต่ถ้าคุณฟังแล้วคุณหัวเราะ ทำไมคุณไม่ปรบมือให้คนอย่างผมที่ผมอุตส่าห์ไปเอาทองคำที่มันแตกกระจายอยู่ตามพื้นดินมาหล่อหลอมขึ้นเป็นสร้อยเส้นใหม่ได้ แล้วสืบอายุของเด็กที่จะรักษาวัฒนธรรมในแขนงนี้ได้ ทำไมคุณไม่คิดมุมนี้จบ หมากัดเป็นอันจบ ก็ทุกอย่างก็ดังระเบิดเถิดเทิง จนกลายมาเป็นวงดนตรีเปิดวงดนตรีใหญ่ทำไมถึงกลายเป็นศรีวิชัยโชว์ในภาคใต้ พี่เองเคยเห็นมามากว่าวงดนตรีสายัณห์ สัญญา วงดนตรียอดรัก สลักใจ วงดนตรีพุ่มพวง ดวงจันทร์ แต่เมื่อไหร่ที่เพลงของคน ๆ นั้นเงียบ คนดูก็เงียบไปด้วย สมัยตอนที่พี่อยู่กรุงเทพฯ พี่ชอบไปดูวงเพชรพิณทอง คือจะไม่มีชื่อของนพดล ดวงพร ไม่มีชื่อของใคร
แต่วงเพชรพิณทองโดยนพดล ดวงพร นิ้งหน่อง ลุงแนบอะไรต่าง ๆ ก็ไปดู ฉันจะต้องกลับบ้านไปเปิดวงดนตรีศรีวิชัยโชว์โดยเอกชัย ศรีวิชัย ฉันจะขายองค์กร ฉันจะไม่ขายตัวฉัน การขายองค์กรคือขายหางเครื่อง ขายตลก ขายภาพรวมทั้งหมดของศรีวิชัยโชว์ที่มันถูกรวมไว้ด้วยอัตลักษณ์ของความเป็นภาคใต้และวัฒนธรรมไทยทั้งหมด ใครได้ดูศรีวิชัยโชว์เท่ากับคุณกำลังนั่งเปิดตำราของศิลปะทั้งหมดของทุกภาคโดยที่คุณไม่ต้องอ่าน หัวเราะ เพลงเพราะ โชว์สวย เป็นคอนเซปต์ของศรีวิชัยโชว์ เลยทำให้ศรีวิชัยโชว์มันติดแล้วก็ดังระเบิดมาตั้งแต่วันนั้น จนกระทั่ง 25 ปีผ่านไปก็ถึงจะปิดวงดนตรี มันมีชื่อตอนนะ ทุกครั้งที่ทำศรีวิชัยโชว์ไปตอนนี้ตอนรักเธอเท่าฟ้า รักเธอเท่าฟ้ามีอะไรบ้างคอนเซปต์ แม่ พ่อ เพื่อน คนเรารัก คนเราสนิท
ตอนนี้ชื่อตอนลังกาสุกะ ก็ไปรื้อเอาความเป็นอาณาจักรของลังกาสุกะของจังหวัดปัตตานีมารื้อฟื้นว่าลังกาสุกะเกิดขึ้นในยุคหลังจากที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานคือ พ.ศ. ที่ 700 ก่อนอาณาจักรศรีวิชัยมาเล่า เราทำมาค้าขายกันยังไงอะไรยังไงมาเล่า ตอนแผ่นดินพ่อ ตอนแผ่นดินแม่ ตอนวัฒนธรรมไทย 4 ภาคมีเป็นตอน ๆๆ แล้วเปลี่ยนเวทีทุกปี กลายเป็นวงดนตรีประจำภาคของภาคใต้ ก็มีคนบอกว่าทำไมเอกชัยไม่นำวงดนตรีศรีวิชัยโชว์ขึ้นมาเล่นในภาคกลาง พี่ก็บอกเงินที่ใต้ 10 ล้านกับเงินที่กรุงเทพฯ 10 ล้าน เงินเท่ากัน ใช้ได้เหมือนกัน จำเป็นอะไรที่เราต้องอยู่ผิดหูผิดฝาแล้วก็ผิดตัว อ้าว มึงก็เป็นแค่นักร้องใต้เหรอ ไม่เป็นไร ก็ผมเกิดที่ใต้ ก็ผมเป็นคนใต้ ผมลาออกจากความเป็นใต้ไม่ได้ แล้วผมก็ยิ่งยึดมั่นถือมั่นกับความเป็นใต้ของผม แม้กระทั่งภาพยนตร์ที่จะไปทำไปเล่น ถ้าไม่มีภาษาใต้พี่ไม่เล่น
พี่อยู่ในรายการไหนก็แล้วแต่มาจนถึงปัจจุบันนี้พี่เชื่อว่าไม่มีใครคิดว่าพี่เป็นคนเชียงราย ทุกคนคิดว่าพี่เป็นคนใต้ แม้กระทั่งการแจกทุนให้เด็กนักศึกษาในภาคใต้ปีนึง 70 กว่าทุนในตอนนั้นที่แจก เด็กทุกคนที่เรียนจะต้องร้องกลอนหนังตะลุงเป็น เด็กทุกคนที่เรียนจะต้องรำมโนราห์เป็น เด็กทุกคนที่เรียนต้องเป่าปี่ได้ หรือเล่นโหม่ง ฉาบ กลอง ฉิ่ง และที่ภูมิใจที่สุดคือพี่ทำโดยพี่ไม่พึ่งรัฐบาลแม้แต่บาทและสลึงเดียว พี่ทำด้วยตัวของพี่เองมาตลอด ถามว่าทำไมเอกชัยมันถึงยืนยงอยู่ได้ในภาคใต้ มันไม่ได้สร้างแค่วันเดียวนะ แล้วสิ่งที่พี่เอกทำมา วันหนึ่งพี่มาเล่นดนตรีที่อําเภอควนขนุน กลางวันพี่ก็ไปเยี่ยมเด็กที่ตึกอุบัติเหตุของโรงพยาบาล พี่ก็ไปสอนเขา ไปให้โอวาทเขา ไปเป็นญาติกับทุก ๆ คน พี่เชื่อว่าคนในภาคใต้ไปดูคอนเสิร์ตพี่แล้วเจอเอกชัย ศรีวิชัย ไม่เคยมีใครคิดว่าพี่เป็นศิลปิน
แต่ทุกคนคิดว่าพี่คือญาติในบ้าน สามารถบอกได้ทุกเรื่อง สามารถคุยได้ทุกอย่าง แล้วพี่ก็อยู่กับชาวบ้านไม่ใช่เป็นเทวดา พี่อยู่กับชาวบ้านแบบเป็นคนปกติที่สามารถจับต้องได้ในตลอดทุกเวลา แล้วพี่ก็ไม่รอที่จะสร้างสาธารณะประโยชน์ ยุคที่พี่เป็นนักร้องดัง มันไม่มีโซเชียล แต่เมื่อไหร่ที่คุณเซิร์ชคำว่าสะพานเอกชัยคุณก็จะเห็นว่า สะพานแท่นนี้เขาเรียกสะพานเอกชัยเหรอ มีสะพานมีชื่อ แต่จุดเริ่มต้นสารตั้งต้นมันเริ่มต้นมาจากอะไร ทำแบบไหนยังไง เรื่องราวต่าง ๆ เนี่ยถ้าเราเป็นคนรับอย่างเดียวในภาคใต้ เราจะไม่มีวันยืนอยู่อย่างนี้ได้เลย เพราะมือคนรับจะต่ำฝ่ามือคนให้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พี่พูดได้ว่าในโรงเรียน ในศาลากลาง ในโรงพัก ในอำเภอ ปั๊มน้ำของมหาวิทยาลัย ปั๊มน้ำของ พี่เป็นคนสร้างมาหมดทุก ๆ อย่างแล้ว นี่คือความเป็นเอกชัย ศรีวิชัยในแผ่นดินศรีวิชัยในภาคใต้ ข้อมูลแน่นนะ
The People: มุมมองของพี่เอกมองถึงความรัก คือเท่าที่ฟังมาพี่เอกรักในวัฒนธรรม รักในความเป็นใต้มากเลย พี่เอกว่าสิ่งเหล่านี้มันส่งเสริมชีวิตเอกยังไงบ้าง
