15 มี.ค. 2568 | 08:00 น.
‘River City Bangkok’ ก้าวเข้าสู่ปีที่ 40 พร้อมวิสัยทัศน์ใหม่ที่ขยายขอบเขตศิลปะให้กว้างไกลขึ้น จากจุดเริ่มต้นที่เป็นศูนย์กลางของโบราณวัตถุ สู่การเป็น พื้นที่แห่งศิลปะที่รวมแขนงต่าง ๆ เข้าด้วยกัน การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการปรับตัวให้ทันสมัย แต่เป็นการสร้างสรรค์พื้นที่ที่เปิดรับประสบการณ์ศิลปะแห่งอนาคต
เมื่อกล่าวถึง ‘ศิลปะ’ แล้ว ภาพจำที่ปรากฎขึ้นมาพร้อม ๆ กันก็คงต้องเป็นภาพวาด งานประติมากรรม หรือแม้แต่นิทรรศการรูปแบบต่าง ๆ ทว่าเมื่อลองหยิบคำนี้มามองดูอย่างรอบด้านแล้ว ไม่ว่าจะเป็นดนตรี ภาพยนตร์ หรือแม้ประสบการณ์รูปแบบอื่น ๆ ก็ล้วนมีรากฐานสำคัญมาจากความสร้างสรรค์และศิลปะทั้งสิ้น การหลอมรวมสร้างสถานที่ที่จะอุดมไปด้วยศิลปะอย่างรอบด้านจึงเป็นภารกิจสำคัญของ River City Bangkok ในตอนนี้ รวมไปถึงการนำเสนอ Intellectual Property (IP) จากศิลปินระดับโลก ทั้งจาก ญี่ปุ่น ไต้หวัน และศิลปินระดับสากลที่ทุกคนรู้จัก
ในบรรดาศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงานและผู้อยู่เบื้องหลัง River City Bangkok แล้ว ชายผู้มีนามว่า ‘โทบี้ ลู’ (Toby Lu) คือหนึ่งในบุคคลสำคัญที่จะช่วยกำหนดทิศทางและผลักดันให้ภารกิจนี้สำเร็จลุล่วง ทั้งรวบรวมและยกระดับการจัดแสดงศิลปะอย่างครบรสชาติ หรือแม้แต่การนำเสนอศิลปะไปสู่สายตาและหัวใจของผู้คนก็ล้วนเป็นหมุดหมายสำคัญในวันนี้
ด้วยเหตุนั้น เพื่อที่จะให้เข้าใจทั้งการมองโลกศิลปะหรือเบื้องหลังแนวคิดการขับเคลื่อนของ River City Bangkok การพูดคุยกับบุคคลที่มีความสำคัญต่อเรี่ยวแรงการเปลี่ยนแปลงย่อมสามารถตอบคำถามให้เราฟังได้ในหลายแง่มุม ในบทสัมภาษณ์นี้จะนำเสนอเรื่องราวของ โทบี้ ลู และการเปลี่ยนแปลงภายหลังการครบรอบปีที่ 40 ของ River City Bangkok ว่าก้าวต่อไปเราจะได้เห็นอะไรเร็ว ๆ นี้ และโลกศิลปะในภาพรวมจะถูกขยับไปในทิศทางไหนบ้าง
ศิลปะคือสิ่งที่อยู่รอบตัวเราเสมอ แม้ในบางครั้งเราอาจไม่ได้สังเกตเห็นมันอย่างชัดเจน สำหรับ ‘โทบี้ ลู’ (Toby Lu) ศิลปะไม่ได้เป็นเพียงภาพวาดหรืองานประติมากรรมที่ตั้งอยู่ในแกลเลอรี แต่มันคือ ประสบการณ์ที่ผู้คนได้สัมผัสผ่านทุกประสาทสัมผัส
โทบี้ ลู เติบโตที่ไต้หวันและมาศึกษาต่อที่ประเทศไทย ก่อนจะเข้าร่วมงานกับ River City Bangkok ในปี 2019 การเดินทางของเขาเริ่มต้นจากความสนใจในศิลปะตั้งแต่วัยเด็ก แม้ไม่ได้เริ่มต้นจากสายอาชีพศิลปินโดยตรง แต่เขามองเห็น พลังของศิลปะที่สามารถเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้ ซึ่งกลายเป็นแรงผลักดันให้เขาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับ River City Bangkok
ชีวิตของเขาในประเทศไทยเริ่มต้นจากการเป็นนักศึกษา แต่จุดเปลี่ยนสำคัญที่นำพาเขามาสู่วงการศิลปะเกิดขึ้นเมื่อเขาได้รับโอกาสเข้าร่วมงานที่ River City Bangkok ในปี 2019 โดยไม่ได้คาดคิดเพราะพวกเขากำลังหาคนที่สามารถพูดได้ทั้งภาษาอังกฤษ จีน และไทยอยู่พอดิบพอดี และด้วยภายใต้การบริหารของ ‘ลินดา เชง’ (Linda Cheng) กรรมการผู้จัดการของ River City Bangkok ผู้มีบทบาทสำคัญในการปรับภาพลักษณ์ของศูนย์ศิลปะแห่งนี้ให้เปิดกว้างและร่วมสมัยมากขึ้น การเข้าร่วมของโทบี้ในทีมจึงเป็นหนึ่งในก้าวสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนวิสัยทัศน์ดังกล่าวให้เป็นจริง
