04 ส.ค. 2563 | 11:48 น.
ช่วงทศวรรษ 1980s “ไทยเพลย์บอย” เป็นสื่อโป๊เปลือยที่ออกมาสร้างความปั่นป่วน (disrupt) ให้กับวงการอย่างที่หลายคนไม่คาดคิด ขนาดที่คนทำอย่าง ชูชาติ ธนมงคลชัย หรือที่รู้จักกันในชื่อ “กังฟู” เองก็ยอมรับว่าหนังสือของเขา “ห่วย” เพราะเขาทำหนังสือไปด้วยความไม่รู้ แต่กลับกลายเป็นหนังสือโป๊ที่โดนใจตลาดและก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีหลังจากเปิดตัว ก่อนหน้านั้น กังฟูเริ่มต้นจากการฝึกงานในร้านถ่ายรูปตั้งแต่เข้าสู่วัยรุ่น ก่อนก้าวไปเป็นตากล้อง และนักข่าวบันเทิง เมื่อเห็นว่าโอกาสที่จะก้าวหน้าไปกว่านั้นไม่มีจึงคิดที่จะทำหนังสือ และต้องการไปเรียนรู้การทำหนังสือโป๊จากหนังสือที่เป็นอันดับ 1 อยู่ในเวลานั้น แต่เขาก็ต้องผิดหวังเมื่อถูกเมินเฉยอย่างไม่ให้เกียรติกัน แต่กังฟูแม้มี “การศึกษาต่ำ แต่ความใฝ่ฝันสูง” เมื่อถูกมองหมิ่นเขาก็ยิ่งดิ้นรน ทำหนังสือทั้งส่วนเนื้อหาและภาพถ่ายด้วยตัวเพียงคนเดียว แม้ล้มเหลวก็ไม่ยอมแพ้ นั่งคิดวิเคราะห์เพื่อสร้างอัตลักษณ์ที่แตกต่างให้กับไทยเพลย์บอย จนประสบความสำเร็จ และกังฟูก็ได้มาถ่ายทอดประสบการณ์การต่อสู้สู่ความสำเร็จกับ The People ดังบทสนทนาข้างล่างนี้ The People: ก่อนทำไทยเพลย์บอย เริ่มต้นจากอะไร กังฟู: ก็เป็นเด็กร้านถ่ายรูป ฝึกถ่ายรูปในร้าน อายุประมาณ 13-14 ปี เงินเดือนเท่าไรรู้มั้ย? 30 บาท ก็หัดถ่ายรูป แต่งรูป แต่งฟิล์ม เปลี่ยนน้ำรูป ตกแต่งตัดกรอบ สารพัด เพราะเป็นเด็กฝึกงานตามร้านถ่ายรูปก็ต้องทำทุกอย่าง คิดว่าจะเป็นช่างถ่ายรูปเท่านั้นเอง The People: แล้วอะไรเป็นสิ่งชักนำไปสู่การทำนิตยสาร กังฟู: เรื่องมันยาวนะ คนทุกคนมันก็อยากจะสูง อยากจะเด่น อยากจะดัง อยากจะมีรายได้ ฝึกร้านถ่ายรูปได้สัก 4-5 ปี พอมีฝีมือเล็กน้อยก็ออกไปอยู่ตามร้านถ่ายรูปที่เขาต้องการช่างแต่งฟิล์ม ช่างแต่งรูป แบบเด็กฝึกหัด เงินเดือน 500-600 บาท เราต้องออกไปเพื่อไปหาประสบการณ์ ไปหาเทคนิคใหม่ ๆ ของร้านถ่ายรูป ได้เงินเดือน 500-600 บาท จากเด็กฝึกหัดเดือนละ 30 บาท ก็คือการไต่เต้า อยู่ร้านถ่ายรูปจนกระทั่งฝีมือพัฒนาขึ้น เพราะในร้านก็จะมีช่างที่เขาเป็นก่อน เราก็ไปแอบดูเขา ลักจดลักจำเขา แล้วเราก็พัฒนาฝีมือเราขึ้นไปเรื่อย ๆ แต่ว่าอาเป็นคนอย่างหนึ่งคือ การศึกษาต่ำ แต่ความใฝ่ฝันสูง คือมีความรู้สึกว่า คนอื่นยังทำได้เลย ทำไมเราจะทำไม่ได้ เขาไม่ใช่วิเศษวิโสมาจากไหน ความคิดอันนี้มันติดตัวอยู่ คือจะทำอะไรต้องทำให้ได้ ถ้าทำไม่ได้เราก็สู้คนอื่นไม่ได้ ไต่เต้าจากร้านถ่ายรูปเปลี่ยนไปหลายร้าน จาก 500-600 เป็น 800 บาท ได้ค่าตัวขึ้นแล้ว พอ 800 ได้เพิ่มเป็น 1,200 