เอกชัย: วันหนึ่งตอนที่ก่อนหน้านั้นตรงนั้นก็คือตัวเองเป็นคน เรามาจากมโนราห์มาจากหนังตะลุง แต่พอเราต่อสู้มาได้สักระยะหนึ่ง เคยได้ยินพระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านรับสั่งว่าวัฒนธรรมไทยสร้างชาติได้เช่นกัน นี่คือสิ่งที่เราถนัด เราไม่ควรปล่อยสิ่งนี้ อีกอย่างหนึ่งเห็นพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ท่านทรงงาน 4,000-5,000 กว่าโครงการ แล้วท่านทรงงานทุกวัน แล้วเรามีแค่อย่างเดียวที่เราต้องทำคือการรักษาวัฒนธรรมเอาไว้ให้ลูกให้หลาน ทำไมเราจะทำไม่ได้ เราต้องทำให้ได้ รักแล้วต้องเทิดทูน แต่ก็ในขณะเดียวกันเราจะปกป้องแบบไม่ต่อยอดก็ไม่ได้ ต้องรับมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 แล้วฟังจากในหลวงรัชกาลที่ 10 เพื่อที่จะสืบสานแล้วต่อยอด
รักแล้วเอามาเก็บไว้ในห่อผ้าวางไว้บนหิ้งที่บ้านไม่มีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย ทุกอย่างมันถูกเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ยุคหนึ่งที่เปรียบเทียบให้ฟังง่าย ๆ เลยว่ามโนราห์ก่อนก็ออกมารำในยุคแรก ๆ ร้องหลังฉาก ซึ่งข้างหน้าเวทีมันเป็นจอขาวเป็น dead air มันมีแต่จอผ้าม่านไม่มีอะไรดู ร้องอยู่หลังฉาก แต่คนที่มา เขาเดินทางมาไกลเขาปูสาดปูเสื่อนั่ง ร้องหลังฉากแล้วกว่าจะออกมารำ กว่าจะออกมาได้ นาน อันนั้นใช้ได้กับในยุคนั้น แต่พอมายุคพี่เนี่ยเด็กมันคร่อมมอเตอร์ไซค์อยู่เครื่องมันก็ยังไม่ดับ ลองไปอยู่ข้างหลัง บรื้น ไปหมดแล้ว ไม่ดูแล้ว ต้องหาวิธีการและจัดการกับมัน ย่นระยะทางตรงนี้ให้เขา ของพี่ไม่ต้อง หลังเวทีไม่ต้องร้องแล้วไม่ต้อง เก็บเท้าออกมาจากโรงเลยน่าดูกว่า
เนี่ยในบางอย่างที่เราจะต้องตัดออก เพิ่มเติม เนี่ยสืบสานต่อยอดแล้ว ชุดมโนราห์เมื่อก่อนมีแต่เป็นชุดลูกปัดเก่า ๆ เทริดต่าง ๆ ไม่สะท้อนแสง อันนั้นเรารำกับแสงใต้แสงเทียน แต่ในปัจจุบันเป็นไฟ LED มันเป็นไฟแบบ LED ที่แบบมันสะท้อนเอาเพชรไปใส่ได้ไหมในนี้ พี่ก็ทำเพชรมาใส่ที่เทริดก็ใส่เพชรก็โดนโนราห์ผู้หลักผู้ใหญ่เขาว่าเหมือนกัน โอ้ย เอกชัยหัวล้านนอกครูภาษาใต้เขาเรียกคือเก่งกว่าครู บอกหยุด สังคมวัฒนธรรมต้องเปลี่ยนตามยุค เราไม่ได้เปลี่ยนราก แต่เราเปลี่ยนรูปทรง รากไม่เปลี่ยนทุกอย่างยังออกดอกออกผลยังเป็นเงาะไม่ได้เป็นทุเรียน แต่กระถางมันสวยขึ้น ก็ไปตามยุคมัน ออกเห็นชุดแล้วแพรวพราวสวย เนี่ยถึง ณ ปัจจุบันความฝันของเด็กมโนราห์ที่ใต้คืออะไรรู้ป่ะ อยากมีชุดเพชร
พี่เป็นคนที่เปลี่ยนเรื่องแต่มันต้องต่อสู้กับสิ่งที่มันเป็นความเป็นเดิม ๆ ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณคิดเรื่องแบบนี้แล้วว่าอะไรที่เดิมแล้วเปลี่ยนไม่ได้ บอกได้เลยนะเก็บไว้ดูในหลุมฝังศพเถอะ ไม่มีใครกล้ากับคุณ แต่ถ้าเราอยากจะเชื่อมไปหาเด็กให้ได้ เราไปฟังของเขามาครึ่งนึงสิ เขาต้องการอะไร เราพา…เขาไปได้ แล้วถ้าเกิดเด็กพวกนี้ไม่พาต่อ เราไม่ตายเหรอไม่กี่วันแล้ว …เด็กไม่เอาไปต่อ มันก็กองอยู่ที่บ้านเราไม่ใช่เหรอ นี่คือสิ่งที่พี่คิด พี่ปรับเปลี่ยน แต่เวลารัก รักด้วยหัวใจ รักจริง ๆ ทำมันทุกอย่างอย่างสุดฝีมือ นี่พี่ยังคิดเลยว่าเวลาพี่ไปดูโขนพระราชทาน หนูรู้ไหมว่าโขนพระราชทานเนี่ย เด็กพวกเหล่านั้นถูกคัดตัวมา คือคัดแล้วคัดอีก ๆ จนได้แบบเม็ดดีจริง ๆ มาเป็นตัวเบญกาย มาตัวอินทรชิตแปลง มาเป็นมังกรกัณฐ์ เขาคัดมาแล้ว
พวกนี้ถึงแบบสุดยอดของ Anatomy เขา มือไม้ต่าง ๆ ต้องขอบคุณพ่อแม่ที่เขาเกิดเด็กพวกนี้มา เขาเกิดมาเพื่อการนี้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดเล่นโขนเสร็จพอเด็กจบไปทำงานร้านสะดวกซื้อ เพราะเขาสอบเข้ากรมศิลป์ไม่ได้ เขาสอบเข้าโน่นเข้านี่ไม่ได้ นี่ต่างหากที่พี่ความอยากจะฝากถึงผู้ใหญ่ว่าคุณบอกว่าเด็กไทยไปไหนไม่ถึงเพราะเรียนรำ มีกระทรวง ๆ หนึ่งเคยพูดอย่างนี้ พี่ก็อยากถามกลับว่า DNA คุณ ปู่ย่าตายายคุณลูกครึ่งเหรอ ถึงนี่คือรากของวัฒนธรรม ถามคำหนึ่งว่าวันที่เราส่งในหลวงรัชกาลที่ 9 กลับสวรรค์ เราใช้มหรสพแขนงไหนส่ง โขนไม่ใช่เหรอครับ แล้วเนี่ยมันไม่ยิ่งใหญ่หรอ อันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่มันเป็นรากเหง้าของวัฒนธรรมเหรอ แล้วทำไมคนที่เรียนพวกนี้คือคนโง่เหรอ
