21 มิ.ย. 2562 | 15:01 น.
การขึ้นเวทีร้องแรปต่อหน้าผู้ชมนับร้อยนับพัน การลงแข่งขันไตรกีฬา ที่ต้องวิ่ง, ว่ายน้ำ และจักรยานต่อเนื่องกันหลายชั่วโมง หรือแม้แต่เรื่องชวนเขินอย่างการแต่งเพลงจีบหญิง นี่คือความท้าทายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของ โอซีอุส (Ozeeoos) อำนาจ ศรีสังข์ แรปเปอร์สายตาพิการ ผู้ก้าวข้ามขีดจำกัดที่แม้แต่คนสายตาปกติหลายคนยังไม่สามารถไปถึง อะไรคือแรงขับเคลื่อนที่ค่อยผลักดันให้แรปเปอร์หนุ่มคนนี้ จากเด็กตาบอดในต่างจังหวัด ให้ก้าวขึ้นไปยืนบนเวทีสปอตไลท์ของรายการแข่งขันแรปที่ใหญ่ที่สุดในประเทศรายการหนึ่งได้อย่างมั่นใจ หาคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ อำนาจ ศรีสังข์ : สวัสดีครับผมอู๊ดครับ อำนาจ ศรีสังข์ โอซีอุส เดอะแรปเปอร์ ครับผม ตอนนั้นเรียนอยู่อัสสัมชัญสมุทรปราการ อยู่ ม.1 ผมเห็นรายการมันโฆษณารับสมัครเดอะแรปเปอร์ ใครอยากเป็นแรปเปอร์ซึ่งตอนนั้นผมก็ฟังเพลงแรปอยู่แล้ว ก็เลยมีพี่มาถามว่าอู๊ดสนใจไหม อยากลองไหม ผมก็เลยลองสมัครไป แล้วก็เลยได้ไปเข้าแข่งขันในรายการ ผ่านเข้ารอบไป ก่อนหน้านั้นผมเกิดที่บุรีรัมย์ ผมเป็นเด็กต่างจังหวัด เรื่องตานี่ก็คือเป็นมาตั้งแต่เกิดเลย ผมเป็นลูกคนที่ 3 แม่ก็จะห่วงเป็นพิเศษ แล้วก็อยู่ในครอบครัวที่ไม่มีใครตาบอดเลย ผมก็เคยเข้าเรียนที่โรงเรียนปกติ แต่ว่าตอนนั้นก็เรียนไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น แล้วก็มันยังไม่มีอุปกรณ์ที่จะมาช่วยเราในการเรียนหนังสือ ผมก็เลยได้เข้ามาเรียนที่โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพครับ ตอนนั้นผมเข้ามาเรียนตอนผมอายุ 8 ขวบแล้วก็คือเข้าเรียนช้ากว่าเกณฑ์ประมาณ 2-3 ปี เรียนไปเรื่อย ๆ จนจบประถม ก็เลยได้เรียนต่อที่อัสสัมชัญสมุทรปราการ ตอนมัธยม The People : ชีวิตในโรงเรียนเป็นอย่างไร อำนาจ ศรีสังข์ : แรก ๆ ก็มีปัญหาเป็นปกติครับในการปรับตัวอะไรต่าง ๆ แต่ว่าก็ผ่านมันมาได้ ตอนนี้ก็มีเพื่อนเที่ยวเล่นอะไรปกติ เราก็พยายามทำตัวให้ปกติที่สุดแล้วเพื่อนก็เข้าใจในสิ่งที่เราเป็น ก็เลยเป็นการช่วยเหลือเป็นการเข้าใจกันมากกว่า ผมก็ไปโรงเรียนปกติอะพี่ ผมก็นั่งบีทีเอสไปโรงเรียน แล้วก็ไปกินข้าวเที่ยวดูหนังเล่น เวลาเพื่อนพาไปเที่ยวดูหนังไปเที่ยวห้างครับ ก็คือไปปกติเลย เราก็เดินกอดคอเพื่อนไปปกติเลย โชคดีคือผมยังพอมองเห็นอยู่บ้างก็ยังดูหนังได้ในโรงหนัง แล้วก็จ่ายในราคาปกติ (หัวเราะ) หนังที่ผมชอบดูก็มีหลายแบบนะ คอมมาดี้ก็ชอบ หนังรัก หนังผี อย่างเรื่องล่าสุดที่ดูก็ล่าสุด