บาท ก็เปลี่ยนร้านไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเคยได้อยู่ในจุดสูงสุดของบรรดาช่างภาพที่ใฝ่ฝันว่า ใครได้อยู่ร้าน "จิตรกร" หรือร้าน "สนั่นศิลป์" เป็นที่ถ่ายปริญญา ถ่ายรูปผู้ใหญ่ระดับนายกรัฐมนตรี นายพลอะไรต่าง ๆ ถ้าใครเข้าไปถึงร้านนี้ได้ก็ถือว่า ยอดฝีมือแล้ว ก็กระเสือกกระสนจนไปถึงได้ ไม่รู้ว่ามันไปอย่างไร รู้แต่ว่ามันไปด้วยใจ ไปด้วยพลังของตัวเอง ไปถึงจนได้ พอถึงเราก็พอแล้ว เราก็เริ่มเข้าสู่วงการหนัง เพราะสมัยก่อนวงการหนังจะมีช่างภาพที่ถ่ายเพื่อทำโชว์การ์ดที่ติดตามหน้าโรงหนัง ต้องติดตามทุกสถานที่ไปถ่ายเขา พอไปอยู่ตรงนั้นโอกาสมันก็มา เพราะอะไร? เพราะว่าเรามีโอกาสได้ใกล้ชิดอยู่กับกองถ่าย แล้วก็ใกล้ชิดกับพวกดารา เราก็เริ่มรู้แล้วว่าถ้าเราถ่ายสไลด์ ถ่ายรูปดาราโพสท่าแล้วเราเอาไปให้ตามนิตยสารเขาซื้อ สไลด์นึงแผ่นละ 500 บาท ยุคนั้นรุ่นใหม่ ๆ ที่จำได้ก็มี นัยนา ชีวานันท์ พอถ่ายแล้วเอาไปเสนอขายตามโรงพิมพ์เขารับซื้อ หลายโรงพิมพ์ก็อยากได้เราไปอยู่ประจำกับเขา เพราะเขารู้ว่าเราวิ่งถ่ายหนัง เราจะได้รูปดาราที่ดีกว่าคนอื่น เพราะตอนถ่ายหนังเวลาพัก ดาราเปลี่ยนชุดเราก็ได้ไปถ่ายเจาะได้ พวกดาราก็ยอมให้เราถ่ายเพราะว่าอยู่ในกองถ่ายเดียวกัน โอกาสเราก็เริ่มตรงนั้น ได้ไปอยู่นิตยสารแดนดารา โลกดารา ทีวีรีวิวของคุณบุรินทร์ วงศ์สงวน แล้วก็บางกอกดาวราย เงินเดือนก็ 3,000 บาท สมัยก่อน กลางคืนเขียนข่าว ฝึกเขียนข่าว เราอยู่ใกล้ชิดดาราเราก็รู้ดาราคนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้ ก็เขียนข่าวแซวบ้าง ขายข่าวได้อีก ก็เป็นการเริ่มต้น ขายข่าวได้อะไรได้ โอกาสที่จะมีเงินมากกว่านี้ก็ไม่มีแล้วล่ะ มันก็ได้แค่ขายข่าว มันก็แค่พอกินพอใช้ ข่าวละ 300 บาท 500 บาท พรรคพวกก็ชวนว่า "ทำหนังสือสิ" เพราะเรามีความรู้ทางนี้อยู่แล้ว ก็เอ๊ะ! จะทำหนังสืออะไรล่ะ? พวกทำหนังสือดาราต้องมีทุนเยอะ ทุนที่จะต้องมีโรงพิมพ์ เพลต มีทีมงาน ตอนนั้นมันมีนิตยสารฉบับหนึ่งชื่อ สยามหนุ่ม (หนังสือโป๊) ถ้าคนรุ่นเก่าเขาจะรู้จัก ตอนนั้นกำลังดังมาก ถ้าเราทำหนังสือเองไม่ได้ เราไม่มีพื้นฐานทางนี้มาก่อนก็เลยไปสมัครสยามหนุ่ม รู้สึกว่าจะอยู่ซอยรางน้ำ ไปสมัครกับเขา คงไม่กล่าวถึงเจ้าของ แต่มันก็มีเรื่อง เราบอกว่า เราเป็นช่างภาพจะมาขอสมัคร เขามองหมิ่นเรา เขานั่งอยู่ในห้องแล้วให้เรานั่งรอ บอก "เดี๋ยวนั่งรอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะคุยด้วย” ให้เรานั่งอยู่นอกห้อง แล้วเขาอยู่ในห้อง เขาเป็นเจ้าของนิ เขาก็ทำงานอะไรของเขาไป นั่งรอตั้งแต่สัก 10 โมง จนเที่ยง เขาลุกขึ้นมา เราก็นึกว่าจะเรียกเรา