26 พ.ย. 2561 | 17:35 น.
เวลาพูดถึงภาพยนตร์อีสาน หลายคนมักนึกถึงภาพความลำบากของตัวละครที่ใช้ชีวิตริมทุ่งนาห่างไกลความเจริญ ทำงานตรากตรำแทบตายกว่าจะได้ข้าวกินสักมื้อหนึ่ง หนำซ้ำความรักก็มักไม่สมหวัง เพราะสาวเจ้ากลับเลือกแต่งงานกับชายหนุ่มฐานะดี กลายเป็นภาพจำที่คนทั่วไปเห็นในภาพยนตร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าอีสานใน “ไทบ้าน เดอะซีรีส์” มันไม่ใช่อีสานแบบเดิมที่เรารู้จัก หนังนำเสนอภาพอีสานร่วมสมัยที่ตัวละครใช้ชีวิตอยู่กับความศิวิไลซ์ อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยี ซึ่งหลอมรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันเป็นที่เรียบร้อย และนั่นก็ทำให้ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จเหนือภาพยนตร์อีสานเรื่องอื่นๆ The People จึงชวน ด้งเด้ง - ณัฐวุฒิ แสนยะบุตร (จาลอด), นะโม - ธันวาพร นาสมบัติ (ครูแก้ว) และ ฟิฟิล์ม - สิริอมร อ่อนคูณ (หมอปลาวาฬ) สามนักแสดงนำหลักผู้เกิดและเติบโตในภาคอีสานเต็มตัว มาคุยกับเราถึงความเป็น “อีสาน” ม่วนๆ สไตล์ที่ราบสูงเรื่องนี้ The People: เรามักเห็นภาพความลำบากในหนังอีสานสมัยก่อน คุณเคยสัมผัสความลำบากแบบนั้นไหม ธันวาพร: เคยค่ะ ตอนเด็กๆ ลำบากนะคะ พวกหนูก็เป็นเด็กบ้านนอก วิ่งเล่นตามถนนดินแดงเหมือนกัน ณัฐวุฒิ: ถามว่าสมัยก่อนลำบากไหม มันก็ลำบากครับ แต่ความเป็นพ่อเป็นแม่เขาคงไม่อยากเห็นลูกตัวเองลำบากหรอก เขาก็จะเลี้ยงดูประคับประคองลูกเป็นอย่างดี เราก็เห็นความลำบากของพ่อแม่ตั้งแต่เรายังเป็นเด็กเหมือนกัน สิริอมร: ถึงใครไม่เคยเห็น พ่อแม่ก็จะเล่าให้ฟังค่ะ The People: รู้สึกอย่างไรที่ไทบ้านฯ นำความร่วมสมัยมาใส่ในภาพยนตร์อีสาน ณัฐวุฒิ: ก็ดีนะครับ มันเปิดโลกกว้างขึ้นให้คนอื่นเห็นว่าคนอีสานไม่ได้อยู่แค่ทุ่งนา ทำนา หรือทำสวนเพียงอย่างเดียว ธันวาพร: ไทบ้านฯ เป็นหนังอีสานที่ไม่ได้ใส่ผ้าถุง เป็นหนังอีสานปัจจุบัน เด็กวัยรุ่นในหนังก็ใช้ชีวิตแบบเด็กวัยรุ่นปัจจุบันเลย ณัฐวุฒิ: เรียล! เป็นปัจจุบันไปเลย The People: คุณคิดว่าคนอีสานปี 2018-19 เป็นอย่างไร ณัฐวุฒิ: เป็นคนอีสาน 4.0 ครับ มันก็ทันๆ กันหมดแล้ว เดี๋ยวนี้แม่เล่น Facebook เก่งกว่าผมอีก ธันวาพร: เขาก็ดู YouTube เล่น Facebook เล่น Line เหมือนคนกรุงเทพฯ แต่ตอนเล่น Facebook ต้องระวังนะ ณัฐวุฒิ: ทำไมครับ ธันวาพร: เพราะมีแม่เป็นเพื่อน (หัวเราะ) The People: ทำไมคนอีสานถึงเฮฮาตลอดเวลา ณัฐวุฒิ: คนอีสานขี้เล่นครับ อะเลิร์ทตลอดเวลา คนภาคอื่นอาจคิดว่าคนอีสานเสียงดัง เพราะว่าเขามีความสนุกสนานในตัวอยู่แล้ว เขามีนิสัยแบบนี้แหละครับ แต่เขาไม่ได้คิดอะไรมาก