Friend Zone ระวังสิ้นสุดทางเพื่อน The People : แล้วเคยมีประสบการณ์แบบ Friend Zone ไหม อำนาจ ศรีสังข์ : ปกติผมจะได้แล้วแฟนโซนเลย (หัวเราะ) มันเป็นเรื่องคารมครับคารม The People : เกี่ยวกับเสียงเพลงที่เราแต่งด้วยไหม อำนาจ ศรีสังข์ : ใช่ คือจริง ๆ แบบ first impression บางคนมองมา คนที่หน้าตาดีจะได้เปรียบในการที่แบบผู้หญิงที่เห็นแล้วเขาสามารถเข้ามาจีบได้เลย อย่างผมไม่ได้หล่ออะไรขนาดนั้น ผมก็เลยต้องพยายามสร้างจุดที่พิเศษให้กับตัวเอง เพื่อที่จะสร้างความน่าสนใจ ซึ่งผมใช้สิ่งที่ผมมีนั่นแหละสร้าง ผมเขียนเพลงได้ ผมแต่งเพลงได้ ผมเป็นโปรดิวเซอร์ได้ เพลงแรกที่แต่งจีบสาว พูดไปแล้วเขิน ผมแต่งเพลงแรกตอนอายุประมาณ 10 ขวบเป็นเพลงจีบสาว ตอนนั้นผมเรียนช้า 10 ขวบ ผมก็น่าจะอยู่ประมาณ ป.2 แต่งเพลงจีบรุ่นน้อง มันก็ตามประสาเด็ก ก็คือเริ่มรู้จักการชอบ เริ่มรู้จักความรักอะไรที่มันแบบเด็ก ๆ แบ๊ว ๆ อะไรแบบนี้ ผมเริ่มจากแต่งกลอนจีบก่อนพี่มันก็จะเป็นการแต่งกงแต่งกลอนทำการ์ดให้ แล้วก็พอคุยไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มแต่งเพลงให้ แล้วก็ติดสิครับ The People : พอจำเพลงที่แต่งได้ไหม อำนาจ ศรีสังข์ : เดี๋ยวร้องให้ฟังนิดหนึ่งก็ได้พี่ “อยากบอกให้รู้ว่ารักเธอรู้ไหม รักเธอมากมายที่รัก รักเธอ หัวใจฉันมีแต่เธอ อยากบอกให้รู้ว่ารักเธอได้ยินไหม หัวใจฉันมีแต่ภาพของเธอ ถึงตัวของฉันมันไม่เลิศเลอ แต่อยากบอกว่ารักเธอสุดหัวใจ” The People : ใช้วิธีนี้มาตลอด อำนาจ ศรีสังข์ : ใช้บ้าง ใช้ไปแล้วหลายคน (หัวเราะ) The People : เพลงล่าสุดที่แต่งเพื่อแข่งในรายการ อำนาจ ศรีสังข์ : พูดถึงเพลงที่แข่งในรายการใช่ไหม ตอนนั้นผมเลือกเพลงคืนจันทร์มา เพลงคืนจันทร์มันพูดถึงคนที่มองดวงจันทร์แล้วคิดถึงใครบางคน ผมก็เลยเอามาขยายความพูดถึงเรื่องเก่า ๆ อย่างนี้ว่าแบบเธอได้เราแล้วนี่ เธอผ่านเราไปแล้วเธอคงไม่สนใจเราหรอก แต่ว่าถ้าเธอไม่เหลือใครเธอมองที่ดวงจันทร์แล้วเธอจะคิดถึงเราหรือเปล่านะ อะไรประมาณนี้ จริง ๆ มันพูดยากนะมันต้องเป็นเรื่องจริงถึงจะพูดได้ The People : นอกจากแต่งเพลงแล้วยังได้ข่าวว่าเราเล่นไตรกีฬาด้วย อำนาจ ศรีสังข์ : คือตอนนั้นผมก็อยู่ในรายการแข่งขันกำลังมีทัวร์มีคอนเสิร์ต แต่ก็มีครูมาชวนว่า เฮ้ย! อู๊ด สนใจอยากไปไตรกีฬาหรือเปล่า ผมก็ไตรกีฬาเลยเหรอ ปกติเราวิ่งอยู่แล้วเราว่ายน้ำอยู่แล้ว ผมก็เลยว่าน่าสนใจผมอยากลองครับครู ก็เลยตกลงเข้าไปในคอร์ส แล้วก็ได้แข่งไตรกีฬาเป็นครั้งแรก The People : แรงผลักดันที่ทำให้เราก้าวข้ามขีดจำกัดอย่างการลงแข่งไตรกีฬา