เชฟไทยที่น่าสนใจ : ‘ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ นิสัยที่ ‘แพ้ไม่ได้’ สู่ความฝันที่ยิ่งใหญ่

เชฟไทยที่น่าสนใจ : ‘ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ นิสัยที่ ‘แพ้ไม่ได้’ สู่ความฝันที่ยิ่งใหญ่

Stories of the Month ในหัวข้อ เชฟไทยที่น่าสนใจ หยิบเรื่องราวของ ‘ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ กับนิสัยส่วนตัวที่ ‘แพ้ไม่ได้’ จนทำให้เป็นความฝันใหญ่ของเธอ ที่ครั้งหนึ่งเธอถูกเรียกว่า ‘เชฟกระติ๊บ' เพราะผลงานที่สร้างมากับมือ

  • ‘ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ ความฝันที่ครั้งหนึ่งอยากเป็นเชฟ ซึ่งตอนนี้เธอสามารถเดินตามความฝันได้แล้ว และเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ
  • สิ่งที่อยากให้เกิดขึ้นสำหรับ กระติ๊บ คือ การที่ผู้คนจดจำเธอได้เพราะผลงานและสิ่งที่ทำ ไม่ใช่เป็นเพียงตัวละครหนึ่งในจอโทรทัศน์

ปี 2023 The People นำเสนอซีรีส์ใหม่ บอกเล่าเนื้อหาที่น่าสนใจในแต่ละเดือน ใช้ชื่อว่า Stories of the Month เราจะเลือกกลุ่มของเนื้อหาแล้วนำมาเสนอในฐานะซีรีส์พิเศษประจำเดือน แต่ละเดือนจะมีหัวข้อของเนื้อหาที่ไม่ซ้ำกันมาให้ติดตาม

ในเดือนพฤศจิกายน มาในหัวข้อ ‘เชฟไทยที่น่าสนใจ’ ว่าด้วยเรื่องราวของ ‘คน’ ที่สร้างจุดเปลี่ยน สร้างปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะส่งผลกระทบต่อผู้คน หรือเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละแวดวง รวมถึงเป็นแนวคิดและสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น

โดยครั้งนี้ The People เลือกนำเสนอ ‘กระติ๊บ - ชวัลกร วรรธนพิสิฐกุล’ ถึงแม้หลายคนอาจจะติดภาพจำของเธอว่าคือนักแสดงที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งในวงการ หรือเห็นภาพในมุมของการเป็นพิธีกร หรือนักวิทยุอยู่บ่อย ๆ แต่ว่าไลฟ์สไตล์และความคิดของกระติ๊บ เรียกว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนใจและหลงใหลเกี่ยวกับตัวตนของเธอ

ผู้เขียนได้พูดคุยกับกระติ๊บ ถึงตัวตนจริง ๆ หากไม่ใช่การเป็นนักแสดงหรือ พิธีกรอย่างที่เราเห็นทุกวันนี้ เธอมีความฝันหรืออยากทำอะไรกันแน่ หลังจากที่เราติดตามและเห็นเส้นทางการเติบโตของกระติ๊บที่มีหลากหลายมุมมากขึ้น ทั้งการเข้าไปแข่งขันทำอาหาร จนคว้ารางวัลจากงาน Philippine Culinary Cup 2023 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ได้สำเร็จ

เธอเล่าให้ฟังว่า “ตอนนั้นแค่รู้สึกว่า มันเหมือนเป็นรายการหนึ่งที่ไปแบบสนุกสนาน เพราะเราก็ออกรายการเกมโชว์บ่อย ไม่น่าจะจริงจังอะไรขนาดนั้น แต่พอเราไปดูแบบการแข่งขันจริง ๆ แล้วอุปนิสัยตัวเองลึก ๆ เป็นคนแพ้ไม่ได้ด้วย เป็นคนแบบชอบเล่นเกมอะไรอย่างนี้ เราก็เลยรู้สึกว่าต้องฟอร์มทีมคุณครูที่จะมาสอน”

กระติ๊บเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงที่เธอเตรียมตัวจะเข้าแข่งขันทำอาหารในรายการ Master Chef ซึ่งตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงแรก ๆ ที่ทำให้เธอรู้สึกรักการทำอาหารขึ้นมา และจริงจังมากขึ้น และเหตุผลหลักที่ทำให้เธอภูมิใจทุกครั้งที่ได้ทำอาหารก็คือ ‘คุณแม่’