“ศิลปะควรเป็นสิ่งที่ผู้คนสามารถสัมผัส ประสบการณ์ และมีส่วนร่วมได้จริง ไม่ว่าจะเป็นนักสะสม ศิลปิน หรือคนทั่วไปที่เดินเข้ามา เราอยากให้ทุกคนรู้สึกว่านี่คือพื้นที่ของพวกเขา”
ในวันนี้ The People จึงได้มีโอกาสพูดคุยกับเขา ‘โทบี้ ลู’ Sales & Marketing Director แห่ง River City Bangkok เกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของเขาในการพัฒนาสถานที่แห่งนี้ให้เป็นแพลตฟอร์มศิลปะที่เข้าถึงได้ง่ายและมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นนิทรรศการมัลติมีเดีย ศิลปะอินเทอร์แอคทีฟ หรือการสร้างพื้นที่สำหรับศิลปินทั้งไทยและต่างชาติ ปีนี้ River City Bangkok ยังคงเดินหน้าสานต่อแนวทางดังกล่าว โดยมุ่งเน้นการขยายความร่วมมือระดับสากลมากขึ้น และได้นำ Intellectual Property (IP) จากศิลปินและแบรนด์ระดับโลก มานำเสนอในรูปแบบที่สร้างสรรค์ ตอกย้ำบทบาทของ River City Bangkok ในฐานะศูนย์กลางศิลปะที่เปิดรับวัฒนธรรมและประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
“ตอนที่ผมเข้ามา ทุกอย่างยังคงยึดติดอยู่กับโมเดลดั้งเดิม คนส่วนใหญ่ยังมองว่า River City Bangkok เป็นแค่ที่สำหรับของเก่า แต่ผมเห็นโอกาสที่มากกว่านั้น เราต้องทำให้มันเป็นพื้นที่ที่ผู้คนเข้าถึงศิลปะได้ง่ายขึ้น และเชื่อมโยงศิลปะเข้ากับชีวิตประจำวัน”
ในตอนนั้น River City Bangkok กำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ จากการเป็นแหล่งรวมของเก่าและโบราณวัตถุสู่การเป็นศูนย์กลางศิลปะร่วมสมัยที่มีชีวิตชีวา ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของโทบี้ไม่ได้อยู่ที่การจัดแสดงนิทรรศการหรือดึงดูดศิลปิน แต่เป็นการเปลี่ยนแนวคิดของทั้งทีมงานและผู้ชม
โทบี้ไม่ได้มองว่า ศิลปะเป็นเรื่องของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เขาเชื่อว่าทุกคนสามารถมีส่วนร่วมและสัมผัสมันได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักสะสมงานศิลปะ หรือแค่คนทั่วไปที่เดินผ่านและหยุดมองภาพวาดเพียงไม่กี่วินาที นั่นคือแนวคิดที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของ River City Bangkok
River City Bangkok กำลังเดินหน้าสู่การเป็นศูนย์กลางของศิลปะที่เปิดกว้างในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น นิทรรศการมัลติมีเดีย การแสดงดนตรี หรือการฉายภาพยนตร์ที่ Skyline Film at River City Bangkok การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นถึง การขยายขอบเขตของศิลปะที่เชื่อมโยงผู้ชมเข้ากับประสบการณ์ใหม่ ๆ
“ศิลปะไม่ได้มีเพียงแค่ภาพวาดบนผนัง แต่มันคือประสบการณ์ ความทรงจำ และความเชื่อมโยงทางอารมณ์ เมื่อคุณก้าวเข้ามาที่ River City Bangkok คุณไม่ได้มาแค่ชมงานศิลป์ แต่คุณกำลังสัมผัสกับโลกของศิลปะที่มีชีวิต”