อำนาจ ศรีสังข์ : จริง ๆ ผมไม่ได้มองว่ามันเป็นการข้ามขีดจำกัดหรือว่าเป็นการทำอะไรที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองอะไรทั้งสิ้น ผมไม่ได้สนใจในจุดนั้นเลย คือที่ผมออกไปทำเพราะว่าผมอยากที่จะลองทำเท่านั้นเอง ก็เหมือนคนคนหนึ่งที่อยากจะวิ่ง คุณก็ต้องออกมาวิ่ง ถ้าชอบอะไรคุณจะต้องลงมือแล้วก็ทำกับมันจริง ๆ ซึ่งผมชอบผมอยากทำผมอยากลองไตรกีฬาผมก็เลยทำเลย ส่วนคนที่บอกว่ามันเป็นการก้าวข้ามขีดจำกัด น่าจะเป็นคำนิยามสำหรับการที่แบบผมมองไม่เห็นแล้วผมออกไปทำอะไรแบบนี้มากกว่า แต่ในส่วนตัวผม ผมมองว่าเป็นการที่ออกไปทำสิ่งที่ผมชอบสิ่งที่ผมรักเฉย ๆ ครับ The People : สิ่งที่เรารัก นอกจากร้องเพลง แต่งเพลง แล้วก็ไตรกีฬามีอะไรอีกหรือเปล่า อำนาจ ศรีสังข์ : ผมชอบทั้งไตรกีฬา การร้องเพลง ผมชอบการเป็นโปรดิวเซอร์ผมชอบที่จะครีเอทงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับงานเพลง ทำโฆษณา ผมชอบเวลาที่ผมได้ทัวร์คอนเสิร์ต ผมชอบเวลาที่มีคนดูผมเยอะ ๆ ข้างหน้าเวที มันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ทำให้ผมพยายามที่จะพัฒนา ๆ ตัวเองให้ได้เป็นมาตรฐานมากขึ้นอะ The People : เกี่ยวกับการยอมรับด้วยไหมว่าทำแล้วเราได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างมากขึ้น อำนาจ ศรีสังข์ : อืม...จริง ๆ ก็ใช่นะ เหมือนผมเป็นคนที่สร้างงานศิลปะแล้วมีคนมาชอบในศิลปะของผมก็ยอมรับในตัวผมไปด้วย ก็เป็นผลพลอยได้ The People : หลังจากเป็น Ozeeoos แล้วคนรอบข้างให้การยอมรับอย่างไร อำนาจ ศรีสังข์ : การเปลี่ยนแปลงเหรอ ก็ถือว่าดีขึ้นนะพี่คือเขาเข้าใจเรามากขึ้นกับสิ่งที่เราทำ จากที่เคยบอกว่าจะทำได้หรือเปล่า แต่ผมก็ทำมันได้อยู่ทุกวันนี้ อยู่ได้ อยู่รอดได้เพราะมัน The People : เป้าหมายในอนาคต อำนาจ ศรีสังข์ : จริง ๆ ผมอยากทำหลายอย่างเลยนะ ตอนนี้ผมเริ่มทำรายการเป็นรายการที่เราออกไปช่วยเหลือผู้ที่ด้อยโอกาสอ่ะพี่ ผมทำรายการชื่อรายการ “เสพสุข” คือไปทำรายการช่วยเหลือ อย่างเช่นไปทำกิจกรรมกับ เด็กกำพร้า เอาสิ่งของไปบริจาค ตอนนี้ก็ถ่ายเสร็จไปเทปหนึ่งแล้ว เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เป็นรายการของผมกับค่ายเพลงแรป ก็คือไปที่มูลนิธิเด็กโสสะแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชินูปถัมภ์แล้วก็เข้าไปให้แรงบันดาลใจน้อง ๆ จริง ๆ ผมมองว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง แต่ว่าจะค้นพบมาได้ยังไงเท่านั้นเอง ผมก็เลยอยากจะเข้าไปพยายามกระตุ้นให้น้อง