เป็นคนมักม่วน ชอบความสนุก The People: วัฒนธรรมอีสานมักเป็นกิจกรรมหมู่คณะ จึงทำให้เรากลมเกลียวมากกว่าหรือเปล่า ณัฐวุฒิ: ช่วยเยอะเลยครับ เช่น การร่วมกันทำบุญใหญ่ ทอดผ้าป่า ทอดกฐิน หรือแห่บวชนาค มันเป็นการรับบุญร่วมกัน แต่ก่อนเป็นรถเข็นกลองยาว ตอนนี้เป็นรถแห่กลองยาวแทน แต่ยังมีเครื่องดนตรีปกติ สิริอมร: ผู้เฒ่าเด็กน้อยก็เต้นแห่กันไป ธันวาพร: อีสานมีหมอลำด้วยเนอะ คนเต็มหน้าฮ้านเลย งานแต่งงานบวชทีไร ได้เจอเพื่อนๆ ก็สนุกดี The People: อะไรคือเสน่ห์ของคนอีสานที่กรุงเทพไม่มี ณัฐวุฒิ: ความเรียบง่ายครับ บรรยากาศ ความสงบ วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ ธันวาพร: เวลาทำกับข้าว เราจะแบ่งบ้านข้างๆ สิริอมร: กินข้าวด้วยกัน อยู่เป็นครอบครัว เรียกว่าเป็นญาติทั้งหมู่บ้านค่ะ เวลาไปเจอกักต่างจังหวัดหรือต่างภาค ก็จะคุยกันและสนิทกันง่าย แบบ “คนอีสานด้วยกันนิ” เพราะเราจะตบมุกกันได้ มองตาก็รู้ใจแล้ว ณัฐวุฒิ: มันสนิทใจกันเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง เช่น เมื่อวานผมนั่งแท็กซี่ไปสอบที่มหาวิทยาลัย ตอนแรกก็พูดภาษากลางกันกับคนขับ ผมก็นั่งเล็งแกอยู่ว่าเป็นคนอีสานใช่ไหม แล้วแกก็พูดกลางตกคำอีสาน ผมเลยท้วงเลย “เป็นคนไส” ก็เลยรู้ว่าเป็นคนร้อยเอ็ด เป็นคนบ้านเดียวกัน ทีนี้ก็คุยกันยาวเลย และค่ามิเตอร์แท็กซี่เศษเกิน 8 บาท แกก็ลดให้ ไม่เอาเงิน สิริอมร: คนอีสานใจดี และจริงใจด้วยนะคะ (ยิ้ม) The People: อะไรคือเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่อีสานไม่มี ณัฐวุฒิ: เมืองศิวิไลซ์ แสงสี ตึก รถไฟฟ้า ของกินมากมาย มีคนหลายแบบ กรุงเทพฯ มีทุกอย่าง ธันวาพร: เหมือนที่เขาบอกว่า “กรุงเทพฯ ชีวิตดีๆ ที่ลงตัว” The People: จริงเหรอ ทุกคน: (หัวเราะ) The People: ชอบบรรยากาศบ้านหรือเมืองมากกว่ากัน ธันวาพร: ต้องชอบบ้านอยู่แล้วค่ะ แต่ว่าเราไม่ได้อยู่บ้านตลอด บางทีก็ต้องมาทำงาน เราก็ต้องปรับตัว ณัฐวุฒิ: เราเลือกไม่ได้ครับ เราอยากอยู่บ้านแต่ว่าชีวิตก็อาจไม่ก้าวหน้าก็ได้นะ ต้องเดินทางเข้ามาในเมือว แต่สุดท้ายแล้วทุกคนก็อยากกลับบ้านอยู่ดี สิริอมร: หนูว่าเป็นกันทุกคนค่ะ คนกรุงเทพฯ เองก็เหมือนกัน พอมาอยู่ต่างจังหวัดก็อยากกลับเมือง ถึงแม้ต่างจังหวัดจะสวยงามกว่า แต่เขาก็อยากกลับบ้านอยู่ดี ยังไงทุกคนก็เลือกบ้านค่ะ The People: ความสำเร็จของภาพยนตร์ไทบ้านฯ ทำให้ชีวิตคุณเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง ณัฐวุฒิ: ที่เปลี่ยนไปแล้วผมมีความสุขก็คือ การที่คนอื่นเห็นเราแล้วเขามีความสุข ผมเห็นรอยยิ้มของเขา นั่นแหละคือความสุขของผมครับ ทุกคน: (ปรบมือ) ณัฐวุฒิ: ตอบหล่อเนอะ เขียบ!