เปล่า! เขาออกไปกินข้าว เราก็ต้องนั่งรอเขา "เดี๋ยวกลับมา" เขาบอกอย่างนี้ อดข้าวนะ เพราะเราอยากได้งาน จนเขากลับมาบ่ายโมงกว่า บ่ายสองโมง เราก็นั่งรออยู่ตรงนั้นไม่ไปไหน รอเขาจนกระทั่งเขากลับมาแล้วเขาก็เดินเข้าห้องเลย เราก็อ้าว! ทำถ้าจะขยับเขาบอก "รอก่อน" เราก็รออีก รอไปจนถึงน่าจะเกือบ 4 โมง เขาลุกขึ้นแต่งตัว เราก็ดูกระจกมันเห็น เดินออกมา เราก็นึกว่าเขาคงจะเรียกเราแล้ว เปล่า เขาเดินมาบอกว่า "เอ๊ย! เดี๋ยววันหลังมาแล้วกัน" โอ้โห! อารมณ์ความแค้นนี่ แค้นมากเลย แค้นในใจเลยนะ เขาบอกว่า "วันหน้ามาใหม่แล้วกัน วันนี้ไม่ว่าง" ด้วยความโมโหนะ กูไม่เอาแล้วล่ะ! ว่างั้น ลุกขึ้นยืนเลยบอกว่า "พี่ครับ พี่จำชื่อผมไว้เลยนะ กังฟู นะ" ตอนนั้นผมตั้งฉายาผมแล้ว "ผมกังฟู พี่จำชื่อนี้เอาไว้นะ แล้วสักวันพี่จะรู้จักว่าชื่อผมเป็นยังไง" ตอนนั้นผมคิดอย่างเดียว ผมจะล้มมัน! ผมจะล้มหนังสือนี่เลย ที่เป็นอันดับ 1 ตอนนั้น ก็กลับเลย เขาก็ยิ้ม ๆ เขาก็คงจะหมิ่น เราก็กลับมารวมทีมกันทำหนังสือ 3-4 คน ก็ต้องยอมรับ ทำหนังสือห่วยแตก เราไม่มีพื้นฐาน พอหนังสือออกมา ตอนนั้นเล่มแรก ขาย 10 บาทเท่านั้นเอง ส่งออกไป เหลือกลับมาบานเลย The People: นี่คือ “ไทยเพลย์บอย” เล่มแรก? กังฟู: ใช่ ไทยเพลย์บอย เล่มแรกเลย น่าจะปี 2523 หรือ 2524 อะไรประมาณนี้ ก็ต้องหยุดเพราะว่าต้นทุนเสียเดือนนึงหลายหมื่น ตอนนั้นกระดาษถูกอะไรถูก แต่ตอนนั้นหมื่นนึงนี่เท่ากับแสนนึงได้นะตอนนี้ ก็หยุดไปสักระยะหนึ่ง 2-3 ปี แต่ความแค้นของเรามีไง เราบอก "ยังไงกูต้องล้มให้ได้ อย่าให้เขาหัวเราะเราได้" กลับมาทำอีก! เรารู้ข้อผิดพลาดของปีแรกที่เราทำแล้ว ก็ปรับปรุงพัฒนามา เราก็ยังยืนตามหนังสือท้องตลาดทั่ว ๆ ไป เขาทำยังไง เราก็ทำตาม มันก็คิดว่า ถ้าอย่างนี้เราสู้เขาไม่ได้แน่ นึกในใจ "เอาไงวะเนี่ย?" แล้วจู่ ๆ ความคิดอยากเอาชนะมันเป็นกำลังใจ ถ้าเราไม่มีความคิดว่าจะเอาชนะเขา มันก็หมดทางสู้ ก็เริ่มเอาหนังสือตามท้องตลาดทั่วไปมาดูปูทาง เสร็จแล้ว มันมีนิตยสารอีกฉบับ ตอนนี้เขาเลิกไปแล้วชื่อ "นวลนาง" เข้ามาสอดแทรกกับสยามหนุ่ม แต่ก่อนนี้ก็มีเป็นร้อยหัวหนังสือทางแนวนู้ดบนแผงหนังสือ ก็ยืนมองว่าเราจะมีปัญญาไปสู้กับไอ้ร้อยหัวนี่ได้มั้ย? หนึ่ง คือ ต้นทุน เราไม่มีทุน จำได้เลยเขียนบทต้นฉบับครั้งแรก อาหารคือกล้วยน้ำว้าลูกหนึ่ง มาม่าหักครึ่ง กินกล้วยน้ำว้ากับมาม่า อันนี้เรื่องจริง! พอไปได้สักระยะหนึ่งมันก็เสมอตัว เราก็มีพลังแล้ว จะเรียกว่าพลังแค้นที่เขาดูถูกดูแคลน ถูกเขาเหยียดหยาม ก็เริ่มมาวิจัย วิจารณ์ ไอ้หนังสือตามแผงต่าง ๆ แม้แต่สมัยนี้นะ ไอ้นิตยสารที่มีตามท้องตลาดปัจจุบันนี้ กล้าพูดเลยไม่มีใครที่จะสำเร็จ ถ้าทำอย่างนั้น ขออนุญาต ทีนี้ก็มานั่งลองพิจารณาดูคำว่า "ไทย" เอายึดมาก่อน จะไม่มีลงรูปฝรั่งเลย ถ้าลงรูปฝรั่งมันจะเป็นไทยยังไง? แต่นิตยสารอื่น หนังสือเป็นร้อย ๆ หัว เขาก็เอารูปฝรั่งชุดบิกินี ชุดวาบหวิวมาลง แต่ของเราไทยเพลย์บอยไม่มี เอาไทย ๆ นี่แหละ นุ่งผ้าถุงบ้าง อาบน้ำตีโป่งมั่ง อะไรมั่ง แล้วเรื่องก็เขียนแบบท้องไร่ท้องนา เถียงนา ตามงานวัด หนังกลางแปลง เราพยายามให้เป็นไทย เริ่มเข้าใจแล้วว่ามันเริ่มถูกละ กล้าพูดนะ ผมเป็นคนแรกที่คิดหัวคอลัมน์ขึ้นมา ตอนนั้นยังไม่มีนะ แล้วคิดว่า คนเราทุกคนไม่ว่าผู้หญิงหรือผู้ชายจะต้องมีครั้งแรกในชีวิต แล้วครั้งแรกในชีวิตเขาจะต้องไม่ลืมแน่ ก็เลยขึ้นคอลัมน์เลย เขียนเองก่อน บอกว่า ครั้งแรกผมไปอย่างนั้น อะไรยังไง แล้วก็เชิญชวนผู้อ่านให้ส่งเรื่อง "ครั้งแรก" มา ผู้อ่านเขาไม่มีศิลปะในการที่จะมาเขียนอะไร แต่ความจำครั้งแรก เขาเขียนออกมาได้ โอ้โห! ส่งมากันเพื่อแลกกับรูปศิลป์ รูปเปลือยรูปหนึ่ง ส่งมากันใหญ่ เราก็เริ่มจับได้ ทีนี้ พอเขาส่งมาเขาก็ซื้ออ่านสิ เพราะว่าเขาก็รอว่าเมื่อไรเรื่องเขาจะได้ลง ใช่มั้ย? นี่ก็คือส่วนหนึ่ง พอจับทางได้ เราก็เริ่มคอลัมน์ใหม่ "แอบดู เล่าสู่กันฟัง" ทุกคนต้องมีเรื่องแอบดูแน่ พอมีเรื่องแอบดู คนก็เขียนมา ผมเคยแอบดูไอ้นั่น เคยแอบดูไอ้นี่ ประทับใจนั่นนี่ น้องเมีย พี่เมีย อะไรอย่างนี้ จนกระทั่งไอ้ทุกคนที่ดูถูกว่า ไทยเพลย์บอย "ห่วย!" หนังสือห่วย ก็ห่วยจริง! ผมเอานางแบบไม่ต้องแต่งหน้า ไม่ต้องทำผม มาถ่ายเลย สด ๆ เดี๋ยวนั้นเลย เอาดูเป็นแบบบ้านนอก ๆ ไปเลย กลับได้รับความนิยม ซึ่งคนอื่นเขาทำตามไม่ได้ คนอื่นนางแบบเขาต้องทำผมสูง ๆ เขียนคิ้ว เขียนตา ทาปากอะไร จนกระทั่ง 4-5 ปี หลังจากนั้น จากอันดับ ถ้าจะวัดสมัยก่อนก็เป็นร้อย ขึ้นมาอยู่ 1 ใน 5 ทุกคนงงกันหมดว่า เป็นไปได้ยังไงหนังสืออย่างนี้ คือถ้าคนที่มีหลักวิชาการที่เคยเรียนมา เขาบอกว่าหนังสือนี้ห่วยที่สุดแล้ว แต่ห่วยที่สุดผมทำให้มันขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ได้ ไอ้หนังสือที่ด้วยหลักวิชาการอะไรต่าง ๆ ตามหลังผมหมดเลย The People: คิดว่าอะไรที่ทำให้ไทยเพลย์บอยถูกใจผู้อ่านสมัยนั้น กังฟู: เราต้องยอมรับว่า ในยุคนั้น คนที่อ่านเขาชอบความหยาบ ความกระด้าง ความเข้าใจง่าย ๆ ของความเป็นไทย ใช่มั้ย กองฟาง ลำคลอง อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่บอกอยู่ตามโรงแรม ห้องพัก มีอ่างอาบน้ำ คนสมัยนั้นอ่านแล้วอารมณ์ไม่ไป แต่พอเขาอ่านของเราแล้ว นัดกันไปเจอเถียงนาอย่างนี้ หลังกองฟางอย่างนี้ เขาใส่อารมณ์ตามได้ จนกระทั่งขึ้นมาเป็นอันดับ 