นับตั้งแต่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1984 River City Bangkok เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางของ โบราณวัตถุและของสะสม แต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาได้ขยายขอบเขตของมันให้กว้างขึ้นกว่าที่เคย ศูนย์ศิลปะแห่งนี้ไม่เพียงแต่ให้พื้นที่สำหรับ นิทรรศการจิตรกรรมและประติมากรรม เท่านั้น แต่ยังเป็นเจ้าภาพในการจัด การแสดงดนตรี โรงภาพยนตร์กลางแจ้ง และอีเวนต์ที่หลอมรวมวัฒนธรรมและศิลปะจากทั่วโลก
แต่ที่สำคัญกว่านั้น ปีนี้ River City Bangkok กำลังก้าวเข้าสู่เวทีระดับสากลอย่างแท้จริง ด้วยการนำเสนอ Intellectual Property (IP) จากศิลปินระดับโลก ทั้งจาก ญี่ปุ่น ไต้หวัน และงานศิลป์ระดับสากลที่ทุกคนรู้จัก การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่การเพิ่มนิทรรศการใหม่ แต่เป็นการพลิกโฉม River City Bangkok ให้เป็นหมุดหมายทางศิลปะที่ทุกคนต้องจับตามอง
“เรากำลังสร้าง River City Bangkok ให้เป็นศูนย์กลางศิลปะที่คนทั่วโลกเฝ้ารอ ทุกนิทรรศการที่เรานำเสนอจะเป็นประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร และเป็นโอกาสที่เปิดกว้างให้ศิลปินจากทั่วโลกได้มีพื้นที่แสดงออก”
การเปลี่ยนแปลงของ River City Bangkok ในปีที่ 40 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเพิ่มนิทรรศการใหม่ ๆ แต่ยังหมายถึงการปรับแนวทางเพื่อสร้างพื้นที่ศิลปะที่เปิดกว้างขึ้นและตอบโจทย์ผู้ชมที่หลากหลายมากขึ้นตามวิสัยทัศน์ของที่ถูกประกาศออกไปว่า “Where Art Live, Breathes and Inspires” ในปัจจุบัน ศิลปะไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ในแกลเลอรีอีกต่อไป แต่มันกำลังเข้าสู่ยุคที่ต้องสร้างประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น และมีความหมายในระดับสากล River City Bangkok จึงต้องปรับตัวทั้งในด้านการพัฒนาโครงสร้างภายใน และการสร้างความร่วมมือระดับโลก
“เราต้องการให้ River City Bangkok เป็นมากกว่าที่จัดแสดงงานศิลปะ แต่เป็นศูนย์กลางที่ศิลปินทุกแขนงสามารถมาบรรจบกัน แลกเปลี่ยนความคิด และสร้างสิ่งใหม่ร่วมกัน”
หนึ่งในแผนสำคัญที่กำลังดำเนินการอยู่คือการขยายพื้นที่แกลเลอรีใหม่ขนาดประมาณ 550 ตารางเมตร เพื่อรองรับนิทรรศการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงการมี RCB Experimental Art Lab ที่นับว่าเป็นหนึ่งโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินได้ทดลองและนำเสนอศิลปะในรูปแบบที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การแสดง ละครเวที ดนตรี ภาพยนตร์ หรือศิลปะเชิงทดลองรูปแบบต่าง ๆ นี่คือก้าวสำคัญของ River City Bangkok ที่ต้องการให้พื้นที่ของตนเองเป็นมากกว่าห้องจัดแสดงงานศิลป์แบบดั้งเดิม แต่เป็นพื้นที่ที่ศิลปินสามารถทดลองสิ่งใหม่ ๆ และนำเสนอประสบการณ์ที่ดื่มด่ำมากขึ้นแก่ผู้ชม
“เราต้องการขยายพื้นที่ให้สามารถรองรับนิทรรศการที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และให้ศิลปินมีพื้นที่ในการสร้างประสบการณ์ศิลปะที่สมบูรณ์แบบขึ้น”