ประเทศถ้ามันไม่มีรากของวัฒนธรรมมันจะเดินได้ยังไง มันจะอยู่ได้ยังไง อันนี้ต่างหากล่ะเป็นสิ่งที่ควรจะคิด เด็กกลุ่มพวกนั้นน่ะถ้าเป็นพี่นะ ๆ พี่มีช่องบรรจุให้เขาเลย อย่างน้อยที่สุดไอ้มังกรกัณฐ์วันนี้มันทำหน้าไปทำหัวเศียรอยู่แถวบางใหญ่ พี่ไปเจอเด็กพี่ร้องไห้ไปทำเศียรอะไรอย่างนี้พวกเศียรของโขนน่ะทำขาย ทั้ง ๆ ที่มันเป็นมังกรกัณฐ์ที่ดีที่สุดในประเทศนี้ คนพวกนี้นะ คนที่รับวัฒนธรรมนะ พี่บอกได้เลยว่าไม่มีใครที่อยากจะตายไปจากโลกนี้โดยที่เอาทรัพย์สมบัติพวกนี้ฝังไปกับร่าง เราอยากจะทำเพราะฉะนั้นกระทรวงวัฒฯ เป็นกระทรวงเดียวนะ อันนี้พี่พูดส่วนตัวของพี่นะกระทรวงวัฒนธรรมเป็นกระทรวงเดียวที่ไม่จำเป็นที่จะได้รัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้ง พูดได้เลย
เพราะว่ากระทรวงวัฒฯ เป็นกระทรวงหนึ่งที่นักการเมืองไม่ชอบเลือก แล้วก็จะเป็นโควต้าของใครก็ได้ที่ ส.ส. เกิน 10 คนมา ก็มอบกระทรวงนี้ให้ไปก็ถือเป็นรัฐมนตรี 1 กระทรวง คือเข้ามานั่งแล้วโง่กว่าปลัดกระทรวงอีก พี่ถามว่าทำอะไรได้รัฐมนตรี เมื่อมานั่งตรงนั้นคุณยังสู้ปลัดกระทรวงยังไม่ได้เลย คนที่เป็นลูกหม้อของวัฒนธรรมต่างหากที่ควรจะขึ้นมาเป็นรัฐมนตรี เพราะนโยบายเราก็ฟังมาจากรัฐบาลได้หนิ 1-2-3-4 จะทำอะไร แต่คุณควรจะมาบริหารการจัดการตรงนี้ ปัจจุบันนี้กระทรวงวัฒนธรรมเป็นกระทรวงเดียวที่เป็นกระทรวงจับผิด อันนั้นไม่ถูก อันนี้ไม่ถูก อันนี้ไม่ถูก อันนั้นไม่ถูก อันไหนถูกทำไมไม่บอกก่อน อันนั้นไม่ถูก อันนี้ไม่ถูก ๆ แต่ในขณะเดียวกันเราย้อนกลับไปที่ประเทศเกาหลีไหม ทำไมเขาใช้วัฒนธรรมของเขานำแผ่นดินของเขาได้
จริง ๆ พี่เอกว่าเวลารัฐมนตรีเขาไปทำงานต่างประเทศแต่ละคนน่ะ ไปดูที่ไหนเหรอทำไมถึงไม่ได้อะไรมากลับมาเลยแต่ละคน ฝากให้คิด คือถ้าพี่พูดจริง ๆ พี่พูดหนักกว่านี้เยอะมากเลย พี่ไม่ใช่คนเก่งนะ แต่พี่รู้ว่าอะไรมันควรจะไม่ควร รัฐมนตรีคมนาคมเดินทางไปเยอรมันน่ะ ทำไมคุณไม่ไปดู Autobahn ที่มันเป็นจุดตัดรถ เขาไม่มีไฟแดงนะ แต่ก็มีจุดตัดรถที่มันม้วน ชุดยูเทิร์นเขาก็ทำยังไง ยกตัวอย่างให้ดูง่าย ๆ นะกระทรวงคมนาคมไปดูหน่อยสิ ถนนบ้านเราขับเร็วที่สุดเลนไหน เลนขวา แล้วกลับรถเลนไหน แล้วเข้าเลนไหน เข้าขวาอีกเนี่ยง่าย ๆ เห็นไหมลูก ถ้าพี่เอกไม่พูดเรื่องนี้ทุกคนก็ไม่คิด ทุกวันนี้ประเทศไทยยังกลับรถเลนขวาครับ ยูเทิร์นรถน่ะ
เลนเร็วที่สุดเอามากลับรถ ทำไมไม่ออกซ้ายแล้วขึ้นเกือกม้า แล้วก็ไปเข้าซ้าย เยอรมันเขาทำกันมาตั้งแต่พระเจ้าเหาแล้ว แล้วรัฐมนตรีไปกี่ครั้งไม่เจออะไรกันเลยเหรอ นี่คือสิ่งที่นักร้องลูกทุ่งโง่ ๆ ของพี่คนนึงที่พอที่จะคิดได้ว่ามันควรจะอะไร อันนี้มันเป็นแค่จุด ๆ หนึ่งเท่านั้นลูก แต่ถ้าในด้านแง่ของวัฒนธรรมเชื่อว่า ณ วันนี้นะทุกภาค คนที่เป็นคนเก่งเรื่องวัฒนธรรมพร้อมใจให้กระทรวงรับใช้ ให้กระทรวงได้ใช้งาน เราไม่ติด ใช้อะไรเราก็ได้ ไม่ต้องมีเงินให้เราก็ได้ แต่ขอให้เราได้ไปสอนเด็ก ได้ไปบอกเด็กได้ ไปถ่ายทอด พี่เองก็เช่นกัน อยู่ในภาคใต้พี่สร้างหนังตะลุงพี่สร้างมโนราห์ พี่ก็เชื่อว่านักหนังตะลุงในภาคใต้น่าจะเป็นลูกศิษย์พี่เกือบจะ 99.99% มโนราห์ก็ใช่ถึงไม่ใช่ลูกศิษย์ลูกพี่สอนมาโดยมือ
แต่ก็เป็นลูกศิษย์ที่ครูพักลักจำ อุปกรณ์ต่าง ๆ ของพี่ รูปหนังตะลุงของพี่ ชุดเทริดที่ใส่พี่ตัดให้พี่ซื้อให้เป็นการสนับสนุน เรา การช่วยมันไม่ได้หมายถึงว่าคุณต้องจับมือเขาสอนเด็ก แล้วมันก็คือการเป็นครูอาจารย์ แต่สิ่งที่พี่ทำมาตลอดระยะเวลาการอยู่ในวงการของพี่มันคือการปลูกเมล็ดพืชบันเทิงมาตลอด ปลูกมาจนวันนี้ได้ดอกได้ผลในภาคใต้เต็มไปหมด พี่บอกได้เลยวันนี้ถ้าพี่ไม่มีชื่อเสียงอะไรเลย พี่เดินไปที่คณะมโนราห์คณะไหนก็มีคนจัดสำรับกับข้าวให้พี่ทานในฐานะครู พี่ไปโรงหนังตรงที่ไหนก็แล้วแต่ เด็กก็จะจัดสำรับกับข้าวไว้ให้พี่ทานในฐานะครู นี่คือสิ่งที่พี่ภาคภูมิใจที่สุดนะ ภูมิใจในตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่เคยได้รับรางวัลบ้าบอคอแตกอะไรเลย เพราะไม่รู้
แต่ตัวเองก็ตั้งใจไม่ได้ทำอะไรเพื่อเอารางวัลอยู่แล้ว เราสร้างความเป็นจริงให้เกิดขึ้นกับพระราชดำรัสของในหลวงที่บอกว่าวัฒนธรรมสร้างชาติ อย่าลืมนะคนที่เป็นด้านวัฒนธรรม เราช่วยเหลือตำรวจ เราช่วยเหลืออัยการ เราช่วยเหลือศาล ช่วยยังไง คนกลุ่มพวกนี้ไม่ก้าวร้าว เวลาจะมีเรื่องมีราวศิลปินไม่ค่อยมีหรอก น้อย เรากำลังขัดเกลาจิตใจก่อนที่เกิดเรื่องให้ตำรวจจับ ก่อนที่จะเกิดเรื่องให้ตำรวจทำสำนวนส่งอัยการ อัยการไม่มีการได้ส่งเลยเพราะเรื่องมันไม่เกิด แล้วอัยการไม่มีทางส่งเรื่องให้ศาลเลย เรื่องมันไม่มีไปตั้งแต่ตำรวจแล้ว นี่ไง ถ้าเรามองทุกอย่างให้มันลึก วัฒนธรรมมันสร้างชาติอย่างที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 รับสั่งไว้จริง ๆ พี่ถึงนำมาสืบสานและต่อยอดเหมือนรัชกาลที่ 10
