‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ ผู้หญิงที่เชื่อว่าคนเราอยากเป็นอะไรก็ต้องทำได้ และอยากทำในสิ่งที่หลากหลาย เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตนในวันหนึ่ง

  • ‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ นักแสดงหน้าหวานที่ชอบทำในสิ่งที่อยากทำ และตามความฝันในวัยเด็ก
  • กระติ๊บ กับบทบาทใหม่ ๆ ทั้งเชฟ และช่างสัก เพราะเธอมองว่า อาชีพที่หลากหลายเหมือนเราซื้อประกันติดตัว

 

“อุปนิสัยตัวเองลึก ๆ เป็นคนที่แพ้ไม่ได้ ติ๊บเป็นคนแบบชอบเล่นเกมค่ะ”

สาวหน้าหวาน รอยยิ้มดั่งต้องมนต์ด้วยลักยิ้มของเธอ ‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ เปิดเผยกับ The People ช่วงหนึ่งของบทสัมภาษณ์ เธอยิ้มพร้อมตอบติดตลกว่า เป็นคนชอบเล่นเกมมาก ๆ และเธอก็มีความฝันมากมายที่ยังอยากจะทำ ซึ่งก็น่าจะตอบคำถามหลายคนได้ว่าทำไมช่วงหลัง ๆ เราเห็นกระติ๊บ ในหลาย ๆ บทบาท มากกว่าเป็นแค่นักแสดงอย่างที่เคยเห็นเมื่อนานมาแล้ว

เคยฝันอยากเป็นดารา

แม้ความฝันตอนที่เด็กมาก ๆ อาจจะไม่ชัดเจนเพราะแต่ละวันก็เปลี่ยนไปตามอารมณ์ของเธอ แต่มีความฝันหนึ่งที่เธอและเพื่อนจำได้แม่น ก็คือ ‘ดารา’

“ตอนเด็ก ๆ กระติ๊บเคยพูดหน้าห้องเรียนว่าอยากเป็นดารา เพื่อนยังจำได้เลย ติ๊บก็แบบ เฮ้ย ฉันกล้าพูดขนาดนั้นเลยเหรอตอนเด็ก”

“อาจจะเพราะว่าติ๊บไม่ได้เป็นคนแบบขี้เก๊ก เป็นเด็กคิดอะไรก็พูด เป็นคนชั้นเดียวค่ะ”

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

ทั้งนี้ คุณพ่อและคุณแม่ของกระติ๊บแยกกันอยู่ตั้งแต่เธอเด็ก ๆ โดยคุณแม่ได้เปิดร้านอาหารที่ประเทศมาเลเซีย และคุณพ่อก็เป็นผู้เลี้ยงดูเธอเป็นส่วนใหญ่โดยอาศัยอยู่ที่หาดใหญ่ด้วยกัน แต่เธอจะไปหาคุณแม่ทุก ๆ ปิดเทอม ส่วนตัวเธอมองคุณแม่เป็นไอดอล เพราะแม่ของเธอค่อนข้างเป็นคนขยัน และอัธยาศัยดี ทำให้กระติ๊บเริ่มมีความคิดเปลี่ยนไปเกี่ยวกับอาชีพทำร้านอาหาร

“อาชีพเปิดร้านอาหารเหนื่อย เรารู้สึกว่ามันเหนื่อย เพราะว่าเราเติบโตมากับธุรกิจนี้ เราก็จะเห็นทั้งข้อดีข้อเสียของอาชีพนี้ แต่ถามว่าติ๊บชอบทำอาหารไหม ก็คือชอบ ติ๊บรู้อยู่แล้วว่าเวลาคนที่เปิดร้านอาหารเขาก็ต้องแบบไปกินหลายที่ พอเราอยู่กับคุณแม่มาก ๆ ก็จะได้เจอกับอาหารเยอะแยะมากมาย มันก็เลยทำให้เราเป็นคนชอบกิน แต่อาจยังไม่ถึงขั้นว่าจะต้องเปิดร้านอาหารค่ะ"

แต่เชื่อว่าการเห็นภาพที่ร้านอาหาร และยิ่งเห็นคุณแม่เป็นไอดอลอยู่แล้ว นี่ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นอย่างหนึ่งที่ทำให้เธอก้าวเข้าสู่วงการ ‘การแข่งทำอาหาร’ ในรายการ MasterChef Thailand

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

 

