11 ส.ค. 2567 | 16:00 น.
“เราอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างจะตีกรอบ ทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ มันอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดสำหรับสังคมที่เราอยู่ แล้วยิ่งตัวเราไม่ได้เป็นคนที่เป็นนางงามที่ไม่ได้เป็นนางงาม เป็นนางงามที่ไม่ใช่เวย์ของนางงามจริง ๆ ก็ยิ่งโดนหนักเลย”
‘น้ำตาล - ชลิตา ส่วนเสน่ห์’ ผู้เข้าร่วมประกวดในเวที Miss Universe 2016 ครั้งที่ 65 ณ กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ตัวแทนสาวงามผู้เข้าสู่ Top 6 รอบลึกที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย แม้จะไม่ได้รับมงมาครอง แต่เธอยังคงเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยเสมอมา บอกถึงเส้นทางนางงามที่เธอสัมผัสมาตลอดระยะเวลาเกือบทศวรรษ และนั่นทำให้เธอกดดันตัวเองไม่น้อย
และหากใครเคยได้ยินวลีติดหูอย่าง ‘ไม่มีใครเก่งเท่าแม่มึงหรอก’ นั่นล่ะ คือคำที่น้ำตาลใช้เพื่อหยุดคอมเมนต์ก่อกวนการไลฟ์สดของเธอ จนสมองและปากประมวลผลออกมาเป็นคำด่าที่คนในสังคมยังใช้กันอยู่ทุกวัน
แม้ภาพลักษณ์ของน้ำตาลที่ปรากฎผ่านหน้าสื่อ จะทำให้เธอดูเหมือนเป็นนางงามปากร้าย ขี้วีน บวกกับใบหน้าดูไม่ค่อยรับแขก จนทำให้เธอลงทุนถึงขั้นไปฉีดยกมุมปาก เพื่อให้หน้าไม่เป็นมิตรดูใจดีกับโลกใบนี้ขึ้นมาหน่อย บอกตามตรงว่า หลังจากได้ยินประโยคนี้ ถึงขั้นไปไม่เป็นเหมือนกัน ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความเฟียส ผู้หญิงตรงหน้าเรากลับแบกรับแรงเสียดทานจากสังคมไม่หยุดหย่อน เพียงเพราะใบหน้าตามธรรมชาติของตัวเอง
The People พูดคุยกับ ‘น้ำตาล-ชลิตา’ สาวงามผู้นิยามตัวเองว่าไม่ใช่นางงามตามขนบ เติบโตขึ้นมาท่ามกลางชุมชนแออัด จนเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ‘ความจน’ น่ากลัวเพียงใด
The People : ถ้าเรานึกไปถึงเด็กหญิงชลิตา คุณจะนึกถึงเด็กหญิงคนนั้นแบบไหน
ชลิตา : ถ้าย้อนไปตอนวัยเด็กแล้วถามว่าแบบนึกถึงตอนนั้นคือทำอะไร คือตอนเด็ก ๆ ไม่มีเวลาได้ไปทำอะไรเหมือนคนอื่นเขาเลยค่ะ เพราะว่าเหมือนชีวิตเรามันหาเช้ากินค่ำ มันก็เลยต้องเหมือนทำงานอยู่ตลอดเวลา อย่างคุณแม่ไปทำงานอย่างนี้ เราก็จะแบบไปทำงานแทนแม่อีกที่นึง อย่างคุณแม่ไปเป็นแคดดี้ เราก็ต้องไปเป็นแม่บ้านแทนคุณแม่ ก็คือวัยเด็กชีวิตอยู่กับการทำงานตั้งแต่ 9 ขวบ
The People : ตอนนั้นอาศัยอยู่ที่ไหน
ชลิตา : ตอนนั้นก็อยู่ที่กรุงเทพฯ ค่ะแต่ว่าเราก็ทำงานกับคุณแม่ซะส่วนใหญ่ แล้วก็ไม่ได้มีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็ก ๆ ทั่วไป เวลาไปโรงเรียนหลังเลิกเรียนต้องไปนั่งกินข้าวกับเพื่อนหรือไปเที่ยวห้างกับเพื่อนน่ะ เราก็คือ 3 โมงครึ่ง 4 โมงกลับบ้านแล้ว ถึงบ้านแล้ว 5 โมงก็ถึงแล้ว คือส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้ไปไหนเลย แบบไม่ได้ไปไหนเลย ไม่ได้เปิดโลกอะไรสักนิดนึงแหละ เหมือนชีวิตนี้คืออยู่กับการเรียน การเรียนเสร็จแล้วทำงาน ทำงานอยู่กับแม่ อยู่กับแม่กลับบ้านแค่นั้นเลย ส่วนคุณพ่อ คือไม่เคยเจอหน้าคุณพ่อค่ะ แต่ว่าคุณพ่อเพิ่งเสียไปเมื่อปีที่แล้ว (2023) ตอนนี้ก็อยู่กับคุณแม่
The People : เราไม่มีชีวิตวัยเด็กเลย รู้สึกเสียดายช่วงนั้นไหม
ชลิตา : ถ้าถามว่าเสียดายชีวิตช่วงนั้นไหมก็นิดนึง ด้วยความที่เราไม่ได้ใช้ชีวิตวัยเด็กเหมือนคนอื่นทั่วไป เพราะว่าพอเรามองดูแบบเด็กคนอื่นเขาได้ไปเที่ยว เขาได้ไปเรียนพิเศษ คือความฝันอยากเรียนพิเศษมาก งงป่ะ (หัวเราะ) คือแบบเราเห็นแบบ เอ้ย ทำไมคนอื่นเขาหลังจากเลิกเรียนแล้วเขาไปเรียนพิเศษต่อ เขาได้ไปนู่นนี่นั่นต่ออะไรอย่างนี้ แต่ว่าเราไม่ได้ทำอะไร เราก็เหมือนต้องเก็บเงินน่ะ แล้วก็ขวนขวายด้วยตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันย้อนกลับไปได้ก็คงอยากจะไปเรียนพิเศษเหมือนคนอื่นเขา
The People : เด็กส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้อยากเรียนพิเศษ
ชลิตา : เออ ทำไม (หัวเราะ)
The People : มันหนัก เรียนแล้วยังต้องมาเรียนพิเศษ
ชลิตา : หรืออาจจะเป็น เราอาจจะไม่ได้ได้ความรู้สึกตรงนั้นมั้ง เพราะว่าเหมือนเรามันต้องขวนขวายด้วยตัวเอง แต่บางคนเขามีทุกอย่างปูทางให้หมด มันอาจจะรู้สึกว่า เอ้ย ไอ้ตรงที่เขาปูทางนั้นให้อาจจะดูเยอะไปสำหรับเขาก็ได้ แต่ว่าถ้าสมมุติว่าตาลเป็นคนที่ได้ปูทางอย่างนั้น ณ ตอนนั้นก็อาจจะรู้สึกหนักมั้ง