The People: แต่มันก็ยาก เพราะพี่เอกหัวสมัยใหม่มาก ปรับนู่นปรับนี่อยู่เรื่อย ๆ บางคนเขาก็อาจจะไม่เห็นด้วยออกมาคัดค้านนู่นนี่นั่น พี่เอกเอาพลังมาจากไหนในการแบบต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้
เอกชัย: มันอย่างนี้ มันจะมีบัวประเภทหลาย ๆ จุด ซึ่งใต้น้ำ กลางน้ำ โผล่บนน้ำ แรงกระทบแรงกระเพื่อมมันไม่สามารถที่จะแยกแยะการปลูกบัวผิดประเภท วันนี้เราเอาบัวไปปลูกในดินทรายแล้วบัวไม่ขึ้น แล้วเราโทษว่าบัวพันธุ์ไม่ดี ไม่ได้นะเพราะคุณไม่ปลูกในดินเหนียว แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณเอากระบองเพชรไปปลูกในดินทรายมันจะงอกงามใช่ไหม เช่นกันถ้าคุณเอากระบองเพชรไปปลูกดินเหนียวมันก็ไม่ขึ้นนะ นี่เขาเรียกว่าผิดฝาผิดตัว เพราะฉะนั้นพี่มีความรู้สึกว่าคนที่หัวโบราณจะต้องกอดวัฒนธรรมแขนงนั้นติดในโลงศพไปไม่ได้ประโยชน์ ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย พี่เคยเห็นครั้งหนึ่งตอนที่มีเกี้ยวที่บนจุกบนหัวที่ลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) เอาไปร้องเพลง
โอ้โห จะเป็นจะตายกันให้ได้ อันนั้นผิดอันนี้ถูก อันนู้นถูกอันนี้ผิด แล้วที่ผงชูรสเห็นมีกันเยอะแยะเลยชฎาที่ใส่ ทำไมไม่มีปัญหากันวะ แล้วลิซ่าเขาใส่ไอ้เกี้ยวเนี่ยแล้วไปนั่งเล่นไพ่ไหม มันต้องดูบริบทอย่างนี้ เขาใส่แล้วนำไปเผยแพร่มันเป็น Soft Power อันนี้แหละ คุณต้องเข้าใจ Soft Power ปัจจุบันนี้ที่คุณใช้กันอยู่ในประเทศ กระทรวงกรมต่าง ๆ คุณใช้ Hard Power คุณไปสั่งเขาให้ทำนู่นทำนี่ทำนั่น เพราะฉะนั้นเราได้ PR ดี ๆ แล้วทำไมไม่ยอมรับ อันนี้คือเป็นสิ่งที่พี่ไม่เข้าใจ แต่พี่สู้นะพี่สู้ แล้วพี่ก็เชื่ออยู่อย่างนึงว่าเหมือนนักวิชาการเหมือนกัน ถ้าอายุคุณขนาดนี้แล้วคุณด่าผม 200 คน แต่เด็กเข้าใจสัก 10 คนพี่เลือกเด็ก
เพราะเดี๋ยวคุณก็ตาย จบ ไม่ต้องโต้แย้งอะไรมาก เดี๋ยวก็ตายแล้ว เอาความฝันและความคิดของคุณพร้อมกับตัวคุณไปเลย แต่คนที่จะถ่ายทอดให้คุณคือเด็ก 10 คนนู้นให้เขาเข้าใจพอแล้วลูกพอแล้ว เด็ก เราอย่ามองว่าเด็กมัน บางคนน่ะชอบไปว่าเด็กก็คิดไอ้โน่นคิดไอ้นี่เลวคิด จริง ๆ เราก็เคยเด็กนะ เราก็โดนพ่อแม่ว่าเรามาอย่างนี้นะ แล้วคน การคิดเทคโนโลยีต่าง ๆ มันก็เกิดขึ้นถูกพัฒนาไปจากรุ่นสู่รุ่นอยู่เสมอ คนโบราณก็ไม่ได้โง่นะ โง่เขาจะสร้างเจดีย์ไว้ได้ไงสูงเท่านกเขาเหินน่ะ โดยที่ไม่ใช่นั่งร้านทำยังไง ทุกอย่างมัน ผู้ใหญ่ในวันนี้ก็คือเด็กเมื่อปีที่แล้วไง เด็กเมื่อก่อนไง ต้องเคารพ
พี่จะเป็นคนที่ไม่แคร์คนที่เขาจะเบรก เพราะพี่ถือว่าคนพูดไม่ได้ทำ พี่อยากทำอะไรพี่ทำ ถ้าพี่เห็นแล้วว่ามันไม่กระเทือนรากของวัฒนธรรม เพราะพี่เป็นคนยึดมั่นมาก รากพี่ไม่เปลี่ยน แต่พี่ต้องแต่งตัวใหม่ เรียกหาอะไรใหม่ รถคันหนึ่งเนี่ยรถเก่าถ้าคุณไม่เปลี่ยนแม็กมันก็เป็นรถเก่านะ คุณไม่ใส่สปอยเลอร์ใหม่ไม่สวยนะ แต่ถามว่าคุณไปทุบรถแล้วเปลี่ยนทั้งคันไหม ไม่ใช่ เราแค่ตีสปอยเลอร์โหลดเตี้ยนิดนึง ใส่แม็กแทนที่จะ 18 เป็น 20 เปรียบเทียบให้ฟัง ขับไปบนถนนคนหันมองอีก เฮ้ย รุ่นนี้ทำใหม่ แต่ถ้าคุณไปเก่า ๆ ไปอย่างนี้ใครจะมอง ต่อให้มีค่าแค่ไหนไม่มีคนมอง เหตุการณ์ยุคบ้านเมืองมันเปลี่ยนทุกวัน เราก็ต้องเปลี่ยนให้ทัน แต่อย่าทำร้ายรากของวัฒนธรรม
The People: พี่เอกก็เลยหย่อนเมล็ดพันธุ์ผ่านคุณการศึกษาที่มอบให้กับเด็ก ๆ หลายปีเลย
เอกชัย: ในยุคหนึ่งพี่ทำมาประมาณสัก 10 ปี 10 กว่าปีจนเด็กทุกวันนี้ก็บางคนก็เป็นหมอจบหมอจบอะไรไปเยอะแล้วที่พี่ปลูกไว้ คือในตอนนั้นนะบอกเลยว่ามือปี่ในภาคใต้เนี่ยมันไม่มี มันน้อยมาก เพราะคนไปเล่นกีต้าร์กัน แล้วคนจะมาเป่าปี่มันไม่มี แล้วพี่ก็เห็นแล้วทำไมภาคอีสานเขาแข่งเป่าแคนกันได้วะ ไอ้ตัวนี้เก่งมากใช่ไหม ไปเป็นครูอาสาพี่จ้างเงินเดือน เอาเลยเดือนละหมื่นเอาไปเลย แต่ไปสอนโรงเรียนนี้ก่อน สอนโรงเรียนนี้ ๆๆๆ ปรากฎในภาคใต้วันนั้นมีมือปี่เกือบ 500-600 คน นี่คือเราปลูก แล้วเด็กทุกคนที่เรียนหนังสือถ้าจะได้ทุนพี่อย่างน้อยที่สุดคือต้องรำมโนราห์ได้ หรือร้องกลอนหนังตะลุงได้ และไอ้เด็กพวกนี้มันก็ต่อยอดพาไปอีกเยอะแยะมากมาย แต่ถ้าเราไม่ทำตรงนี้ถามว่ามันเกิดไหม มันเกิด แต่มันก็ช้า 1 แรงก็คือ 1 แรง ถ้า 2 แรงก็คือ 2 แรง วันนี้พี่ถือว่าพี่เป็นอีก 1 แรงที่ช่วยผลักดันแทนรัฐบาลครับ
The People: พี่เอกว่าภาคใต้ในปัจจุบันกับเมื่อก่อนตอนเด็ก ๆ ที่พี่เอกจากมา มันเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน
เอกชัย: สังคม Social มีทั้งบวกและลบ แต่ตัวนี้เป็นตัวกำหนดที่เปลี่ยน เราบอกวัฒนธรรมมันจะสูญหายไหม พี่เกลียดเวลาผู้ใหญ่บอกว่าช่วยกันอนุรักษ์ พี่เกลียดมากเลยนะ อนุรักษ์คือของที่กำลังจะหาย ทีนี้มโนราห์หนังตะลุงที่ใต้อยากให้ผู้ใหญ่ลงไปดู มันหายที่ไหนล่ะ เวลาหน้างานลูกคู่มันไม่พอ ลูกคู่ไม่พอคืออะไร ก็คือหมายถึงว่างานมันเยอะ ผลิตยังไม่ทันเลย แต่การส่งเสริมคุณอยู่ตรงไหน อย่าบอกว่ามัน เขาเรียกอะไรนะ ต้องอนุรักษ์ ๆ Social เนี่ยช่วยมาก เพราะเด็กทุกวันนี้เด็กพอจบมัธยม จบปริญญาตรี มโนราห์ปัจจุบันนี้คนทำพิธีกรรมโรงครูที่ท่าแค ณ ปัจจุบันน่ะจบวิศวะภาคภาษาอังกฤษด้วย
แล้วมโนราห์โรงครูที่ดัง ๆ ในภาคใต้ เช่น มโนราห์โจ๊กดาวรุ่ง โนราห์ภูมินทร์จบคณะวิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้นพี่ว่านี่แหละเป็นยุคทองของวัฒนธรรมท้องถิ่นโดยเฉพาะในภาคใต้นะ ภาคอีสานเราเห็นอยู่แล้วหมอลำแบบเฟื่องฟูมาก และมา ณ ตอนนี้ลิเกปั้งมากด้วยดำดง พี่ว่ามันครบ เห็นไหมท้ายที่สุดแล้วอะไรที่มันซ้อมถึงและถึงซ้อมมันไม่หายไปไหนหรอก มันยังอยู่ในเลือดของคนไทยทุกคนแหละ เพียงแต่ละช่วงมันถูกได้รับการดูแลมากน้อยแค่ไหน ได้รับความสนใจมากน้อยแค่ไหนอยู่ที่คุณ
The People: พอพูดถึงเรื่องความภาคภูมิใจ อยากทราบแบบเจาะลึกนิดอีกนิดนึงว่าพี่เอกภูมิใจในการที่เราเป็นคนใต้ สิ่งไหนที่ทำให้เราภูมิใจมากที่สุด
เอกชัย: พี่ว่าความเป็นถิ่นไม่มีใครลาออกได้ มันถูกบัญญัติด้วยฝังรกรากอยู่ที่นั่น พ่อแม่เราอยู่ที่นั่น ไม่มีใครลาออกจากเป็นคนพื้นถิ่นได้ คนอีสานก็ภูมิใจในความเป็นคนอีสาน คนเหนือก็ภูมิใจในความเป็นคนเหนือ พี่เคยพูดว่ามนต์เสน่ห์ของดนตรีบทกวีภาษาถิ่นมีความสำคัญกับทุกภาค อยากให้คนทุกภาครักกันเชื่อมสัมพันธ์โดยศิลปะ ซึ่งปัจจุบันนี้ภาษาไม่ใช่เครื่องแบ่งภาคแล้ว เพราะเพลงอีสานก็ไปดังอยู่ใต้ คนใต้ก็ไปดังอยู่ภาคอีสาน ไม่มีพรมแดนเลย มันไม่มีอะไรที่จะมาบอกว่านี่ของภาคอีสานนะ นี่ของภาคเหนือ
หมายถึงว่าในด้านภาษาและวัฒนธรรม มันถูกหล่อหลอมกันเป็นกลุ่มเดียวกันหมดอยู่แล้ว เพียงแต่ค่านิยมของแต่ละภาค มันอะไรจะมา 1 มา 2 มา 3 ขึ้นอยู่กับพละกำลังของแต่ละภาค เราจะได้เห็นว่าภาคอีสานมาเป็นอันดับ 1 เพราะพื้นที่เขาเยอะกว่าเราภาคใต้ ประชากรก็เยอะกว่า เพราะฉะนั้นอำนาจในการต่อรองก็เยอะกว่า แต่วัฒนธรรมก็คือวัฒนธรรม มันบอกไม่ได้หรอกว่า เฮ้ย ของใครเหนือกว่าใคร ท้ายที่สุดแล้วมันก็คือของคนไทยทุกคน
The People: มาถึงเรื่องการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์บ้างดีกว่า อยากทราบว่าจุดเริ่มต้น พี่เอกเข้าไปกำกับได้ยังไง
เอกชัย: จริง ๆ อย่างที่พี่เอกบอก พี่ไปเล่นหนังภาพยนตร์มาตั้งแต่เริ่มต้น เล่นละคร แล้วก็ไปเล่นหนังสายอยู่กับพันนา ฤทธิไกรเนี่ย เล่นเป็น 20 กว่าเรื่องหนังขายสาย ศึกษาในการทำงานตรงนี้มา จนกระทั่งวันหนึ่งตัวเองถือว่าตอนที่เริ่มกำกับหนังคือตอนที่หยุดคอนเสิร์ต และสิ่งที่ตัวเองอยากจะทำมากที่สุดก็คือการรื้อฟื้นวัฒนธรรมของภาคใต้สู่ความเป็นสากล แล้วถามว่าทำไมถึงไปทำเอาในแขนงนั้น คือตัวเองรู้สึกว่าตัวเองถนัดและอยากจะเล่าเรื่องพวกนี้ เป็นคนที่ทำหนังไม่คิดถึงเรื่องธุรกิจ ไม่คิดถึงเรื่องเชิญแขกไม่เชิญแขก เพราะฉะนั้นก็จะมีคอมเมนต์เยอะแยะมากมายในเพจต่าง ๆ ว่าทำหนังไม่เคยประสบความสำเร็จโน่นนี่นั่นพวกรู้มากนะพวกเก่ง ๆ ว่าวิจงวิจารณ์วิกะละมังเยอะกว่าจานเยอะ คุยกัน
แต่เขาไม่รู้ว่าเจตนาเราสำเร็จคืออะไร เรื่องแรกที่กำกับภาพยนตร์เรื่องเทริด คือมงกุฎที่ใส่กับมโนราห์ ถามว่าทำไม พี่เชื่อว่าคนใต้อย่างเดียวก็ไม่เข้าใจคำว่าเทริดหมดทุกคนหรอก เด็กบางคนยังอ่านว่า เท-ริด เลย แล้วก็ไม่เข้าใจด้วยซ้ำไปว่าเทริดคุณจะต้องวางอยู่ตรงไหน อยู่ยังไง มีความสำคัญยังไง พี่ได้อ่านหนังสือของพ่อขุนอุปถัมภ์นรากรเป็นมโนราห์ใหญ่ที่สุดของภาคใต้ที่ได้รำหน้าพระพักตร์ของในหลวงรัชกาลที่ 9 2 ครั้ง ในปีแรกในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จลงไปพัทลุง พี่ไม่มั่นใจว่า พ.ศ. 2504 หรือ 14 ไม่มั่นใจ แต่ตอนนั้นพระองค์ท่านยังทรงพระเยาว์มากนะ เพิ่งจะอภิเษกสมรสเอง ในหลวงยังเป็น ยังหนุ่ม ๆ เลย เสด็จลงไปภาคใต้ไปพัทลุง ซึ่งในความรู้สึกของพี่ว่าไกลจากเมืองหลวงมากจังหวัดพัทลุง