1 แล้วกล้าพูดตรงนี้เลยนะ กองบรรณาธิการ การทำนิตยสารฉบับหนึ่งอย่างน้อยมันต้องมีถึง 15 คน ในคอลัมน์นั้นคอลัมน์นี้ แต่ไทยเพลย์บอยมีผมคนเดียว คนเดียวที่เขียน ทั้งหมอ ทั้งผู้หญิง ทั้งตอบปัญหาอะไร ผมทำเองหมดคนเดียว อาทิตย์หนึ่งผมเขียน ใช้ปากกาเขียนนะ ผมพิมพ์ดีดไม่เป็น ใช้ปากกาเขียนกระดาษฟุลสแก็ป 75 หน้า ต่อ 1 ฉบับ แล้วอะไรไม่ว่า ถ่ายรูปเองอีกด้วย ไม่ต้องจ้างใครแล้ว เราเป็นทั้งช่างภาพ เป็นทั้งกอง บก. ทั้งนักเขียนอะไร ทำเองหมด การทำคนเดียวก็สามารถทำให้ผู้อ่านเขาคล้อยตามเราหมดเลย ไม่จำเป็นต้องมีนักเขียน 8 คน 10 คน อะไรอย่างนี้ คิดว่าสมัยนี้คงทำไม่ได้แล้วล่ะ แต่สมัยก่อนทำได้ แล้วก็ทำมันขึ้นมา แล้วยังสร้างหนังอีก หนังเอ็กซ์ ไม่รู้รุ่นนี้จะได้ดูกันรึเปล่า? คู่กรรมภาคพิสดาร ขึ้นหน้าหนึ่งไทยรัฐเป็นว่าเล่นเลยใช่มั้ย? จากเราที่ไม่เป็นอะไร แต่เราสามารถทำได้ แม่เบี้ยภาคพิสดาร เปิดบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา อะไรต่าง ๆ มันก็กิจกรรมนี้ว่ากันง่าย ๆ เถอะ อย่างคู่กรรม เขาใช่ -รร- แต่ของเราใช้ ก. สระ อำ "กำ" ความหมายมันก็บอกแล้ว ทำหนังมาเป็นสิบ ๆ เรื่องเลย สมัยก่อนหนังเป็นเทป เป็นตลับ รู้สึกตอนนั้นจะลงทุนไปสองแสนกว่า แล้วขายได้ หกเจ็ดแสน ถามว่าคุ้มมั้ย? ไม่คุ้ม แต่มีพวกแอบเอาเทปของเราไปขายที่อเมริกาขายได้ 1 ล้านดอลลาร์ ไม่ได้แบ่งให้เราแม้แต่บาทเดียวเลย ก็ช่างเขาเหอะ ก็ขนาดแบงก์รัฐบาล (ธนบัตร) ปัจจุบันนี้มันก็ยังมีคนทำแข่งเลย The People: นอกจากไทยเพลย์บอยแล้ว ยังมีกิจการอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องกันด้วย? กังฟู: ก็อยู่ในวัฏจักรตรงนี้ พอ (ไทยเพลย์บอย) มันขึ้นอันดับ 1 แล้ว เราก็ต่อยอดเปิดบาร์เบียร์ เปิดคาเฟ่ คาราโอเกะ อะไรไป บาร์เบียร์เปิดที่ไหนรู้มั้ย เปิดตรงโชคชัย 4 ตรงข้ามกับกองปราบด้วย นี่เรื่องจริง! มันเหมือนกับท้าทาย ก็เราคิดว่ามันไม่มีอะไร เราไม่ได้มีโชว์โป๊รูดเสาเหมือนพัฒน์พงศ์อย่างนี้ก็ไม่มี บาร์เบียร์ก็มานั่งกินเบียร์นั่งคุยกัน ผู้การกองปราบตั้ง 3 ยุค 4 ยุคก็เข้ามาตรวจ ก็เตะโต๊ะบอก "ไม่เห็นแม่งมีอะไร! ทำไมดังอย่างนี้?" จังหวะที่ทุกอย่างลงตัว ความลื่นไหลของชื่อเสียงกิจการอะไรก็ไประเบิดเลย ถ้าใครไม่รู้จักไทยเพลย์บอยนี่ถือว่าไม่ใช่ผู้ชายแล้ว จริง ๆ! อ่านแล้วติดนะ พออ่านวันนึงเล่มนึงอยากจะอ่านพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำไป แต่ต้องรออีกห้าหกวัน แล้วหนังสือตอนนั้นยอด 55,000 เล่มไม่มีคืนแม้แต่เล่มเดียวเลย แล้วตามร้านค้าเขาแย่งกัน เป็นประวัติศาสตร์ บางเจ้าที่เป็นตัวแทนรายย่อยหนังสืออะไรขายดีตามแผงหนังสือเขาก็อยากจะขอเพิ่ม 