The People : ที่คุณบอกว่าเราต้องขวนขวายด้วยตัวเองตลอด มันลำบากถึงขั้นไหน
ชลิตา : ถามว่าลำบากขนาดไหน เหมือนเราไม่ได้มีเงินเก็บใช่ไหม แล้วเราก็ทำงานน่ะมันไม่ได้เยอะอยู่แล้ว ยิ่งแม่ทำงานคนเดียว เขาทำงานแต่ละเดือนน่ะแล้วเลี้ยงลูก 2 คน แล้วลูกก็กำลังเรียน มันก็ต้องใช้ค่าใช้จ่ายเยอะ แล้วก็เรื่องเงินเรื่องอะไรอย่างนี้มันค่อนข้างที่จะต้องเหมือนแบบ strict แล้วบางทีแบบว่าเราไปตลาดอย่างนี้ ไปซื้อกับข้าวกินน่ะ คือ 2 อย่างกินได้ 3 คนน่ะ
2 อย่างกินได้ 3 คนก็คือ ก็อยู่อย่างนั้น ก็อยู่ได้ แล้วเราอยู่ห้องแถว ถ้าเราคิดสภาพก็คือเราอยู่ห้องแถวเหมือนเป็นในชุมชนน่ะแล้วก็อยู่ติด ๆๆๆ กัน แล้วก็ผ่านมาอย่างนั้นน่ะ แต่ก็แค่รู้สึกว่ามันก็เป็นช่วงชีวิตหนึ่งที่ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าเราเคยอยู่ในสถานภาพแบบนั้น มันก็ได้สอนอะไรให้เราได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง ทั้งสภาพแวดล้อม ทั้งความเป็นอยู่ของคน ทั้งความดิ้นรนต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ คือมันก็โชคดีอย่างนึงที่เราได้ผ่านจุดตรงนั้นมา เราจะได้เห็นความเป็นมนุษย์จริง ๆ อะไรอย่างนี้
The People : พอมาถึงจุดนี้มองเห็นชีวิตของมนุษย์ ความเป็นมนุษย์ที่คุณได้สัมผัสมันคืออะไร
ชลิตา : มันน่ากลัว แล้วความจนน่ะมันน่ากลัวมาก คือตอนที่ตาลประกวด แล้วตาลได้มงใช่ป่ะ ตาล เขาถามว่าแบบเราอยากทำอะไรมากที่สุด ก็เลยบอกไปว่าถ้ามีโอกาสอยากช่วยเหลือคนจน เพราะว่ารู้ว่าความจนเนี่ยมันเป็นยังไง เรารู้สึกจริง ๆ นะว่าความที่คนไม่มีแล้วมันเครียดแล้วมันเกิดอะไรขึ้นในสภาพแวดล้อมแถวนั้นน่ะ มันเกิดได้ตลอดเวลาเลย คือเรารู้สึกว่าเรื่องของความเป็นมนุษย์ของความจนเนี่ยมันน่ากลัวจริง ๆ แล้วพอเราได้มาอีกเลเวลนึงที่เราแบบได้แล้วเราเปลี่ยนชีวิตมา แล้วมันมีโอกาสเข้ามาเยอะแยะอย่างนี้ แล้วเราได้มาอยู่ในอีกโมเมนต์นึงของชีวิตที่มันมีขึ้นมาอีกในระดับนึง มันก็แบบ โอ้โห มันแตกต่างจริง ๆ เรารู้สึกว่าชีวิตเรามันไม่แน่นอนจริง ๆ เนาะ ถ้าสมมุติว่าเราไม่ keep ตัวเองให้มันดีตลอดไปหรือว่าพัฒนาตัวเองขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างนี้ มันก็อาจจะกลับไปอยู่จุดเดิมก็ได้อะไรอย่างนี้ค่ะ
The People : เป็นสิ่งที่คิดจนมาถึงปัจจุบัน
ชลิตา : ใช่ รู้สึกกลัว คือความไม่มีเงินมันน่ากลัวจริง ๆ นะ เพราะว่าเราเห็นแม่เครียด บางทีเขาแบบเครียดโดยที่ไม่ได้บอกเราหรอก แต่ว่าเราเห็นเขาว่าเขาต้องทำงานหนักแค่ไหน เขาต้องเหมือนหาทุกอย่างมาเพื่อที่จะพยุงครอบครัวคนนี้ไปข้างหน้า ทำยังไงให้มันมีอนาคตที่ดี ทำยังไงให้มันหลุดพ้นจากตรงนี้อะไรอย่างนี้ คือเราเห็นเขาตลอด บางทีเขาแบบนอนละเมอแล้วเราตื่นอยู่ก็เห็นเขาอะไรอย่างนี้
The People : ตอนนี้ก็มีบ้านอยู่กับคุณแม่แล้ว
ชลิตา : ใช่ ตอนนี้ก็เกินฝันต้อง จริง ๆ ก็ต้องขอบคุณตำแหน่ง Miss Universe Thailand เลยที่ได้มา รู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจถูกที่ประกวด ถ้าสมมุติว่าไม่ประกวดก็คงไม่มีน้ำตาล-ชลิตา ณ ตอนนี้ แล้วก็ต้องขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา ทำให้เราได้มีทุกวันนี้แบบทั้งมีบ้าน มีรถเร็วกว่าที่เราแบบคาดฝันไว้ คือความตอนเด็ก ๆ เราก็จะคิดว่า เอ้ย โตขึ้นอยากมีบ้าน อยากมีรถขับเล็ก ๆ คันเล็ก ๆ บ้านหลังเล็ก ๆ ก็พอ แต่ตรงนี้มันเกินฝันไปมันก็รู้สึกว่า Appreciate ตรงนี้มาก ๆ
เพราะว่าตอนที่เราประกวดเรายังไม่มีอะไรเลย คือตอนนั้นมีแค่เราได้อยู่คอนโด อาจจะดีขึ้นมาจากเดิม แต่ว่าเหมือนเราก็ช่วยแม่ทำงานด้วยค่ะ ด้วยความแม่ไปทำที่สุวรรณภูมิ เราก็เลยไปเป็นแบบเด็กเสิร์ฟช่วยอะไรอย่างนี้ มันก็จะมีรายได้ที่เยอะขึ้นมาหน่อยจากอยู่ข้างนอก ก็เลยรู้สึกว่าเราก็ยังมีแบ่งเบาแม่ได้ แต่พอแบบเรากลับมาได้ตรงนี้เราก็รู้สึกว่ามันก็ดี ดีนะ (ยิ้ม)
The People : ย้อนกลับไปช่วงที่ตัดสินใจประกวดให้ฟังหน่อย ตอนนั้นอะไรที่ทำให้ตัดสินใจอยากทำสิ่งนี้