นอกจากการขยายพื้นที่ศิลปะให้มีขนาดที่รองรับงานขนาดใหญ่ขึ้นแล้ว River City Bangkok ยังให้ความสำคัญกับการเปิดรับแขนงศิลปะใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างความเชื่อมโยงระหว่างศิลปะกับผู้ชมที่กว้างขึ้น ผ่าน RCB Experimental Art Lab ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงพื้นที่จัดแสดง แต่เป็น ห้องทดลองทางศิลปะ ที่เปิดโอกาสให้ศิลปินได้ ทดสอบแนวคิดใหม่ ทดลองการเล่าเรื่องผ่านสื่อที่หลากหลาย และสร้างสรรค์การแสดงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น ละครเวที การแสดงสด ดนตรี ภาพยนตร์ และกิจกรรมเวิร์กช็อปด้านศิลปะ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายใต้แนวคิดที่ต้องการทำให้ ศิลปะเป็นมากกว่าการจัดแสดง แต่เป็นกระบวนการที่ผู้ชมสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้
อีกหนึ่งส่วนที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์คือ ‘Skyline Film at River City Bangkok’ โรงภาพยนตร์กลางแจ้งที่นำเสนอภาพยนตร์ในบรรยากาศที่แปลกใหม่ โดยเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ River City Bangkok ใช้ในการขยายขอบเขตของศิลปะให้กว้างขึ้น
นอกจากภาพยนตร์ River City Bangkok ยังเริ่มเปิดโอกาสให้ มีการแสดงสดและดนตรีมากขึ้น โดยมองว่าดนตรีก็เป็นอีกหนึ่งแขนงของศิลปะที่สามารถเข้าถึงผู้คนได้ง่ายและสามารถสร้างบรรยากาศที่ทำให้ผู้ชมมีความรู้สึกเชื่อมโยงกับสถานที่ได้ดียิ่งขึ้น
“เราเริ่มเปิดโอกาสให้มีการแสดงสดและดนตรีมากขึ้น เพราะศิลปะไม่ได้มีแค่ภาพวาดหรือประติมากรรม แต่รวมถึงดนตรีและการแสดงที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมด้วย”
ขณะเดียวกัน River City Bangkok กำลังสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรศิลปะระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเปิดโอกาสให้ศิลปินจากหลากหลายประเทศได้เข้ามานำเสนอผลงานในประเทศไทย แนวทางนี้ช่วยให้ผู้ชมชาวไทยได้สัมผัสศิลปะในมิติที่กว้างขึ้น ขณะที่ศิลปินไทยเองก็มีโอกาสร่วมงานกับภัณฑารักษ์และศิลปินจากต่างชาติ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการเชื่อมโยงวงการศิลปะไทยกับเวทีระดับโลก
“เรามองว่าการร่วมมือกับองค์กรศิลปะระดับนานาชาติเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะมันช่วยให้ศิลปินไทยมีโอกาสเติบโตและได้รับการยอมรับในระดับที่กว้างขึ้น”
การเปลี่ยนผ่านของ River City Bangkok ในปีที่ 40 ไม่ได้เป็นเพียงแค่การขยายพื้นที่หรือเพิ่มนิทรรศการใหม่ ๆ แต่คือการปรับแนวทาง เพื่อให้ศิลปะเป็นสิ่งที่มีชีวิตและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ทั้งในแง่ของประสบการณ์ที่เปิดกว้าง การบูรณาการศิลปะแขนงต่าง ๆ และการสร้างความร่วมมือระดับนานาชาติ จากการเปิดแกลเลอรีใหม่ การจัดฉายภาพยนตร์กลางแจ้ง ไปจนถึงการเปิดเวทีให้ศิลปินได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับโลก ศูนย์กลางศิลปะแห่งนี้กำลังเดินหน้าสู่บทบาทที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ไม่ใช่เพียงพื้นที่จัดแสดงศิลปะ แต่เป็นจุดบรรจบของความคิดสร้างสรรค์ วัฒนธรรม และแรงบันดาลใจ
“เรากำลังสร้างอนาคตใหม่ให้ River City Bangkok ที่จะกลายเป็นสะพานเชื่อมโยงศิลปะกับผู้คน และเป็นพื้นที่ที่ศิลปินสามารถเติบโตและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้”