แล้วมโนราห์พุ่ม เทวาได้ไปรำ แล้วพระองค์ท่านรับสั่ง ซึ่งมีอยู่ในหนังสือเมื่อสวมเทริดแล้วไม่ต้องยกมือไหว้ข้าพเจ้าก็ได้ เฮ้ย ทำไมเราอ่านคำนี้แล้วเราจุก นี่มันเป็นศิลปะวัฒนธรรมบนดอกหญ้าที่มันอยู่ไกลพระเนตรพระกัณฑ์ของพระองค์ท่าน แล้วก่อนที่พระองค์ทรงเสด็จลงไปทำไมพระองค์ศึกษาล่ะ ทำไมพระองค์รู้ล่ะว่าเทริดเป็นที่มาที่ไปจากไหน คือกษัตริย์บรรจงสวมให้กับเทพสิงขร หรือพ่อขุนศรีศรัทธาองค์ปฐมมโนราห์ของภาคใต้ ในหลวงรับสั่งว่าสวมเทริดแล้วไม่ต้องยกมือไหว้ข้าพเจ้าก็ได้ พี่จะทำเรื่องนี้ พี่จะเล่าเรื่องนี้ พี่จะทำเรื่องนี้เลย อย่างน้อยที่สุดเด็กในภาคใต้เข้าใจสัก 20 คนพี่ได้กำไรแล้ว ก็เลยตัดสินใจทำภาพยนตร์เรื่องแรกก็คือเรื่องนี้ มันก็เล่าเรื่องผ่านมโนราห์ เล่าผ่านชีวิตของเด็กวัยรุ่น
คือพี่เอาคำถามของเด็กวัยรุ่นถามผู้ใหญ่มาใส่ไว้ในหนังเรื่องนี้ว่าทำไมต้องสืบทอด แล้วพี่เอาคำตอบของผู้ใหญ่ไปตอบให้วัยรุ่นผ่านภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นคือ Soft Power นะ แล้วหนังมันก็ success มาก มาก ๆ พี่ก็มานั่งมองว่าหนังใต้เรื่องแรกที่พูดใต้ เฮ้ย เราเป็นคนทำนะ ในแง่ของเชิงธุรกิจสตูใหญ่ ๆ เขาคงให้กล้วยพี่แหละถ้าทำหนังประเภทนี้ออกมา เพราะมันเป็นหนัง Local มึงทำให้ใครดู ทำไปยังไง หลังจากนั้นก็มีหนังอีสานออกมาเป็นไทบ้าน หลังจากเทริดออกมาก็มีไทบ้าน มีเพื่อนแล้ว ๆ แต่ไทบ้านมันจะ success กว่าภาคใต้เพราะคนเยอะกว่าอย่างที่พี่บอก ในกรุงเทพฯ ประชากรคนอีสานมากกว่าคนใต้อีก เพราะฉะนั้นเขาปรุงอาหารเขาปรุงลาบเนี่ยเขามีคนสั่งลาบเขาเยอะกว่าซื้อแกงไตปลาในกรุงเทพฯ
แต่พี่ไม่ละความพยายาม ก็หาสเกลต้นทุนให้มันต่ำลงอีก เพื่อจะทำหนังวัฒนธรรมต่อไป เรื่องที่ 2 ก็คือเรื่องมโนราห์ เล่าเรื่องมโนราห์ว่าถ้าคุณไปดูหนังเรื่องนี้คุณไม่ต้องไปอ่านหนังสือแล้ว คุณจะรู้ว่าพ่อขุนศรัทธามาจากไหน ก็เล่าเรื่องทั้งหมด แล้วหนังมันก็ได้ในระดับมันไม่เคยขาดทุนนะ มันก็ได้ของมันในระดับหนึ่ง เรื่องที่ 3 คนก็บอกว่าทำหนังโน้นนี่นั่นแล้วมัน ทำไมไม่ทำหนังหาตังค์บ้าง ก็คิดถึงรำวงย้อนยุคในภาคใต้ เขาเรียกว่ารำวงเวียนครก ก็สร้างเรื่องมาใส่รำวงเวียนครก เรื่องมนต์รักดอกผักบุ้งอันนี้ขึ้นไปที่ 60 ล้าน ได้ แต่แข่งกับโควงโควิด-19 หน่อย แล้วเรื่องถัดมานี่ไปกำกับหนังอีสาน 1 เรื่องนะ หลาย ๆ คนยังไม่รู้นะว่าผมเป็นคนกำกับหนังอีสานชื่อเรื่องอีหล่าเอ๋ย เป็นคนทำเองทุกขั้นตอน
ตั้งแต่เพลงประกอบ ซาวด์ประกอบ ซาวด์ ทำนองเพลงหมอลำ ภาษาพูด มุกตลก วิถีของคนภาคอีสานทั้งหมดพี่เป็นคนทำเองทั้งหมดเลยในเรื่องนี้ทุกขบวนการคืออีหล่าเอ๋ย ก็ถือว่ายอด 17 ล้าน ก็ถือว่าได้ในระดับหนึ่ง แต่คนจะไม่รู้นะว่าเป็นพี่เอกกำกับ ถัดมาเราเห็นตำนานรักของสาวประเภทสอง อยากทำเรื่องนี้มากที่เขาฆ่าตัวตายวัดหัวลำโพง ถามว่าทำไมอยากทำ เพราะเขาเป็นนางสีดา เห็นไหมว่าหนังพี่ยังไงก็ต้องมีอะไรของพี่อีก ก็คือมีวัฒนธรรม ก็คือเรื่องของการรำการเล่นโขนเป็นนางสีดา ไปหยิบเอาความรักของคนกลุ่มนี้มาเล่าผ่านระนาด ผ่านเปิงมาง ผ่านความเป็นไทยและฆ่าตัวตายที่วัดหัวลำโพง บังเอิญหนังเรื่องนี้เข้าฉายได้ 8 วันโรงภาพยนตร์ปิด โควิด-19 ก็ไม่ประสบความสำเร็จเรื่องนี้เรื่องเดียว
หลังจากนั้นในภาคใต้มันมีวัวชน นักเลงวัวชนกับการพนันวัวชนมันแยกกันออกไหม ทำให้รู้ ทำให้รู้เลยก็ชื่อเพลง ชื่อภาพยนตร์ว่ามนต์รักวัวชน ก็ประสบความสำเร็จอีก คนไปดูหนังเรื่องนี้ก็จะได้รู้ว่า อ๋อ นักเลงวัวชน อ๋อ การพนันวัวชน เราต้องดูให้ออกว่าวันนี้ 15 ค่ำรถหน้าวัดจอดแน่นเท่ากับหน้าบ่อนวัวชนไหม จะได้รู้ว่า อ้อ คนไปบ่อนวัวชนนี่เยอะกว่าวันพระอีกถูกต้องตามกฎหมายนะครับ มีการ มันเป็นเรื่องของกีฬา แต่ในนั้นมีการเดิมพันกัน เงินสะพัด 20 ล้าน 30 ล้าน 40-50 ล้าน 100 ล้านบางคู่ ก็ทำออกมาตีแผ่ แล้วถัดจากนั้นก็วิถีของคนใต้ การเลี้ยงลูกของคนใต้แบบคนใต้ที่เลี้ยง มีวัฒนธรรมในการเลี้ยงลูกมายังไง ก็หยิบเอาเรื่องสะพานรักสารสินมาทำว่า เฮ้ย ใครจะมาว่าพ่อดุไม่ใช่นะ คุณว่าเป็นคนใต้คุณถึงจะรู้ว่าทำไมพ่อถึงหวงลูกสาว
ต้องไปดูบริบทในภาพยนตร์เรื่องสะพานรักสารสิน แล้วมันก็เป็นหนังที่สำเร็จ มันยังติด Top 1 เดือนเต็ม ๆ ใน Netflix สะพานรักสารสิน มาจนถึงเรื่องล่าสุด อันนี้ก็ถือว่าเกือบ 100 ล้าน ก็คือเหมรฺย คนด่าเยอะมากว่าหนังชื่อเรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ ทำไม มีผู้ใหญ่ในกลุ่ม LINE กลุ่มเกี่ยวกับทำงานด้านภาพยนตร์ หนังเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ ชื่อเรื่องอะไรก็ไม่รู้ ทำหนังอย่างนี้แม่งก็เจ๊งตั้งแต่แรกคิดแล้ว พี่ก็เลยเข้าไปใน LINE กลุ่มแล้วบอกว่าลองกลับไปบ้านแล้วก็ให้ลูกเอาโทรศัพท์เอามาเซิร์ชหาใน Google แล้วก็จะทราบข่าวแจ้งความกระจ่างความมากกว่าที่มานั่งด่าอยู่ใน LINE กลุ่ม คุณน่ะใช้โทรศัพท์แพง ๆ แต่ใช้สมองถูกมากในการคิด มันยากตรงไหนในปัจจุบันนี้ แต่สิ่งนี้ถ้าเราไม่หยิบเอามาเนี่ย มันมีคนคิดไหมล่ะ ก็ไม่รู้ว่าเหมรฺยคืออะไร