ๆ หาทักษะของตัวเอง ก็คือน้องคนไหนอยากได้เปตอง อยากได้สนามฟุตบอลเราก็พยายามหาสปอนเซอร์เพื่อที่จะเข้าไปดูแลในจุด ๆ นี้ เพราะผมเคยเป็นคนที่ขาดมาก่อน ผมเป็นคนที่ไม่มีมาก่อน ผมก็เลยรับรู้ความรู้สึกว่ามันลำบากนะ ก็เลยอยากเข้าไปเติมเต็ม ผมมองว่าจากการที่เราเป็นผู้รับมาโดยตลอดแล้วมีโอกาสมาเป็นผู้ให้ในสังคม ซึ่งมองว่าถ้าเราเป็น inspiration สิ่งที่เราทำมันเปลี่ยนชีวิตคนคนหนึ่งได้ผมว่ามันจะเป็นมากกว่าเพลง เป็นมากกว่าศิลปิน มันมีคุณค่ามากกว่านั้นอะพี่ ก็เลย ตอนนี้พยายามสร้างงานตัวเองพยายามทำเป็นโปรดิวเซอร์ด้วยจริง ๆ ข้างหน้าอยากทำแบรนด์อะพี่ ผมชอบแฟชั่นผมยังพอมองเห็นอยู่บ้าง ผมก็ชอบแฟชั่นผมชอบการที่จะออกแบบ life style The People : อยากคืนโอกาสสู่สังคม เพราะเราเคยเป็นผู้ได้รับโอกาสด้วยหรือเปล่า อำนาจ ศรีสังข์ : ใช่ครับ สำคัญเลย คือผมเป็นผู้รับมาโดยตลอด ผมรับรู้ในสิ่งที่คนเข้ามาช่วยเหลือเรา มันเป็นอะไรที่เราได้โอกาสมาขนาดนี้ ผมก็เลยอยากจะคืนอะไรที่ผมสามารถทำได้ให้กับสังคมบ้าง ต้องขอบคุณมูลนิธิด้วยครับผม The People : ความพิเศษและคุณค่าที่แตกต่างจากคนอื่นของ Ozeeoos อำนาจ ศรีสังข์ : ถ้าตัด เรื่องแรป เรื่องร้อง เรื่องไตรกีฬาออก ก็คือผมมีความกล้า ผมกล้าและพยายามที่จะทำมันและผมรู้ว่าทำยังไงถึงจะได้มาในจุด ๆ นั้น ผมก็เลยเป็นคนที่มีเป้าหมายอยู่ตลอดเวลา ว่าเดือนหรือสองเดือนหน้า วันต่อไปเราจะต้องทำอะไร แล้วต้องทำอะไรให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วผมยังมองอีกว่าการให้การช่วยเหลือมันคือจุดเล็ก ๆ เลยมันที่สร้างสิ่งอะไรที่ดี ๆ ที่สุดในสังคม ถ้าเรามีการช่วยเหลือกันถ้าเรามีการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ผมว่าใจสุขกายสุข ทุกคนน่าจะเป็นนะ แบบเวลาที่ได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือใครแล้วเห็นคนอื่นเค้ามีความสุขแล้วเราก็จะมีความสุขไปด้วย มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้นะ ทั้งนั้นทั้งนี้ การช่วยเหลือการให้อยากให้ทุกคนช่วยกันในจุด ๆ นี้ครับ สร้างสังคมที่ดี สร้างสังคมที่มีความสุขไปด้วยกันครับผม สำหรับส่วนตัวผมนะครับตอนนี้ก็ทำชาแนล YouTube ครับชื่อว่าชาแนล Ozeeoos Right here แล้วก็มีเพจชื่อ Ozeeoos ครับ แล้วก็อินสตาแกรม Ozeeoos.ood ครับผม เข้าไปติดตามกันไดเราก็จะแชร์อะไรดี ๆ ช่วย ๆ กันครับผม สำหรับตอนนี้ก็กำลังจะปล่อยเพลงใหม่นะครับ เมื่อวานเพิ่งถ่ายเอ็มวีมา ก็ช่วยกันครับผมติดตามกันได้ที่ชาแนล Ozeeoos ครับผม