ชลิตา : คือจริง ๆ ตาลหนีการเป็นนางงามมา เพราะว่ารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ไทป์คนไทย แล้วในความคิดของเรา คิดว่าการประกวดนะ มันต้องเป็นผู้หญิงที่รวย ลูกคุณหนู พูดภาษาอังกฤษได้ ผิวพรรณดี มีการศึกษาที่ดีอะไร เราก็เลยจะแบบไม่เอา คิดว่าสายหน้าอย่างนี้ไม่น่าจะได้แบบเป็นคนไทยที่ชอบแน่ ๆ แต่ตอนนั้นแม่ก็บอกว่าแบบลองดู เขาอุตส่าห์แบบมาชวน ถ้าเราไม่ลองเราก็ไม่รู้ ถ้ามันไม่ใช่หรือหนูไม่ชอบก็แค่ออกมาแค่นั้นเอง แต่หนูก็ลอง ก็ลองดูแต่ก็สนุกแบบเปิดโลกทุกอย่างมากเลย ความแบบ ความนางงาม อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง
The People : โลกที่เปิดขึ้นมามันต่างกับโลกที่เราอยู่ยังไงบ้าง
ชลิตา : ต่างทุกอย่างเลย ด้วยความที่เราไม่รู้หรอกเนาะว่าคนที่แบบว่าเข้าประกวดจะมีแบบว่าสายประกวดก็มี หรือว่าคนที่เขามีเงินอยู่แล้วประกวดก็มี เราก็ต้องพยายามทำตัวเหมือนแบบเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม แต่ว่ามันก็รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติสำหรับตัวเอง เราก็รู้สึกว่าเอาอะไรที่เป็นตัวเองแล้วก็สบายใจดีกว่า ก็เลยจะทำอะไรที่มันแบบเต็มที่ทุกอย่าง โมเมนต์ต่าง ๆ อย่างแบบจำได้เลยโมเมนต์คือขึ้นเครื่องบินครั้งแรก ตื่นเต้นมาก ติดเข็มขัดได้แล้วเอาออกไม่ได้ (หัวเราะ) ต้องถามเพื่อนว่าแบบเอาออกยังไง หรือแบบไปกินบุฟเฟต์ที่โรงแรม enjoy eating มาก ทำไมเขามีอาหารให้กินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เราก็รู้สึกว่าทำไมชีวิตคนรวยเขาดีจังเลย
The People : หลังจากที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทย ต้องบินไปไกลมาก ความรู้สึกเป็นยังไง
ชลิตา : ตื่นเต้น แล้วก็รู้สึกว่าแบกความหวังเยอะ ไม่ใช่แค่ตัวเอง มันเป็นสายสะพายไทยแลนด์น่ะ มันไม่ใช่แค่เป็นในนามชลิตา ส่วนเสน่ห์ มันเป็นแบบไทยแลนด์ คนไปที่อื่นเขาก็เรียกไทยแลนด์ ๆๆ ถามว่าแบกความหวังไหม มันก็แบบความหวัง เพราะว่าเราโดนด่าเยอะด้วยแหละ เหมือนแบบไม่เหมาะสมตำแหน่งบ้าง มันมีคนที่พร้อมกว่าบ้างเราก็เข้าใจ เพราะว่าเราเคยแบบประกวดนางงามมาก่อน เราก็ไม่รู้หรอกว่าการที่จะมาอยู่ตรงนี้ มันต้องทำตัวแบบไหน ต้องดูเป็นนางพญาแค่ไหน ต้องดูเป็นควีนแค่ไหน เราก็พยายามปรับไปเรื่อย ๆ แต่ตอนไปประกวดก็คิดว่าเราจะทำเต็มที่ในทุกโมเมนต์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็จะไม่มานั่งเสียใจทีหลังค่ะ
The People : ถึงเราจะไม่ได้ตำแหน่งตามที่คนไทยคาดหวัง อันนั้นนับเป็นความผิดหวังครั้งแรกในชีวิตเลยไหม หรือว่ามีเรื่องไหนที่ทำให้เราผิดหวังใหญ่กว่านี้
ชลิตา : ไม่มี อันนี้คือสิ่งที่ตาลผิดหวังที่สุดในชีวิต เพราะว่าด้วยความที่เราเติบโตมา อะไรที่มันไม่แน่นอนใช่ไหมคะ เราก็เลยรู้สึกว่าเราก็มองให้มันเป็นวันต่อวันไป ไม่ได้มองอนาคตที่มันแบบสวยหรูมากขนาดนั้น เพราะว่าเราไม่อยากหลอกตัวเองว่าอนาคตฉันจะต้องมีบ้าน ฉันจะต้องมีรถ ฉันจะต้องมีหน้าที่การงานเท่านี้ ต้องมีเงินเก็บเท่านี้แต่พอเราแบบมาอยู่ตรงนี้ มันเหมือนเราทำทุกวันด้วยเกินร้อย แล้วมันตั้งความหวังกับตัวเองสูง ต่อให้ทุกคนอาจจะไม่ได้คาดหวังมากขนาดนั้น แต่ตัวเราเอง รู้ว่าเราเป็นคนยังไง แล้วเป็นคนที่ทำอะไรแล้วเต็มที่มาก คาดหวังกับตัวเองสูงมาก เพราะฉะนั้นการผิดหวังครั้งนี้มันก็เลยกลายเป็นปม ก็เป็นจุดนึงที่ทำให้เรารู้สึกว่าอันนี้คือการผิดหวังที่สุดในชีวิต แล้วมันยากที่จะ move on มาก ๆ ทุกวันนี้ก็ยังรู้สึกโมเมนต์นั้นอยู่
The People : เราก้าวข้ามมาได้ยังไง ถึงแม้มันจะรู้สึกอยู่บ้าง
ชลิตา : พยายามกลับมานั่งดูโมเมนต์ในแต่ละวันในความสุขของแต่ละวันที่เราได้เก็บตัวอยู่ที่โน่น แล้วก็ในการประกวด แล้วก็กำลังใจต่าง ๆ ที่แบบส่งเข้ามา ก็พยายามดู แล้วก็พยายามบอกตัวเองว่า เอ้ย เราได้ถึงขนาดนี้ในรอบ 30 ปีมันดีมากแล้วนะ พยายามเหมือนกอดตัวเองเยอะ ๆ ค่ะ ก็พยายามปลอบใจตัวเองไปในทุก ๆ วัน ต่อให้มันจะยังไม่ได้หายไปหมดซะทีเดียว แต่ก็พยายามแบบพยายามบอกตัวเอง เพราะว่าจริง ๆ ก็มีเนี่ย พี่แนท (อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์)
เขาก็คอยบอกเราว่าแบบ เอ้ย น้ำตาล ๆ ลองคิดดูว่าเรามาได้ถึงขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่เราแบบ no one มากเลย เราไม่รู้เป็นใครก็ไม่รู้ แต่ว่าเรามาครั้งแรก แล้วเราทำได้ถึงขนาดนี้ เราต้องภูมิใจแล้วนะว่าแบบเราเก่งมาก ๆ แล้วที่ทำได้ถึงขนาดนี้ ก็พยายามปลอบใจตัวเองไปเรื่อย ๆ แต่ด้วยความที่เหมือน เข้าใจไหมคือด้วยความที่เราคาดหวังกับตัวเองสูง พอมันผิดหวังมาก แล้วมันไม่มีจุดรองรับอารมณ์ตัวเอง ณ ตอนนั้นน่ะ มันก็เลยกลายเป็นเหมือนแบบอกหัก ถ้าคนเคยอกหักมันจะรู้ว่าความรู้สึกเคว้งคว้างมันเป็นยังไง