ครั้งแรกกับการแข่งทำอาหาร

“ตอนนั้นที่แข่งทำอาหารในรายการ MasterChef คือตัวติ๊บเองยังนึกว่า อ๋อ แข่งทำอาหาร แม่เราเคยเปิดร้านอาหารนี่ เราทำอาหารได้ตั้งหลายอย่าง โดยที่ไม่รู้เลยว่าอาหารแข่งกับอาหารที่กินในชีวิตประจำวันมันไม่เหมือนกัน”

“ก็ย้อนกลับไปดูซีซั่นแรกเปิดโลกมากแบบคิดว่า โอ้โห ตายแล้วตายห่าแล้วกูทำไงดีอะไรอย่างนี้ ต้องหาครูแล้วไม่งั้นไม่ทันไม่งั้นแข่งไม่ได้ ก็เลยจนเจอเชฟเมย์ (พัทธนันท์ ธงทอง) ค่ะ”

“ตอนที่ไปการแข่งขันจริง ๆ มันมากกว่า have fun เฉย ๆ แล้วอุปนิสัยตัวเองลึก ๆ เป็นคนแพ้ไม่ได้ เป็นคนแบบชอบเล่นเกมอะไรอย่างนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าต้องฟอร์มทีมคุณครูที่จะมาสอน”

“คือติ๊บรู้จักกับพี่ iTAN ค่ะ พี่แทน (กิตติเดช วิมลรัตน์) ก็เลยปรึกษา ขอคนที่เก่งที่สุด พี่แทนก็เลยพาไปเจอเชฟเมย์ หารู้ไม่วันนั้นจริง ๆ เชฟเมย์มีดาราหลายคนที่แข่งซีซั่นเดียวกันไปขอให้เชฟเมย์สอนเหมือนกัน แล้วเชฟเมย์ปฏิเสธคนอื่น นับตั้งแต่วันนั้น ก็คอยช่วยอยู่ support ตลอดเลยค่ะ”

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

นอกจาก กระติ๊บ จะค้นพบเส้นทางการทำอาหารที่เธอชอบ ยังทำให้สายสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกแน่นแฟ้นขึ้นด้วย กระติ๊บเล่าด้วยเสียงสั่นเครือถึงประโยคที่พูดถึงแม่ว่า “ความรู้สึกของติ๊บเปลี่ยนนับตั้งแต่นาทีที่ติ๊บบอกแม่ว่าหม่าม้าติ๊บจะไปแข่งทำอาหารนะ เชื่อไหมติ๊บไปแข่งอะไรมาก็แล้วแต่ เคยประกวดนางงาม ประกวดร้องเพลง เราไม่เคยเห็นความภูมิใจในสายตาของเขา แต่อันนี้เรารับรู้ได้ว่าทำไมแม่ดูมีความสุขจังเลยกับการที่เรามาแข่งทำอาหาร นี่คือความสุขของเขา ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้สายใยครอบครัวมันแน่นขึ้นสำหรับติ๊บ”

แต่นอกจากมุมเรื่องการทำอาหารของกระติ๊บที่โดดเด่นมาก เพราะเธอฝึกฝนจนได้ดีกลายเป็นแชมป์ระดับนานาชาติมาแล้ว ขณะที่ก่อนหน้านี้เธอยังเคยหมกมุ่นอยู่กับ ‘การสัก’ จนวันหนึ่งแฟนเปิดโลกด้วยการพาไปร้านสักจริง ๆ

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

 

ใจรักการสักจนได้รางวัล

กระติ๊บ เคยได้รางวัลอันดับ 2 runner up small job black&grey หลังจากลงประกวดการสักตั้งแต่ครั้งแรก ซึ่งเรื่องราวนี้ทำให้หลายคนทึ่งในความสามารถและความมานะของเธออย่างมาก

กระติ๊บเล่าถึงช่วงเหตุการณ์ก่อนที่เธอจะค้นพบร้านที่ตรงสเป็ค สอนงานเธอแบบจริงจัง ให้สมกับที่กระติ๊บอยากรู้อยากศึกษาให้สาสมใจ