20 เล่มหมด ขอเป็น 40 เล่มได้มั้ย "ไม่ได้" ได้แค่ 20 เล่ม เสร็จแล้วเราก็รู้มาว่า มันมีการต่อรองอีก ถ้าอยากจะได้ไทยเพลย์บอยอีก 20 เล่ม ต้องเอาหนังสือนั่นไปอีก 5 เล่ม หนังสือนี้อีก 5 เล่ม ไอ้หนังสือที่เขาขายไม่ได้น่ะ ก็ต้องเอาพ่วงไปด้วย เพื่ออะไร? เพื่อกระจาย เพื่อมันขายได้สักเล่มก็จะได้เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นการบีบบังคับโดยเอาไทยเพลย์บอยเป็นตัวล่อ มีคนแจ้งมาเยอะแยะเลย บางร้านถึงกับว่า สมมติว่า วันจันทร์ออก วันศุกร์ วันเสาร์ เขาเอาตังค์ไปวางจองไว้แล้ว หมายความว่า "ฉันซื้อแล้วนะ มันออกมาแล้ว แกเก็บให้ฉันเลยนะ" บางแผงบอกว่า ไม่มีโอกาสได้วางขายเลย เขาเอาตังค์มาวางก็หมดแล้ว 20 เล่มก็เก็บเลย ไม่ขายเลย ทั้งวันคนก็มาถาม นี่ก็เป็นประวัติศาสตร์ เป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิด แล้วทุกคนก็อยากรู้ใช่มั้ยว่า สาเหตุที่ผมโดนจับ ไอ้เรื่องของความสมดุลหรือไอ้ที่เรียกว่า "สวิงกิ้ง" อะไร จริง ๆ ผมไม่ได้มีส่วนรับรู้อะไรกับเขาเลย คือเราเป็นสื่อกลาง เขานัดมาเจอกัน นั่งเจอกันเอง เรามีสถานที่ เขามาคุยกันแล้วเขาจะขึ้นช้างลงม้าก็เรื่องของเขา เราไม่เคยมีขอพิเศษ เราขายแต่เบียร์ ขายแต่น้ำอัดลม เขาซื้อเสร็จเขาก็ไป แต่จะไปไหนเราไม่รู้ กลายเป็นว่าเราเป็นฝ่ายที่แนะนำ ซึ่งเราไม่ได้แนะนำเลย The People: ในหนังสือก็มีเรื่องสวิงกิ้ง? กังฟู: ก็เขาเขียนมาไง เขาเขียนมาว่า เขาไปเจอกับคู่นี้แล้วไปมีเพศสัมพันธ์กันอะไรกัน เขาเล่ามาเราก็เอาลงหนังสือ เพราะเราไม่ได้เขียนเอง เราเขียนเองไม่ได้ เพราะผมไม่รู้ The People: โดยส่วนตัวไม่เคยมีประสบการณ์? กังฟู: ไม่เคยยุ่งเลย ไม่เคยเกี่ยวเลย แต่ถ้าถามว่าคนที่ทำมีมากแค่ไหน? มีเป็นแสน ๆ คู่ที่อยู่ในวงการระดับตั้งแต่คนระดับ.... The People: คนดัง? กังฟู: ยิ่งกว่าดัง ลงไปจนถึงรากหญ้าเลย เพราะไอ้เรื่องเพศสัมพันธ์เนี่ยมันเป็นธรรมชาติ The People: ย้อนกลับไปตอนแรกที่บอกว่าตอนทำไม่มีทุนเลย แล้วไปหานางแบบมาจากไหน? กังฟู: นางแบบสมัยก่อนก็มีโมเดลลิ่ง ก็รู้กันอยู่ว่าเขาทำอะไร เราก็บอกว่าเราไม่มีทุนนะที่จะจ่ายค่าตัว แต่แลกบาร์เตอร์กันดีกว่า เขาเอานางแบบมา เราถ่ายแบบถ่ายอะไรเสร็จแล้วเราลงปกให้แล้วตีเบอร์โทรศัพท์เขา ไอ้หน้ากลางน่ะ ส่วนมากมันเปิดไม่ได้หรอกหน้ากลางมันเหนียว แล้วเขาจะไปทำยังไงก็เรื่องของเขา ก็แลกกันไป เขาก็ได้เปรียบจากธุรกิจเขา นางแบบคนนี้ 500 บาท เขาสามารถอัพเกรดขึ้นมาเป็น 5,000 บาท ทันทีทันใดเลย นี่คือเรื่องจริง ที่นี้พวกโมเดลลิ่งติดต่อมาเป็นสิบ ๆ เลย "เฮียขอเหอะ ขอให้เด็กได้ถ่ายหน่อย" ใช่มั้ย? ต่างคนต่างเสนอกันเข้ามา ไม่เคยเสียตังค์กับนางแบบเลย คนอื่นอาจจะจ้างแต่นี่ไม่จ้าง ไม่จ้างก็เหลือเฟืออยู่แล้ว ที่นี้ก็ไม่ใช่แต่โมเดลลิ่ง น้องนางตามอ่างอยากจะอัพเกรดตัวเอง ตามเพชรบุรีน่ะ ทั้งแถวเลย มาหามาติดต่อขอถ่ายแบบไม่เอาค่าตัว เชื่อมั้ย ทุกคืนนัดคืนละ 8 คน ต้องมาแก้ผ้าให้ดู ก็ต้องดูสรีระ มีลายมั้ย? ดูที่บาร์เบียร์คืนละ 8 คน มีห้องพิเศษ ก็เลยกล้าพูดว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครที่จะดูสิ่งเหล่านี้มากกว่าผมไปได้เลย นาน ๆ จะไม่ได้ดูทีเพราะไปธุระ ขอมาเราก็จัดคิวให้ เพราะว่าอาทิตย์นึงเราจะถ่าย 2 ครั้ง 4 คน ก็นัดวัน ก็มีพวกที่อยากแซงคิวเป็นธรรมดา ก็ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน โอ้ว! สมัยก่อน... The People: แลกด้วยอะไร กังฟู: เขาก็ต้องเอาสรีระเขามาสิ ไอ้เราไม่เอาเงินอยู่แล้ว ก็เหลือเฟือเลย บางทีก็มีผู้ติดตามหลายสิบคน ถ้าพูดถึงก็ดัง ๆ หลายคน คนทำสื่อ นักแต่งเพลง พอถ่ายเสร็จเราก็กลับ พวกก็บรรเลงต่อยังไงก็เรื่องของเขา มันเป็นเกมชีวิตของคนรุ่นนั้น The People: สมัยนั้นทำหนังสือโดนตำรวจมาตามบ้างมั้ย เราเอาตัวรอดได้อย่างไร กังฟู: โดนอยู่แล้ว ถ้าถามแบบนี้ก็ต้องถามว่าพวกอ่าง พวกคาเฟ่ พวกที่มีบริการ เขาเอาตัวรอดได้อย่างไร? ก็รู้ ๆ กันอยู่ว่ารอดยังไง ถามว่าถูกกวนมั้ย? ก็ถูกกวนทั้งนั้น เดี๋ยวนี้คาราโอเกะก็ถูกกวน เราไม่สามารถที่จะบอกลึกได้ ก็รู้ ๆ กันแหละว่าเราจะต้องใช้อะไรไม่ให้เขากวนก็แค่นั้นเอง The People: เคยวิเคราะห์มั้ยว่า ทำไมตำรวจปล่อยเรื่องหนังสือโป๊ แต่มาเล่นงานเรื่องสวิงกิ้ง กังฟู: ผมมองอย่างนี้ ใน พ.ศ. นั้น ศีลธรรม วัฒนธรรม ประเพณี มันยังแข็งอยู่ ถ้าเป็นสมัยนี้ทุกคนมีคลิปหนังเอ็กซ์หมด ถ้าจะจับก็จับได้ทุกคนนั่นแหละ แต่ในยุคนั้นถ้าใครดับคนดังได้ คนนั้นก็เกิด ผมพูดได้เท่านี้ สังเกตดูสิ คนดังไม่รู้กี่สิบคนดับหมด ก็เป็นธรรมชาติ เป็นจังหวะเวลาของชีวิต ถ้าเป็นสมัยนี้ ดังแค่ไหนถ้ามีข้อแก้ตัวมันก็พ้นไง (หัวเราะ) สมัยก่อนไม่มีข้อแก้ตัว The People: ตอนติดคุกอยู่ลำบากมากมั้ย กังฟู: ผมโชคดี ผมได้อยู่กับป๋าลอ ชลอ เกิดเทศ อยู่ด้วยกันสองคน ตอนที่ผมทำไทยเพลย์บอย ท่านเป็น พล.ท. แล้ว เรียกว่าเป็นอธิบดีน้อยแล้ว ก็ไปมาหาสู่กันน่ะ ก็ชอบ ๆ กัน ป๋าลอเข้าไปอยู่ก่อน ผมตามเข้าไปทีหลัง พอเจอกันท่านก็ทักว่า "มึงตามมาถึงในนี้เลยเหรอ?" (หัวเราะ) อยู่ด้วยกัน 3 ปีกว่า ก็เป็นประสบการณ์ชีวิต The People: เพราะโดนคดีรึเปล่าที่ทำให้ต้องหยุดทำไทยเพลย์บอย กังฟู: เปล่า! ออกมาก็ทำเหมือนเดิม แม้แต่ตอนอยู่ข้างใน ผมก็เขียนต้นฉบับส่งออกมาข้างนอก