The People : เท่าที่ฟังมาคุณค่อนข้างสู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก เคยคิดไหมว่าชีวิตนี้จะเจอกับความผิดหวังใหญ่ขนาดนี้ ซึ่งมันเป็นความผิดหวังที่ต้องแบกความหวังของคนทั้งประเทศด้วย
ชลิตา : ไม่เคยคิดค่ะ เพราะว่าอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้คาดหวังกับชีวิตตัวเองมากขนาดนั้นน่ะ คือเรียนอย่างเดียว แล้วก็ใช้ชีวิตไปวัน ๆ อย่างเดียว อนาคตแล้วยังไม่รู้เลยว่าเราจะเป็นอะไรในอนาคต เพราะว่าตาลอาจจะไม่ใช่เป็นคนที่เก่ง แต่เป็นคนที่ขวนขวายมากกว่า เป็นคนที่อยากได้ก็ต้องพยายาม ๆ มากขึ้น เพราะว่าเราไม่ได้เก่งเหมือนแบบ feel แบบเด็กเก่ง คือเด็กเก่งมันจะมีความคิดที่แบบ แม่ง รู้อะไรทุกอย่างคือรู้หมด แต่เราต้องเหมือนแบบศึกษา ๆๆ จนรู้ถึงจะเข้าใจ ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่าเราจะคาดหวังกับตัวเองขนาดนั้น แต่โชคดีที่ตัวเองเป็นคนที่อดทน อดทนแล้วก็สู้มากกว่าค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าสภาพแวดล้อมตรงนั้นทำให้เราสู้ เราก็เลยได้จุดตรงนี้มาทำให้เรารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เข้ามา เราต้องสู้หมด แล้วก็ไม่ได้มีใครสอนน่ะว่าเราต้องมีอารมณ์ตรงไหนหรืออะไรยังไงบ้างที่จะมารองรับซัปพอร์ตความรู้สึกตัวเอง
เหมือนมันเป็นคนทำอะไรเต็มที่แล้วก็จะลงตัว ลงใจ ลงแรงไปเต็มที่เชื่อไหมคือการประกวดที่ตอนตาลเก็บตัวนะ เหนื่อยมาก แล้วมันเหนื่อยจริง ๆ เพราะว่าเวลาเรานอนเนี่ยนอนแบบเที่ยงคืนตี 1 ไหนจะวางแผนว่าพรุ่งนี้ต้องทำอะไรบ้าง ต้องเตรียมชุดอะไรยังไงบ้างเราก็ต้อง manage เวลาดี ๆ แล้วก็กว่าจะได้นอนเที่ยงคืนตี 1ตี 2 ตื่นเนี่ยก็ต้องตื่นตี 4 ตี 5 แล้ว เพื่อมาแต่งหน้าทำผมเอง คือวนอยู่อย่างนี้เป็นเดือน ถามว่าใครที่ไม่เหนื่อยบ้าง มันเหนื่อย มันไม่มีวันพักเลย ทุก ๆ วันแล้วกิจกรรมทั้งวันตลอด เหนื่อยมาก แต่ตาลรู้สึกว่าแบบไม่ พรุ่งนี้ฉันจะต้องเลิศ พรุ่งนี้ฉันจะต้องสวย รูปออกมาทุกคนพี่กะเทยจะต้องดีใจ คือมันเป็นโมเมนต์นั้นไป มันก็เลยรู้สึกว่าสนุก แล้วก็ไม่มีอะไรมารองรับความรู้สึกตัวเองแค่นั้น
พอเราผิดหวังเราก็ดาวน์ ดาวน์แบบดาวน์จริง ๆ ดาวน์ดิ่งเลย คือใครพูดอะไรไม่ได้เลย ตอนนั้นคือร้องไห้อย่างเดียวเลย แบบอย่างตกรอบใช่ไหม โชคดีมากที่มันไม่มีรอบเดินอะไรต่อไป ก็เลยไม่รู้เลย เพราะจำอะไรไม่ได้ ก็เลยแบบพอลงมาแล้วทุกคนมานั่งปลอบ ยิ่งปลอบก็ยิ่งร้อง ร้องหนักยิ่งขึ้นไปเวทีแล้วเห็นเขาโมเมนต์แบบใส่มงกุฎ เราคิดสภาพแบบถ้าเป็นเราได้ใส่มงกุฏตรงนั้นน่ะมันคงจะดีนะ ก็เลย ก็ร้องไห้ตลอด แล้วลงมาก็มาเจอพี่อร เจอพี่แจ๊ส (ประณม ถาวรเวช) ก็ร้องไห้ ยิ่งเขาไลฟ์แล้วมีคนแบบคอมเมนต์น้ำตาลเก่งมาก เรากลับไปอ่านคอมเมนต์ เชื่อไหมว่านอนอ่านจนหลับเลย แบบร้องไห้จนหลับไปเลย โมเมนต์แบบ คือมันจำได้จนถึงทุกวันนี้ แม้จะผ่านมา 7-8 ปีเกือบ 10 ปีแล้วก็ตาม
The People : เหมือนจริง ๆ มันเพิ่งเกิด
ชลิตา : ใช่ รู้สึกมันเร็วมาก คือตอน ทุกวันนี้คือมานั่งนับ เฮ้ย จะ 10 ปีแล้วเหรอ ทำไมรู้สึกเหมือนมันเพิ่งเกิดเอง
The People : มีเรื่องไหนอีกไหมที่สู้แล้วภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้
ชลิตา : จริง ๆ ทุกวันนี้ก็ภูมิใจในตัวเองในทุก ๆ อย่างค่ะ ในทุก ๆ ด้าน ตั้งแต่ได้มงมา แล้วก็รู้สึกดีใจที่ตัวเองได้ก้าวเข้ามาในวงการนางงาม แล้วก็สู้ในทุก ๆ โมเมนต์ที่ผ่านมา คือบางทีมันก็เจอเรื่องราวเยอะแยะมากมาย ทั้งดราม่า ทั้งคน ๆ นี้พูด คนนั้นพูด คนที่ไม่ได้เจอเราพูด คนด่าเราบ้าง คือมันจะมีทั้งคนมาแล้วก็คนหายไปจากชีวิตเราก็มี ก็พยายามมองให้มันเป็นเรื่องปกติ แต่ว่าจริง ๆ แล้วคือตาลเป็นคนที่ใช้ใจนำทางค่ะ