บางคนก็อ่านว่า เหม-รุย เพราะมันมีตัวพินทุใต้ ร.เรือ ตัวพินทุทำหน้าที่อะไร ตัวพินทุทำหน้าที่ออกเสียงตัวควบกล้ำ อ้าว วันนี้ถ้าคุณไม่รู้จักภาษาอังกฤษแล้วอ่านไม่ออกไม่มีใครเขาว่านะ แต่คุณอ่านภาษาไทยไม่ออก มันต้องพิจารณาไหม แล้วสิ่งที่ผมนำมาเสนอ ผมจะตั้งชื่อยังไง อ่อ พ่อบน แม่ไม่แก้แล้วลูกตายรถชนอย่างนี้ พี่ตั้งชื่อเรื่องหนังอย่างนี้เหรอ มันไม่ใช่ ก็ปรากฏว่าภาพยนตร์เรื่องเหมรฺย ได้รับความนิยมจากเด็กวัยรุ่นมากถึงหนังพาเข้าไปถึง 84 ล้านกว่าก็ถือว่ามันสำเร็จมากนี่คือเรื่องล่าสุด และเรื่องที่กำลังจะทำ ซึ่งคิดว่าจะโดนด่า มีวรรณกรรมอยู่ภาคใต้เขาเรียกวรรณกรรมคำผวน เขาค้นพบที่วัดเขาน้อย อำเภอสิชล
ปัจจุบันนี้ถูกบรรจุไว้ในหอสมุดแห่งชาติ ซึ่งก็จะเป็นตำราเรียนของเด็กที่เขาเลือกเรียนคณะวิชาศิลปกรรมศาสตร์ในภาคใต้นะ เป็นนิยายคำผวน เป็นนิทานเลย มีเจ้าเมือง มีนางเมือง มีพระราชโอรส พระราชธิดา แต่ชื่อตัวละครทั้งหมดเป็นคำผวนที่ทะลึ่งถ้าผวนกลับ ชื่อเรื่องว่าสรรพลี้หวน ถ้าคุณแปลกลับก็คือสรรพล้วน- แต่ถ้ามันนอนนิ่งอยู่ในหอสมุดแห่งชาติ เด็กรุ่นหลังจะรู้ไหม ไม่รู้ พี่เอามาทำเป็นภาพยนตร์เป็น Comedy สรรพลี้หวน กำลังจะเกิดขึ้นในโลกภาพยนตร์ คือตัวละครในโลกภาพยนตร์ของสรรพลี้หวนจะกลายมาเป็นตัวละครในภาพยนตร์ ซึ่งพี่เชื่อว่าเดี๋ยวมีคนด่าพี่ แต่ถามว่าทำไมอยากทำ นี่คือการสืบสาน นี่คือการหยิบเอาเรื่อง มันมีบทของมันนะที่มันร้อง ซึ่งเราสันนิษฐานได้ว่าน่าจะเกิดขึ้นในรัชกาลที่ 2 ว่า
ทองของอังกฤษ อังกฤษเริ่มค้าขายกับประเทศไทยในสมัยยุครัชกาลที่ 2 เนี่ยมันก็บอกได้ทางประวัติศาสตร์ ก็เลยนำเรื่องนี้มาทำเป็นภาพยนตร์
The People: ฟังมาทั้งหมดพี่เอกเป็นคนที่แบบตรงมาก ตามสไตล์คนใต้มาก ๆ เลย ก็เลยอยากรู้ว่าการที่เราเกิดแล้วก็เติบโตที่ใต้มีอะไรหล่อหลอมให้เราเป็นคนยังไงบ้างไหม
เอกชัย: พี่ว่าวัฒนธรรมของสิ่งแวดล้อมที่มันอยู่ล้อมตัวเรา คุณเชื่อไหมว่าถ้าคุณน่ะเกิดในดงแม่ค้า คุณก็จะเป็นอย่างนั้นน่ะ วันนี้พี่เกิดในประเทศจีนเป็นคนไทยพี่ก็จะพูดจีน แต่มีอยู่ 1 อย่างคือสัญชาติ คุณเอาไก่ไปเกิดประเทศไหนมันก็ขันอย่างนั้นหมด ไม่มีใครเอาไก่ไปอยู่ต่างประเทศ Good Morning ไม่มี มันก็ขันเอ้กอี๊เอ้กเอ๊กเนี่ย มันเป็นสัญชาตญาณ พี่คนหนึ่งที่เป็นคนที่มีสัญชาตญาณความเป็นเลือดของปักษ์ใต้เข้มข้นพี่ไม่เปลี่ยน แล้วถ้าเกิดใหม่ได้นะพี่ก็ขอเกิดใต้ พี่ภูมิใจพอใจและก็ประทับใจในการที่จะอยู่เป็นคนใต้ ถูกเลี้ยงด้วยอะไร ถูกเลี้ยงไว้ทนายความ ถูกเลี้ยงด้วยผู้พิพากษา ถูกเลี้ยงด้วยข้อกฎหมาย คนใต้ถึงมีบริบทความรู้เรื่องกฎหมายมาก คุณไปดูหนังตะลุง หนังตะลุงเขาเล่นการเมืองทั้งนั้น
ไม่มีหนังตะลุงไหนเดี๋ยวนี้ไม่สอดแทรกการเมือง คุณไปดูมโนราห์ก็เป็นการเมืองทั้งนั้นอีก เพราะฉะนั้นเราถูกล้อมถูกหล่อหลอมด้วยองค์ความรู้ผ่านความเป็นวัฒนธรรมบ้าน ๆ มาโดยตลอด เพราะฉะนั้นก็เลยไม่แปลกใจว่าทำไมคนใต้ถึงเรียนนิติ ทำไมคนใต้ถึงเรียนรัฐศาสตร์ ทำไมคนใต้ถึงมีองค์ความรู้เรื่องกับการเมืองมาก เพราะบริบทสิ่งแวดล้อมของเรามันเป็นตัวกำหนดและตัวชี้นำ อันนี้พี่ไม่ได้ว่าภาคไหนเป็นยังไง แต่พี่กำลังเปรียบเทียบถึงตัวบ้านพี่ว่าพี่ถูกเลี้ยงมาเป็นแบบนี้ แต่มีอยู่ 1 อย่างพี่ว่าคนใต้ตระหนักที่สุด คือการถูกเลี้ยงมาให้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ขอโทษเอาใหม่ การถูกเลี้ยงมาให้รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ การรักต่อสถาบัน การรักต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รักต่อพระบรมวงศานุวงศ์ทุก ๆ พระองค์
คนใต้ตระหนัก และคนใต้เข้าใจ คนใต้รับรู้ นี่เป็นสิ่งที่มันเป็นเอกลักษณ์ของคนใต้ อาจจะพูดไม่เพราะ อาจจะทำอะไรเร็ว บ้านเราฝนตกบ่อยไงต้องขยันวิ่งเก็บผ้าเก็บผ่อน พูดจาก็เร็ว เราถึงพริกแกงทุกอย่างมันถึงเผ็ดร้อนไง เพราะมันอยู่กับความชื้นเยอะ จริง ๆ บริบทหลังคา หลังคาปั้นหยาที่ใต้มันกันฝนสาดนะไปดูให้ดี หลังคาปั้นหยาจะเป็นอย่างนี้ แล้วก็แบนอย่างนี้กันฝนสาด ซึ่งจะปลูกหลังคาแบบคนอยุธยาไม่ได้นะฝนสาดตายในภาคใต้ ธรรมชาติมันก็สอน สิ่งแวดล้อมมันก็บอก วัฒนธรรมมันก็เข้ามาให้กระจ่างในหลาย ๆ เรื่องของคุณ เพราะฉะนั้นถ้าให้ผมตอบว่าบริบทของคนใต้ถูกสอนมายังไง ผมไม่กล้าที่จะบอกว่าผมเป็นยังไง แต่ผมถ้ากรีดเลือดออกมามันมีแต่ลายกนกภาษาใต้เป็นลายเถาวัลย์