นั่นก็คือ ‘BKK INK’ ร้านดังที่ถนนข้าวสาร เธอเล่าว่า “ตอนนั้นก็คือติ๊บไปซื้อเครื่องสักมาเอง เพราะว่าบ่นกับแฟนติ๊บตลอด ตั้งแต่ตอนสมัยคบกันเมื่อ 10 ปีที่แล้วค่ะ บอกว่าอยากเป็นช่างสัก แล้วพอช่วงโควิด-19 ก็บ่น ๆๆๆๆๆ จนแฟนรำคาญ คือติ๊บชอบดูตาม IG ศิลปิน Tattoo แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าอันนี้คือแนวอะไร อันนี้คือแบบไหน เครื่อง Machine มีกี่ประเภท เขาก็เลยบอกว่าอยากรู้ใช่ไหมไปร้านสักกัน แล้วเขาก็ซื้อ Starter Kit มาให้ติ๊บ แล้วเราก็สักลงบนหนังเทียมค่ะ เป็นรูป Salvador Dalí ตอนนั้นก็คือโพสต์ลง IG”

“ติ๊บพยายามหาที่เรียนว่า เอ๊ะ เรียนสักเรียนที่ไหน เปิด YouTube ดูเอาเอง เอาขาของแฟนมาสักเอง ก็ทำมั่ว ๆ ซั่ว ๆ ก็ไม่รู้ รู้จริงสักอย่าง จนไปเข้าตาร้านดังที่ข้าวสาร ร้าน BKK INK เจ้าของร้านเป็นคนฝรั่งเศส เขาไม่รู้ว่าเราเป็นใครด้วยซ้ำเลยรู้สึกประทับใจที่เขาชอบเราที่ผลงานจริง ๆ”

เธอยอมรับว่า ช่วงแรก ๆ ก็แอบคิดในใจเหมือนกันว่าร้านจะเก่งไหม แต่พอเปิดดูรายชื่อช่างสักของพี่ร้าน ก็คือบอล (อธิวัฒน์ มาเปี่ยม) ได้ไปคว้าแชมป์ที่ฝรั่งเศส ปารีส เราก็คิดตั้งแต่นั้นเลยว่าต้องเป็นร้านนี้แหละที่เป็นครูของเรา

ในขณะที่กระติ๊บเล่าให้เราฟัง น้ำเสียงเธอดูตื่นเต้นและสนุกทุกครั้งที่พูดถึงกิจกรรมมากมายที่เธอมี passion กับมัน ทำอย่างมีความสุข เราจึงถามต่อว่า “หลายครั้งที่กระติ๊บอยากทำอะไร แล้วก็ทำได้ดีเสมอ ดีแบบสุดโต่งด้วย กระติ๊บใช้ passion อะไรในการผลักดันตัวเองคะ?” (The People)

กระติ๊บ: Passion ของติ๊บเหรอคะ คือติ๊บอยู่วงการมานานมาก จนบางทีก็มานั่งคิดจริง ๆ ว่าเราอยากทำอะไร ติ๊บมาสะระตะได้จริง ๆ ก็ตอนโควิด-19 เอ๊ะ อายุก็ประมาณนึงแล้วนะตอนนั้น 30-33 เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นใคร

กระติ๊บ: เราเคยมีความฝันอะไรบ้าง ตอบไม่ได้ พอมันมีเวลาคิดกับตัวเองเยอะ ๆ เฮ้ย เราเป็นได้ทุกอย่างดิถ้าเราอยากเป็น นั่นแหละก็คือเหมือนมันเป็นจุดเริ่มต้น จากจุดนั้นก็คือถามตัวเองต่อว่าอะไรที่ทำให้คนไปไม่ถึงฝัน เพราะเรารู้สึกว่าวันนี้เป็นผู้ใหญ่พอที่น่าจะคิดได้ว่าสิ่งไหนที่ทำให้ไปไม่ถึง พอค้นเจอปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ก็เลยถึงขั้นตอนการลงมือ แล้วก็ต้องทำจริง ๆ  เพราะติ๊บเชื่อว่าไม่มีสิ่งไหนที่เป็นทางลัด ทุก ๆ เรื่องต้องเผชิญกับมัน ทุกคนกลัวการเริ่มต้น ติ๊บก็เหมือนกัน ทุกคนกลัวการที่ต้องไปนั่งนับหนึ่งใหม่ ติ๊บก็เป็นเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่า เอ้ย วันนี้เราเป็นผู้ใหญ่พอที่จะผ่านตรงนั้นไปได้ เราก็ต้องทำ

‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ อยากทำอะไรก็จะทำให้สุด เพราะไม่อยากถูกกลืนกินตัวตน

 

กลัวตัวตนถูกลืนกิน

อย่างที่บอกว่า 7 วันก่อนหน้านี้เราแทบจะเห็นกระติ๊บรับเล่นละครทุกวัน ยังไม่นับงานอื่นที่เสริมเข้ามา และช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มรับงานพิธีกรมากขึ้น ถามว่าทำไม? เพราะอะไรกระติ๊บถึงลงมือทำไล่ล่าตามความฝันอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะช่วงหลังโควิด-19 เบื้องลึกเบื้องหลัง เธอคิดอย่างไรกันแน่..