คือไม่ว่าจะใครจะเข้ามาในชีวิต เราจะใช้ใจหมด เราจะไม่ใช้แค่แบบมาก็มา ผ่าน ๆ ไปก็ผ่านไป ไม่เลย แต่พอเราเจอคนหลายรูปแบบ มันทำให้เราได้เรียนรู้คนมากยิ่งขึ้น แล้วก็ต้องสู้กับตัวเอง กับคนอื่นมากยิ่งขึ้น ก็รู้สึกว่าเหมือนทำให้ตัวเองได้โตขึ้นด้วยค่ะ อะไรที่มันเข้ามาในชีวิตของทั้งแบบเสียใจ ทั้งดราม่าต่าง ๆ เนี่ย มันก็สอนให้เราได้รู้จักว่าแบบชีวิตมนุษย์มันเป็นยังไงมากยิ่งขึ้น ก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สู้…ทุก ๆ อย่าง ทั้งเรื่องเงิน เรื่องปัญหาเรื่อง พอเราโตขึ้น ปัญหามันเริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จริง ๆ
The People : มีสิ่งไหนที่เราใช้ใจนำแล้วทำร้ายเราบ้างไหม
ชลิตา : มีเรื่องคนนี่แหละค่ะ เพราะว่าเป็นคนที่ sensitive กับคนรอบข้างมาก ๆ ยิ่งใครเข้ามาอย่างนี้เราจะใช้ใจกับทุก ๆ คน แล้วพอเราใช้ใจแล้วเขาให้เรามาไม่เท่ากับสิ่งที่เราให้ไป มันอาจจะผิดหวัง แล้วเราเลยกลับมองตัวเองว่าบางสิ่งบางอย่างแล้วเราควรที่จะปล่อยผ่านบ้าง ไม่ควรที่จะใช้ใจมากขนาดนั้น เราใช้ใจได้ก็จริง แต่ว่าบางสิ่งอย่างเราก็ควรต้องแบบมันเป็นสัจธรรมของมนุษย์ เราก็เลยรู้สึกว่ามันก็ทำให้สอนให้เราได้เรียนรู้คนมากยิ่งขึ้นด้วยค่ะ
The People : เริ่มตกตะกอนตอนไหนว่าเราไม่ควรจะให้ใจกับคนมากขนาดนั้น
ชลิตา : หลังจากเข้าวงการมาได้ 3 ปี 4 ปี คือยังไม่ได้ได้ตอนแรกด้วยซ้ำ คือตอนนั้นมันยังเหมือนมีคนเข้ามาเยอะ เราก็ยังเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ มากยิ่งขึ้น แต่ด้วยความที่เราได้มาคุยกับพี่แนท ตั้งแต่ได้มาคุยกับพี่แนท อันนี้คือเรื่องจริงเลย เพราะว่าไม่ค่อยมีใครคุยกับเราเรื่องของแบบสัจธรรมของมนุษย์ ของปรัชญาชีวิต ของเรื่องราวต่าง ๆ หรือปัญหาต่าง ๆ เพราะว่าเราไม่กล้าพูดกับใคร เราก็จะเก็บ ๆๆ ไว้คนเดียวพอเราได้คุยกับพี่แนท แล้วมีบางสิ่งบางอย่างบางเรื่องที่เราคุยแล้วแบบ เฮ้ย ทำไมเขาเข้าใจในสิ่งที่เราจะสื่อจริง ๆ วะ แล้วบางทีเรื่องทุกเรื่องเราไม่สามารถที่จะคุยให้ใครฟังก็ได้เข้าใจป่ะ บางทีเขาอาจจะหาว่าเราว่าก็ได้ หรือว่าอาจจะแบบ เอ๊ะ เป็นไรอะ พูดไรอะ แต่พอเราคุยกับพี่แนท แล้วเราแบบเหมือนเราเข้าใจซึ่งกันและกันน่ะ ก็ไม่รู้ว่ามันเป็นอย่างนี้จริง ๆ เราก็ค่อย ๆ ปลดล็อคตัวเองทีละนิดทีละหน่อย อะไรที่มันเข้ามากระทบนิดหน่อย เราก็จับโยนบ้าง ตอนกลางคืนจับโยนบ้างค่ะ
The People : เคยเห็นข่าวที่มีคนบอกว่าคุณเป็นคนเหวี่ยง วีน ข่าวที่ออกมามันส่งกระทบกับจิตใจเรามากน้อยแค่ไหน
ชลิตา : ถามว่าส่งผลกระทบไหม มันก็มีบ้างค่ะ ด้วยความที่อย่างที่บอกแล้วเป็นคนแคร์คนน่ะ แล้วก็บางสิ่งบางอย่างก็มันเกิดจากบรีฟด้วย เกิดจากการที่เราได้คุยกันก่อนด้วย แต่ว่าที่โดนมาตลอดคือหน้า หน้าไม่รับแขก คือพยายามแก้แล้ว พยายามแบบอมยิ้มก็แล้ว ไปฉีดเขาเรียกบล็อก บล็อกให้แบบมุมปากมันยิ้มก็ลองแล้ว คือลองทุกวิถีทางเพื่อที่จะไม่ให้คนแบบคิดว่าเราแบบเป็นคนหน้าเหวี่ยงหน้าวีน พร้อมวีนตลอดเวลา
แต่ยิ่ง คือเป็นคนที่เวลาหน้านิ่งแล้วมันดุ แล้วมันดูหยิ่ง มันดูแบบมันดู fierce เกินไป อาจจะเป็นเพราะตาโครงหน้าที่มันชัดมากเกินไป มันก็เลยรู้สึกว่าคนอาจจะเข้าใจผิดเราได้ง่าย แต่พอหลาย ๆ คนที่มาเจอเราจริง ๆ แล้ว เราไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นน่ะ เราเป็นคนบ้าบอ เฮฮา สนุก ติงต๊องสุด ๆ เต็มที่สุด ๆ ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรหรอก เอาไว้ถ้าคนที่เขามาอยู่กับเราจริง ๆ แล้วเขาก็น่าจะรู้แหละว่าเราเป็นคนยังไง อะไรที่มันปล่อยผ่านได้ก็ปล่อยผ่านไป มันอาจจะเป็นกำแพงอย่างนึงที่ทำให้คนกลัวเราก็ได้
The People : อยู่ในแสงสปอตไลต์แล้วมักจะมีข่าวว่าเราเหวี่ยงเราดุเราวีน แต่พี่น้ำตาลไม่ออกมาแก้ข่าว
ชลิตา : พยายามพูดไปแล้วค่ะ แต่บางคนเขาก็ คือต่อให้เราแก้ข่าวยังไง ถ้าคนเขาไม่ชอบ ยังไงก็ไม่ชอบ เราไปเปลี่ยนความคิดเขาไม่ได้ คือคนมัน anti ไปแล้วมันก็ anti ไปตลอดน่ะค่ะ คือนอกจากเขาจะมาอยู่ชีวิตกับเราจริง ๆ มาใช้ชีวิตกับเรา ร้อยพ่อพันแม่ไม่มีใครเปลี่ยนความคิดเราได้ ก็เลยรู้สึกว่าก็ปล่อยให้เป็นสิ่งที่ทุกคนคิดเอา แต่ว่าเราก็แคร์เฉพาะคนที่เขาโอเคกับเราดีกว่าแค่นั้น แต่ว่าถามว่ามาแก้ข่าวไหม เราก็พูดไปหลายรอบแล้ว เราก็ไม่รู้ว่าคนที่เขาเข้าใจในสิ่งที่เราสื่อสารเขาจะเข้าใจแบบไหน
The People : สิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกดีที่เกิดมาเป็นน้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์