The People: การได้มาสวมบทบาทเป็นนักเล่าข่าวอย่างเปิดจอจ้อข่าว เป็นอย่างไรบ้าง
เอกชัย: พี่เอกอาจจะสวมหมวกหลายใบเนาะ เพราะว่าเป็นนักร้องบ้าง เป็นผู้กำกับภาพยนตร์บ้าง เป็นพิธีกรบ้างเป็น comment(ator) บ้าง พี่คิดว่าคน 1 คนถ้าอยากจะยืนอยู่หน้าจอทีวี คุณก็ต้องทำให้ได้ทุกเรื่องในความคิดพี่นะ วันนี้คุณกำกับภาพยนตร์ วันนี้คุณมาเป็นนักข่าว การเป็นนักข่าวคุณต้องดูอะไรบ้าง ก็คือต้องอ่านข่าว ต้องซึมซับจากเรื่องต้องทำการบ้านทุกเรื่อง อ่านหนังสือ อ่านข้อกฎหมายอะไรต่าง ๆ ต้องทำ แต่ข่าวที่พี่อ่านมันเป็นข่าวให้กับชาวบ้าน มันเป็นคติสอนใจ แต่ในขณะเดียวกันคนดูข่าวแล้วคุณไม่เครียด เพราะเราก็รีแลกซ์ เราไม่ สวัสดีครับวันนี้พบกับทางช่อง 7 สีนำเสนอข่าว ข่าวต่อไป
เราไม่เอาอย่างนั้น ก็รีแลกซ์นั่งสบาย ๆ เล่าข่าวโน่นนี่ ซึ่งมันเกิดเหตุประจำวันอยู่แล้ว แล้วมันอยู่ใกล้ตัวกับท่านผู้ชมอยู่แล้ว ก็จะเลือกข่าวมา ข่าวที่มันเป็นชานเมืองต่างจังหวัด แล้วเราเล่ามันก็มีสาระแต่ให้ความสนุก ซึ่งก็มันก็เป็นตัวพี่แหละ เพราะเวลาพี่อยู่นำเสนอเรื่องราวอยู่บนเวทีคอนเสิร์ตพี่ก็ชอบเล่าเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้นให้คน แต่ก็เล่าแบบสนุกสนาน แต่ในขณะเดียวกันก็เติมความรู้ข้อกฎหมาย เติมขั้นตอนของ ไม่ว่าคุณจะมีเรื่องมีราว คุณจะมีโน่นมีนี่ มันมีขั้นตอน 1-2-3-4 อธิบายให้คนฟังได้เข้าใจว่าอะไรที่คุณไม่รู้คุณได้อาจจะรู้จากเปิดจอจ้อข่าว
The People: พอพี่เอกรับบทเป็นนักเล่าข่าวแล้ว พี่เอกมองมีมุมมองต่อสื่อมวลชนยังไงบ้าง จากเมื่อก่อนกับตอนที่เข้ามารับหน้าที่นี้
เอกชัย: มีอยู่อย่างหนึ่งที่ชอบเผลอบ่อย ๆ ในอ่านข่าว เรามักจะเอาความคิดของเราไปใส่ความรู้สึกกับข่าวนั้น ๆ ซึ่งจริง ๆ แล้วผิด เราแสดงออกความรู้สึกตรงนั้นไม่ได้เลย เรามีหน้าที่เล่า หน้าที่จะโมโหไม่โมโหอยู่ที่ท่านผู้ชม ใครจะผิดจะถูกเราไม่มีสิทธิ์ไปชี้นำ เราแค่เล่าในประเด็นที่เราอยากเล่า เพราะฉะนั้นคนฟังต้องเป็นคนพิจารณาเอาเอง แต่นักข่าวทุกช่องมักจะใส่อารมณ์ด้วยตัวเอง เอาตัวเองไปตั้งเป็นจักรวาลศูนย์กลาง ซึ่งพี่ก็มีในบางครั้ง แต่พี่ก็พยายามกลับเข้ามาแล้วบอกว่าอันนี้เป็นความคิดส่วนตัวนะครับ เพราะฉะนั้นท่านผู้ชมต้องพินิจพิจารณาเอาเอง
The People: อะไรที่ปรับมุมมองให้พี่เอกไม่คาดหวังในตัวคนอื่นได้
เอกชัย: เพราะตัวเราเองเรายังไม่ได้ไปมั่นใจในตัวเราเองเลย บางครั้งเราก็คุมสติอารมณ์ตัวเราเองไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราจะคาดหวังเราจะไปเราจะมีรีโมทอะไรไปคอนโทรลคนอื่นเขาได้ ในเมื่อตัวเราเองในบางครั้งใจยังไม่นิ่ง มีผู้ใหญ่พี่ท่านหนึ่ง ท่านบอกพี่ว่าเราต้องยืนอยู่เหนือเหตุผล ท่านบอกว่าในเมื่อเรายืนจนมองไม่เห็นตรงนั้น ยังได้ยินเสียงอีกเหรอ พี่จำ พี่รู้ว่าพี่ไม่ควรจะได้ยินแม้กระทั่งเสียง มันตัดปัญหา
The People: ฝากพี่เอกทิ้งท้ายถึงคนใต้ ความภาคภูมิใจในความเป็นคนใต้
เอกชัย: ในชั่วชีวิตที่ผมเกิดมาใน 1 ช่วง ผมเชื่อว่าผมได้ทำอะไรไว้ให้กับแผ่นดินภาคใต้มากมาย มันภูมิใจแล้วครับ ภูมิใจกับสิ่งที่ได้ทำ แล้วก็ภูมิใจกับสิ่งที่ได้เกิด แต่ผมมันไม่ใช่คนดี 100% มันอาจจะมีแผลตรงนั้นมีแผลตรงโน้นมีแผลตรงนี้ แต่สิ่งที่ผมดีใจมากที่สุดคือผมได้ทำไง ผมไม่นั่งเบล่ออยู่อย่างเดียว ผมไม่นั่งเปรตอยู่คนเดียว ผมทำ มันจะสำเร็จสักกี่เปอร์เซ็นต์ก็สุดแล้วแต่ เราโยนหินไป เราโยนนู่นโยนนี่ไป คนจะรับได้สักกี่ลูกมันเป็นสิทธิ์ของคนที่รับ แต่เมื่อเราตั้งใจที่จะทำแล้ว วันนี้ผมว่าผมภาคภูมิใจที่สุดแล้ว
แล้วสิ่งที่อยากจะขอบคุณ อยากจะขอบคุณแฟนคลับ อยากจะขอบคุณคนที่เข้าใจ อยากจะขอบคุณคนที่ทำงาน อยากจะขอบคุณเพื่อนร่วมงาน อยากจะขอบคุณทุกคนที่ให้คำว่าเอกชัย ศรีวิชัยมาวันนี้ ผมจะไม่ทรยศต่อทรัพย์สมบัติที่ท่านให้ผมมาแน่นอน ผมจะใช้มันให้คุ้มค่าให้มากที่สุด และให้ส่งกลับไปเป็นประโยชน์ของลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องเอง ขอแต่เพียงว่า 1 วันผมเชื่อว่าทุกคนต้องการกำลังใจ ผมก็คนหนึ่งต้องการกำลังใจ ดาวเนี่ยครับสวยขนาดไหน ทำใจให้สวยพรือ ถ้าไม่มีคนนั่งมอง ดาวดวงนั้นก็ไม่มีความหมายเลย เป็นอันผมยังอยากเป็นดาวดวงนั้นที่ให้ท่านผู้ชมได้นั่งมองผมอยู่นะครับ ขอบคุณครับ