“7 วันของเราไปอยู่กับละครหมด พออยู่กับละครบางที Sharing คิวหลายเรื่อง ถ้าถามว่าการเล่นละครมันดีหรือไม่ดี คือติ๊บก็ไม่สามารถพูดว่ามันไม่ดีไม่ได้เพราะมันก็พาติ๊บมาสู่จุดนึงได้ แต่แค่วันนึงเราถูกกลืนลงไป ที่แบบว่าคนเดินถนนอย่างนี้ อ๋อ คนนั้นไงที่เป็นตัวร้ายที่ร้าย ๆ เจ้านางตองนวลไง แต่บางทีเราก็ฉุกคิดว่าเราอยากให้เขาเจอกับตัวจริงของเรานะ เราอยากให้เขารู้ว่ากระติ๊บไงที่ทำสิ่งนี้ ๆ”

“ตอนนี้เหมือนเป็นช่วงที่กลับมานั่งค้นหาตัวเองจริง ๆ ว่าความฝันวัยเด็กเราเคยอยากเป็นอะไร … อยากเป็นผู้ประกาศข่าว อยากเป็นช่างสัก อยากเป็นเชฟ ฯลฯ ถ้าถามว่าตอนนี้เป็นยังไงติ๊บว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุดแล้ว”

“ติ๊บชอบอยู่คำ ๆ นี้จากเชฟเมย์ที่พูดว่า ก่อนเป็นเชฟที่ดี เป็นคนดีให้ได้ก่อน มันเหมือนแบบ เฮ้ย มันคือเรื่องจริงของทุกอาชีพเลย ก่อนเราจะทำอะไรให้ได้ เราต้องซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วก็ไม่ลักไก่ ไม่ลัด ต้องอดทน ไม่โกหกตัวเองด้วย ก็เลยรู้สึกว่าเราโชคดีจังเลย เราได้เจอแต่คนดี ๆ”

ผู้หญิงคนหนึ่งที่ลุกขึ้นมาทำโน่นนั่นนี่ เพียงเพราะว่าที่ผ่านมามีหลายสิ่งหลายปัจจัยที่ขโมยเวลาชีวิตของเธอไป จนวันนี้สิ่งที่กระติ๊บตกผลึกในวัย 30 กว่า ๆ ก็คือ “ติ๊บรู้สึกว่าคนเราจะทำอะไรให้มันชำนาญ ชั่วโมงบินก็สำคัญ ในเมื่อเราเริ่มช้ากว่าคนอื่น เรามารู้ตัวตอนที่เราอายุเยอะแล้ว ฉะนั้นเราก็ต้องเร่ง speed ตัวเองให้ทัน”

“เราต้องฝึกทักษะต่าง ๆ ให้เพียงพอ แต่มีคำหนึ่งที่ติ๊บจะบอกกับตัวเองเสมอเลยก็คือเหนื่อยก็นอน เพราะเดี๋ยวเราก็มีเวลานอนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ เราไม่รู้หรอกว่าวันไหนที่เราจะได้นอนยาวโดยที่ไม่ต้องลืมตาขึ้นมาอีก ถ้าวันนี้ยังไหวก็ต้องทำก่อน”

“ติ๊บมีความสุขกับการที่ได้เป็นเป็ด ได้ลองมันทุกอย่าง แล้ววันนั้นน่ะติ๊บเชื่อว่าวันนึงถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมา เหมือนติ๊บซื้อประกันไว้หลายเล่ม ก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวว่าเราจะเริ่มต้นทำอะไรอีกครั้ง”

ฟังแบบนี้แล้วรู้สึกดีเหมือนกันแฮะที่เราก็เคยเป็นเป็ด ดังนั้น การเป็นเป็ดบางทีก็มีข้อดีถมเถไป เพราะการทำสิ่งใหม่ให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่แค่ชั่วโมงบินสูงอย่างที่กระติ๊บบอกกับเรา แต่การทำอะไรแล้วถูกต้องถูกจังหวะก็สำคัญไม่แพ้กัน จากเป็ดวันหนึ่งเราต่างก็จะกลายเป็นหงส์ สวยงามในแบบตัวเราในเวอร์ชั่นที่ดีที่สุด