ชลิตา : สิ่งที่ทำให้รู้สึกดี ภูมิใจเหรอคะ จริง ๆ ก็ตัวเองนี่แหละค่ะที่มีความอดทนในทุก ๆ ด้าน โชคดีมาก ๆ ที่เป็นคนอดทนมาก ๆ แล้วก็เป็นคนไม่ค่อยพูดค่ะ เป็นคนที่อยากทำก็คือจะทำ ทำก็ทำเต็มที่ ต่อให้เวลามันจะแบบต้องใช้เวลาเยอะแค่ไหน เราก็จะทำ ๆๆ หมดก็ดีใจกับตัวเองตรงนี้ ภูมิใจกับตัวเองตรงนี้ ตรงที่เป็นคนขยันเป็นคนอดทนสู้ สู้ชีวิต ก็โชคดีอย่างนึงตรงที่เราแบบเกิดมาในครอบครัวที่ไม่ได้รวยตั้งแต่แรก ถ้าเรารวยมาตั้งแต่แรกเราก็คงจะอาจจะไม่ได้รู้ว่าความอดทนหรือความเหนื่อยลำบากมันเป็นยังไง คือเรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนอดทนสูงค่ะ เป็นคนถ้าไม่ได้แบบ เขาเรียกอะไรเหลืออดจริง ๆ ถ้าภาษาบ้าน ๆ เข้าใจป่ะ ถ้าไม่ใช่เหลืออดจริง ๆ ก็จะไม่พูด แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยพูด คือถ้าพูดนี่คือมันสุด ๆ แล้ว
The People : ส่วนใหญ่เรื่องไหนที่ทำให้เราคือไม่ได้จริง ๆ เรื่องนี้
ชลิตา : เรื่องงานไม่เกี่ยง แต่ว่าเรื่องคนดูถูกหรือว่ามา judge เราจะไม่ค่อยชอบเลยค่ะ คือเป็นคน ตาลเป็นคนไม่ค่อย ไม่ judge คนอื่น แล้วก็ไม่ดูถูกคนอื่นค่ะ รู้สึกว่าการดูถูกคนอื่นเนี่ยมันทำให้เหมือนลดคุณค่าในตัวเองด้วยซ้ำคือมันเป็นการที่คุณน่ะลดคุณค่าในตัวคนอื่นเพื่อปิดรอยรั่วของตัวเอง ก็เลยรู้สึกว่าสิ่งนี้เราไม่ควรที่จะปล่อยผ่าน
The People : คิดว่าการที่คนเริ่มบุลลีกันมันเกิดจากอะไร เคยประสบปัญหานี้ไหมในชีวิตตัวเอง
ชลิตา : เคย ๆ ที่มันมีนี่ไงวลีเด็ดที่บอกไม่มีใครดีเท่าแม่มึงแล้ว อันนั้นมันก็เหมือนแบบเป็นสิ่งที่ตัวเองแบบปากเร็วเกินไปด้วยแหละ มันอาจจะมีทั้งดีและก็ไม่ดี คนมองเราดีอาจจะไม่ดีหรือสะใจ แต่ว่ามันก็ถ้ากลับไปแก้ได้ก็คืออาจจะไม่พูดตรงนั้นไป เพราะว่าคิดเร็วเกินไปค่ะ คือตอนนั้นเหมือนแบบว่าตาลไลฟ์อยู่ แล้วก็มีคนเข้ามาคอมเมนต์เหมือนเห็นหลายหลายเมนต์แล้ว คือเขาก็พยายามเมนต์ให้เราเห็นแหละ แล้วก็แบบเนี่ยภาษาก็ไม่ได้ไม่เห็นจะดีเท่านู่นนี่นั่นเลย เราก็แบบคือเห็นหลายรอบแล้วจนมันเหมือนสมองมันคิดไปแล้ว ปากมันยิ่งไวไปอีก มันก็เลยกลายเป็นพูดคำนั้นออกไป มันก็ถ้ากลับไปแก้ได้คงกลับไปแก้เหมือนกัน
แต่ว่ามันก็เป็น ตาลว่ามันก็เป็นคำพูดอย่างนึงที่แทนได้ในหลาย ๆ โมเมนต์เหมือนกันนะ ไม่ว่าจะแบบคุณจะทำอะไร ถ้าสมมุติว่าแบบมันไม่ได้แบบมีใครเพอร์เฟกต์ขนาดนั้นน่ะทุกคนแม่งมีจุดด้อยของตัวเอง ไม่มีใครเก่งไปทุกเรื่องหรอก ถ้าใครเก่งไปทุกเรื่องก็คงทำทุกอย่างได้บนโลกใบนี้แล้ว มันคงไม่มีอาชีพนู้นมาสอนหรือแบบมีครูเฉพาะด้านหรอก นั่นแหละ
The People : อยากให้เล่าให้ฟังหน่อยว่ารายการ SELLVIVOR เกี่ยวกับอะไร
ชลิตา : รายการ SELLVIVOR ภารกิจพิชิตยอดขาย ก็เป็นรายการเกี่ยวกับเอายอดนักขายมาแข่งขันกันในรายการค่ะ ซึ่งทุกวันนี้โลกของออนไลน์มันมาแบบกำลังมากำลังบูมมาก ๆ แล้วทุก ๆ คนสามารถที่จะเป็นนักขายได้หมด แล้วก็สามารถที่จะหยิบเงินในอากาศมาได้ทุกคน มันไม่ใช่แค่เป็นเน็ตไอดอล หรือว่าไม่ใช่แค่เป็นนักแสดง หรือเป็นดารา หรือเป็น influencer ทุกคนสามารถที่จะทำอาชีพนี้ได้หมด แล้วซึ่งอันนี้มันเหมือนเป็นรายการแรกในประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำที่จะแบบรวมยอดนักขายมาแข่งขันกันในการขายของภายในเวลาที่กำหนด แล้วบวกกับการมีเทรนเนอร์มาช่วย เพราะว่าเทรนเนอร์เนี่ยก็จะมีพี่ไอซ์ (อภิษฎา เครือคงคา) มีพี่ขวัญ (อุษามณี ไวทยานนท์) มีพี่นัท (นิสามณี เลิศวรพงศ์) ซึ่งเขาก็จะเป็นตัวแม่ในสายของเขาอยู่แล้วทั้งแบบนางร้าย นางเอก influencer มันก็แล้วแต่ว่าแบบอะไรคือถูกจริตกันก็ค่อนข้างที่จะแบบ Amazing แล้วก็สนุกกับสกิลการขายของนักขายด้วยค่ะ
The People : มีของประเภทไหนไหมที่เราขายเอง เป็นสิ่งที่เราเริ่มขาย แล้วเรารู้สึกภูมิใจกับการที่สิ่งนี้ขายออกไปได้
ชลิตา : จริง ๆ เรื่องของการขายของด้วยตัวเองเนี่ยน่าจะเริ่มจากการที่เขามาจ้างเราค่ะ แล้วตอนนั้นแบบ เฮ้ย การขายของมันสนุกขนาดนี้ คือเราได้อ่านคอมเมนต์ แล้วเราก็ขายของป้ายยาคนอื่นไปเรื่อย ๆ คนก็เข้ามาแบบมาซื้อของในสิ่งที่เราแบบขายของไปจริง ๆ แล้วตาลเป็นคนที่เวลาที่จะขายอะไรเราจะเป็นคนใช้จริง ๆ แล้วลูกค้าก็เลยมาจ้างเราเพื่อที่จะให้เราไปขายของ แล้วเราก็จะรู้ข้อมูลทุกอย่าง เพราะว่าเป็นคนที่จะใช้จริง ๆ จะไม่อยากหลอกลวงผู้บริโภคค่ะ ก็เลยแบบ เฮ้ย มันสนุกจริง ๆ นะกับการขายของพูดไป ๆ เม้าท์ไป แล้วก็แบบป้ายยา สนุกมาก รู้สึกว่าจำไม่ได้ว่าขายอะไรอันดับแรก แต่เป็นงาน พอเป็นงานแล้วมันเหมือนพอเราเหมือนคิดได้ว่า เอ้ย ถ้าเป็นเรามาขายของเราเองมันก็คงจะดีเนาะ เพราะเราก็ไปช่วยขายคนอื่นเขาเยอะเหมือนกัน