แต่ใช้คำว่า "กังฟู 2" ถ้าคนอ่าน เขาอ่านสำนวนก็รู้ว่าผมเขียนอยู่ แต่จำเป็นต้องใช้ว่า "กังฟู 2" ผมก็ส่งต้นฉบับออกมาทุก ๆ อาทิตย์ แต่ต้องมีซิกแซกหน่อย ไม่ใช่ส่งแบบธรรมดา เพราะข้างในใครจะเขียนจดหมายออกมาเขาจะต้องตรวจอย่างละเอียด มีอะไรแอบแฝงมั้ย ในโลกนี้ก็รู้ ๆ กันอยู่ ถ้ามันมีอะไรถึง มันก็ออกมาได้ The People: ไทยเพลย์บอยทำต่อมาจนถึงปีไหน กังฟู: น่าจะสักปี 52 หรือ 53 The People: ทำไมถึงต้องหยุดไป กังฟู: เริ่มสู้กับความเป็นจริงไม่ได้แล้วไง เพราะตอนนั้นเรื่องโทรศัพท์ เรื่องอินเทอร์เน็ตเข้ามาไง ทุกวันนี้เหมือนกัน ผมกล้าพูดเลย วงการหนังสือมันจะตายไปโดยปริยาย เพราะไม่มีใครอยากอ่านหนังสือกันแล้ว มันใช้ดูเอากัน ไม่ต้องมานั่งอ่านให้เสียเวลาแล้ว ขนาดผมทำหนังสือออกไปสัก 10 เล่ม ก็ไม่ได้ผลลัพธ์ดีเท่าที่ควร เราก็รู้แล้วว่าเราสู้กับความทันสมัยกับความเจริญทางนี้ไม่ได้ The People: ตอนที่จะเลิกขาดทุนหรือยัง กังฟู: มันไม่ขาดทุนหรอก แต่ว่ามันเหนื่อยแล้ว มันได้แต่ไม่คุ้มแล้ว ตอนนี้บอกเลยใครที่ทำหนังสือเนี่ย เจ๊งทุกราย ใครจะอ่าน? บ้านนอกเขาก็ดูจานดาวเทียมกันแล้ว แม้แต่เราเองยังไม่อยากอ่านหนังสือแล้ว ดูแต่มือถือทั้งวันเห็นมั้ย จะเสียเวลาไปอ่านทำไม ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องยอมรับ The People: สื่อนู้ดสมัยนี้เมื่อเทียบกับไทยเพลย์บอยมีความแตกต่างกันมากมั้ย กังฟู: โอ๊ย! สื่อเดี๋ยวนี้โจ๋งครึ่มกันเลย จะดูยังไงก็ดูได้แล้ว ทีนี้จริง ๆ แล้ว สมัยนี้มันให้แต่อารมณ์กับความรู้สึก แต่สมัยก่อนที่เป็นหนังสือ มันเหมือนกับเป็นตำรา เป็นบทเรียนในการสอนนะ สอนให้รู้ว่ามันจะเป็นอย่างไร เหมือน ก. ไก่ ข. ไข่ แต่สมัยนี้ก็ดูสร้างอารมณ์เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรที่จะเป็นการสอนการเตือนเป็นการให้ความรู้ เพราะฉะนั้นเด็กสมัยนี้ เด็ก 13-14 ปี ท้องออกลูกกันแล้ว ทิ้งแล้ว สมัยก่อนอายุ 20 ปี ยังไม่รู้เลยว่า ไอ้เรื่องเพศมันเป็นอย่างไร ก็ได้จากหนังสือว่า อ๋อ! มันเป็นแบบนี้ คุณค่ามันไม่เหมือนกัน The People: ตอนนี้ (ปลายเดือนมิถุนายน 2563) อายุเท่าไรแล้ว กังฟู: ตอนนี้ก็ 75 ปีแล้ว สุขภาพก็ยังดี เสียแต่หัวเข่าเท่านั้นเองที่มันใช้มาเยอะ ตอนนี้ก็เป็นไปตามจังหวะ ผมบอกเลยไอ้เรื่องสุขเพศเนี่ย มันบ่งบอกถึงสุขภาพ ถ้าสุขเพศดีเนี่ย สุขภาพก็จะดีตาม ตั้งแต่สมอง สายตา อารมณ์ ความรู้สึก ร่างกาย ความตื่นตัว ระบบอวัยวะทุกส่วนของร่างกายมันจะตื่นตัวหมด มันจะทำงานหมด แต่ถ้าสุขเพศไม่ดี สุขภาพมันก็จะต๋อมหงอยเหงา ลองสังเกตดู เพราะฉะนั้นสุขภาพทุกคนต้องรักษา แต่สุขเพศก็ต้องบำรุงมัน