The People : มีอะไรที่เราขายออกไปแล้วรู้สึกว่า เอ้ย มันไม่น่าเป็นสิ่งที่สามารถขายได้ แต่ขายออกไปได้มีบ้างไหม
ชลิตา : ไม่น่าขายไปได้เหรอ เดี๋ยวขอคิดแป๊บ ไม่น่าขายไปได้น้ำพริกมั้งคะ น้ำพริก คือไม่น่าเชื่อว่าคนไทยชอบกินน้ำพริกเยอะขนาดนี้ คนชอบกินน้ำพริกเยอะมาก แล้วก็ส่วนใหญ่คิดว่าน่าจะเป็นแบบ Beauty อะไรที่มันน่าจะขายง่าย ๆ แต่ว่าอันนี้เป็นน้ำพริกที่ขายได้เยอะมาก ๆ เป็นแบบทำเงินได้เยอะเหมือนกัน
The People : นอกจากขายแล้วมีอะไรที่เรารู้สึกว่าซื้อเข้ามาแล้วเปลี่ยนชีวิตเราไหม
ชลิตา : เปลี่ยนชีวิตเหรอ ไม่มี เพราะว่าเราก็ซื้อมาเพื่อที่จะใช้อยู่แล้ว คือมันเป็นเรื่องที่เราแบบห้ามตัวเองไม่ได้แค่นั้นเองกับการที่เราจะซื้อของ เพราะว่าทุกวันนี้โลกออนไลน์เนาะ มันมีการแบบซื้อที่มันง่ายแค่กดปุ่มใส่ตะกร้าแล้วจ่ายตังค์แค่นั้นคือจบเลย มันก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันเปลี่ยนชีวิต แต่ถามว่าเปลี่ยนชีวิตยังไง มันอาจจะมาหมกมุ่นอยู่กับการหาของ หรือว่าช็อปปิงมากเกินไป เราอาจจะเสียเงินเยอะเกินไป เป็นไหม แบบว่า 7.7 6.6 เซล ใช่ไหม แล้วเราต้องตั้งตารอมาดูเวลา อ้าว ตี 3 ตี 4 แล้ว
The People : ผู้ชมจะได้เห็นคุณในบทบาทไหนบ้างในรายการ SELLVIVOR
ชลิตา : ก็อันนี้เป็นบทบาทในการเป็นพิธีกรครั้งแรกค่ะที่แบบลงเป็นแบบพิธีกรหลักเลยค่ะก็คู่กับพี่แฟรงค์ (ภคชนก์ โวอ่อนศรี) แล้วก็รู้สึกว่าอันนี้คือเป็นพิธีกรที่เราแบบกลัวมาก จริง ๆ ก็กลัวการเป็นพิธีกรมาตลอด ด้วยความที่พูดมันต้องฉะฉาน มันต้องเอาคนดูอยู่ มันต้องพูดแล้วสื่อสารชัดเจน แล้วเป็นคนพูดไว แล้วก็คิดคำพูดไม่ค่อยออก ก็จะแบบ เออ อะไรประมาณนี้ แต่ก็พยายามฝึกฝนไปเรื่อย ๆ แต่ก็พยายามอยากแบบก้าวผ่านความกลัวของตัวเองก็เลยรับพิธีกรตรงนี้ ก็พอได้ทำแล้วก็ตื่นเต้น ตื่นเต้นมาก ๆ ตื่นเต้นเหมือนตอนประกวดใหม่เลย รู้สึกแบบอะไรมันใหม่ไปหมดทุกอย่างแต่ก็โชคดีได้พี่แฟรงค์ด้วย แล้วพี่แฟรงค์เขาก็พยายามเหมือนส่งให้เราพยายามเรียนรู้หลาย ๆ อย่างแล้วก็จับจังหวะช่องดี ๆ
The People : อะไรคือแรงผลักดันให้คุณอยากจะก้าวข้ามความกลัวเหล่านั้น
ชลิตา : คือจริง ๆ ตาลเป็นคนที่อยากทำอะไรใหม่ ๆ ค่ะ เป็นคนที่ชอบทำอะไรใหม่ ๆ เป็นคนที่ท้าทาย ชอบท้าทายตัวเอง คืออะไรที่แบบอยู่ในวงการน่ะ เราไม่เคยทำสักอย่างเลยนะไม่เคยทำเลย พอได้มาทำแล้วมันรู้สึกแปลกใหม่หมด แล้วมันทำให้เราได้เรียนรู้ชีวิตลิมิตของตัวเองด้วย ก็เลยรู้สึกว่าอยากลอง เป็นคนที่ไม่รู้ ยิ่งกลัวอะไรจะยิ่งอยากลอง อย่างแบบไปดำน้ำ กลัวการลงไปใต้ทะเลมาก เพราะเคยแบบจมน้ำ เรียน ไปดำ ไปว่าย ไปทำ ทำจนกว่าเราจะแบบไม่กลัว แล้วก็แบบทำไปก่อนเดี๋ยวมีอะไรเดี๋ยวคนมาช่วยเองแหละ ทำไปก่อนค่อยว่ากันก็เลยจะแบบไม่เป็นไรดีแล้วที่ตัวเองเป็นคนอย่างนี้ กล้าได้กล้าเสียกล้าสู้ อยากทำอะไรก็คือทำ ต่อให้กลัวแค่ไหนก็จะลองทำดู ถ้ามันไม่ได้ไม่เวิร์กก็ค่อย ๆ เดินออกมา ค่อยถอยหลังออกมา
The People : ดูเหมือนมีสิ่งที่อยากลองทำหลายอย่าง แต่การที่เราเกิดมาเป็นผู้หญิงมันลำบากในการใช้ชีวิตในสังคมนี้ไหม
ชลิตา : จริง ๆ มันก็ลำบากนะคะด้วยความที่มัน เราอยู่ในสังคมไทยมันอยู่ในสังคมที่ค่อนข้างจะตีกรอบ แล้วเราทำอะไรนิด ๆ หน่อย ๆ เนี่ยมันอาจจะเป็นสิ่งที่ผิดสำหรับสังคมก็ได้ แล้วยิ่งเราคือบอกได้เลยว่าตัวตาลเองเนี่ยเป็นคนที่เป็นนางงามที่ไม่ได้นางงามเข้าใจป่ะ เป็นนางงามที่ไม่ใช่เวย์ของนางงามจริง ๆ คือเราไม่ได้เป็นคนแบบรักเด็ก ชีวิตนี้ต้องแบบอุทิศเพื่อทุกคนอะไรขนาดนั้นน่ะ เราก็มีความเห็นแก่ตัวในตัวเองอยู่ในระดับหนึ่งเหมือนกัน แต่ก็รู้สึกว่าอะไรที่เราทำได้แล้วไม่ลำบากตัวเองก็จะทำ ก็เลยคิดว่าอะไรที่เป็นผู้หญิงแล้วมันค่อนข้างที่จะขัดต่อสภาพแวดล้อมของสังคมเนี่ยก็ค่อนข้างที่จะเยอะ
คนก็เลยมาดราม่าที่ตาลเยอะไง เพราะเราเป็นคนตรง ๆ แล้วเราพูดตรง ๆ บางคนอาจจะไม่ชอบ มันอาจจะดีไปอีกเวย์นึงหรือไม่ดีอีกเวย์นึงก็ได้ แต่ก็อยู่ที่เราเลือก ก็เลยรู้สึกว่าพยายาม พยายามรับมาแล้วก็เรียนรู้ทุก ๆ อย่าง แล้วก็พยายามปรับไปเรื่อย ๆ ค่ะ แล้วทุกคน ตาลเชื่อว่าทุกวันนี้ สมัยนี้มันก็พยายามปรับ คนก็กล้าที่จะพูดกล้าที่จะคิดมากยิ่งขึ้น มันไม่ได้มีการตีกรอบเหมือนเดิมมากขึ้นแล้วค่ะ คนกล้าที่จะพูดกล้าที่จะเป็นตัวเองกล้าที่จะแสดงออกมากยิ่งขึ้น ก็เลยรู้สึกว่าอะไรที่มันยังปรับไม่ได้ ก็ค่อย ๆ แก้ไปก็ค่อย ๆ ปรับไปแค่นั้นเอง เพราะว่าทุกวันนี้ความเท่าเทียมเนาะ มันก็เริ่มเท่าเทียมแต่อาจจะไม่ได้เท่าเทียมจ๋าขนาดนั้นหรอก คนอาจจะบอกว่าผู้หญิงผู้ชายเท่าเทียมกัน แต่จริง ๆ มันก็ยังไม่ได้มีแบบ 100% มากขนาดนั้น
The People : อยากจะบอกอะไรถึงคนที่ไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง
ชลิตา : มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียเนาะ ถ้าเรากล้าที่จะพูดมากขนาดนั้น มันอาจจะมีทั้งข้อเสียเยอะกว่าหรือข้อดีที่คนเข้ามาชื่นชม แต่ตาลอยากจะบอกว่าการที่เราจะเป็นตัวเองได้ เราต้องเป็นตัวเองโดยที่ไม่เดือดร้อนคนอื่น แล้วก็ไม่เบียดเบียนคนอื่น เป็นตัวเองได้แต่อย่าทำให้คนอื่นรู้สึกว่า เอ้ย มึงเป็นตัวเองขนาดนี้เลยเหรอเข้าใจป่ะ คือเราก็ต้องอยู่ในกฎระเบียบของสังคมอยู่ เราก็ต้องอยู่กับคนหมู่มาก อยู่กับคนทั่วไป นอกจากคุณจะแบบอยู่คนเดียวแล้วก็เป็นตัวเองได้ 100% ค่ะ
อย่างที่พี่มิกซ์ (Badmixy) บอกว่าถ้าเป็นคน ถ้าเป็นตัวเองแล้วมันลำบากคนอื่นก็เป็นคนอื่นบ้างก็ได้ มันก็บ่งบอกอย่างนั้นจริง ๆ แต่ว่าถ้าคนอยากจะมั่นใจในตัวเองเพิ่มมากขึ้น ก็ลองค่อย ๆ พยายามฝึกตัวเองดูค่ะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดจากการฝึกฝน มันเกิดจากการเรียนรู้ ถ้าเราเรียนรู้แล้วก็ฝึกฝนไปเรื่อย ๆ มันก็อาจจะทำให้เรารู้ว่าตัวเองชอบอะไร ตัวเองต้องการอะไรแค่นั้นก็โอเค เอาเป็นว่าเอาความสุขของตัวเองใส่เข้าไปด้วยค่ะ บางทีเราชอบลืมความสุขของตัวเอง ลืมรักตัวเอง รักคนอื่นมากกว่า ก็ลองใส่ตรงนี้ลงไป
The People : เคยลืมรักตัวเองบ้างไหม
ชลิตา : ลืม เคยลืม แต่ก่อนนี้ลืมบ่อยมาก ไม่เคยแบบมากอดตัวเองเลยสักนิดนึงว่าแบบ เอ้ย วันนี้เราทำดีแล้ว หรือว่าเราเก่งแล้วนะ ไม่เคยบอกตัวเองเลย พอคนอื่นด่ามา เราก็จะแบบร้องไห้กับตัวเองแล้ว แต่เรายังไม่เคยมานั่งมองกระจกแล้วคุยกับตัวเองเลยว่าแบบ เอ้ย วันนี้เราทำมาขนาดนี้ เราเก่งมากเลยนะ เรามีลมหายใจจนถึงทุกวันนี้ได้นี่คือเราเก่งมากแล้วนะ คือตอนแต่ก่อนนี้ไม่ แต่ว่าทุกวันนี้พยายามคุยกับตัวเองมากยิ่งขึ้น พยายามบอกกับตัวเองมากยิ่งขึ้นค่ะ
The People : หากให้เขียนบันทึกถึงตัวเองก่อนที่จะจากโลกนี้ไปแล้ว เราอยากฝากอะไรให้คนบนโลกนี้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนที่ชื่อน้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์ อยู่บนโลกนี้
ชลิตา : โห เชื่อไหมว่ายังไม่เคยคิดเลยว่าเราจะฝากตัวเองหลังจากที่เราตายไปแล้วเนี่ยกับบนโลกใบนี้ยังไง คิดว่าในชีวิตนึงอยากทำอะไรที่มันประสบความสำเร็จแบบจัด ๆ เลย คือตอนนี้เรากำลังอินกับการเป็นนักแสดง แล้วก็รู้สึกว่ามันคือจิตวิญญาณอย่างนึงที่เราไม่เคยทำมาก่อน แล้วเราได้มาทำ แล้วมันแบบ Amazing มากจริง ๆ ต้องนับถือใจนักแสดงทุกคนเลยที่เขาทำแล้วมันออกมาแบบเพอร์เฟกต์มาก ๆ ก็เลยรู้สึกว่าอยากให้ทุกคนแบบจารึกในการเป็นนักแสดงในครั้งหนึ่งในชีวิตที่แบบอยากมีผลงาน ๆ นึงที่เข้าไปอยู่ในจิตใจของทุกคนได้อยากมาก ถ้าได้ทำแล้วหลังจากตายก็คงจะ Completed มากเลยค่ะ
The People : อยากจะขอบคุณอะไรตัวเองบ้างไหมกว่าที่เราจะมาถึงจุด ๆ นี้
ชลิตา : จริง ๆ ก็ต้องขอบคุณตัวเองในทุก ๆ ด้านค่ะ ไม่ว่าจะมีเรื่องปัญหาอะไรเข้ามาในชีวิต เราพยายามกลับมานั่งทบทวนกับตัวเอง แล้วก็บอกกับตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นมันดีเสมอ แล้วก็ทำออกมาได้ดีแล้วก็ขอบคุณในทุก ๆ โมเมนต์ที่เรามีกันและกันไปตลอดจนถึงตอนนี้ค่ะ ขอบคุณที่ตัวเองไม่ท้อไปก่อน เพราะว่ามันมีโมเมนต์ที่จะท้อแบบเยอะมาก ๆ แล้วก็อยากออกจากตรงนี้มาก ๆ เพราะว่ามัน ถ้าทุกคนมาอยู่ตรงนี้มันก็น่าจะรู้ว่ามันมีความวุ่นวายมากขึ้น ด้วยความที่เราเป็นคนในสาธารณะใช่ไหม ความส่วนตัวมันก็จะต้องหายไปอยู่แล้วแน่นอน ก็เลยรู้สึกว่าขอบคุณที่ตัวเองไม่ย่อท้อ ขอบคุณค่ะ
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : กัลยารัตน์ วิชาชัย