“ความรู้สึกของติ๊บเปลี่ยนนับตั้งแต่นาทีที่ติ๊บบอกแม่ว่า หม่าม้าติ๊บจะไปแข่งทำอาหารนะ เชื่อไหมติ๊บไปแข่งอะไรมาก็แล้วแต่ เคยประกวดนางงาม ประกวดร้องเพลง เราไม่เคยเห็นความภูมิใจในสายตาของแม่ขนาดนี้ เรารับรู้ได้ แล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย ไปแข่งอะไรมาก็หลายอย่าง แต่ทำไมแม่ดูมีความสุขจังเลยกับการที่เรามาแข่งทำอาหาร ก็เลยแบบ เฮ้ย แม่มาเบอร์นี้เราก็ต้องเต็มที่ แล้วเขาก็จะคอยถามตลอด เป็นยังไง ทำอันนี้ได้ไหม แบบมีการปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้น แล้วก็เอาสูตรอันนี้ไหม ลองทำอันนี้สิ ซอสอันนี้สิอะไรอย่างนี้ นี่คือความสุขของเขา เลยเป็นจุดที่เหมือนสายใยครอบครัวมันแน่นขึ้นสำหรับติ๊บ”

นอกจากแนวคิดที่เธออยากจะตามความฝันของตัวเอง อยากทำในสิ่งที่เป็นตัวตนของเธอจริง ๆ เพราะไม่อยากให้ผู้คนที่ผ่านไปมาจดจำเธอเพียงแค่เป็นคาแรคเตอร์หนึ่งในบทละคร แต่สามารถจดจำเรื่องราวและสิ่งที่เธอทำจริง ๆ

กระติ๊บ บอกกับผู้เขียนว่า “Passion ของติ๊บคือ ติ๊บอยู่วงการมานานมาก จนบางทีแบบก็มานั่งคิดจริง ๆ ว่าเราอยากทำอะไรมาสะระตะได้จริง ๆ ก็ตอนโควิด-19 เอ๊ะ อายุก็ประมาณนึงแล้วนะตอนนั้น 30-33 เรายังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าจริง ๆ แล้วเราเป็นใคร เราเคยมีความฝันอะไรบ้าง ตอบไม่ได้ พอมันมีเวลาคิดกับตัวเองเยอะ ๆ เฮ้ย เราเป็นได้ทุกอย่างดิถ้าเราอยากเป็น นั่นแหละก็คือเหมือนมันเป็นจุดเริ่มต้น จากจุดนั้นก็คือถามตัวเองต่อว่าอะไรที่ทำให้คนไปไม่ถึงฝัน”

“พอค้นเจอปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ก็เลยถึงขั้นตอนการลงมือ แล้วก็ต้องทำจริง ๆ  เพราะติ๊บเชื่อว่าไม่มีสิ่งไหนที่เป็นทางลัด ทุก ๆ เรื่องต้องเผชิญกับมัน ทุกคนกลัวการเริ่มต้น ติ๊บก็เหมือนกัน ทุกคนกลัวการที่ต้องไปนั่งนับหนึ่งใหม่ ติ๊บก็เป็นเหมือนกัน แต่เรารู้สึกว่า เอ้ย วันนี้เรา mature พอที่เราจะผ่านตรงนั้นไปได้ เราก็ต้องทำ”

“ช่วงก่อนหน้าโควิด-19 เรารับงานแบบ 3 เรื่อง 4 เรื่องต่อ 1 คิว วันนี้ต้องเป็นคนนี้ พรุ่งนี้ต้องเป็นคนนั้น คือการรับงานละครมันก็จะเป็นคิวจันทร์-อังคาร-พุธ อีกเรื่องนึงคือพฤหัสบดี-ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ ก็เท่ากับว่า 7 วันของเราไปอยู่กับละครหมด พออยู่กับละครบางที Sharing คิวหลายเรื่อง ถ้าถามว่าการเล่นละครมันดีหรือไม่ดี คือติ๊บก็ไม่ได้สามารถพูดว่ามันไม่ดีไม่ได้เพราะมันก็พาติ๊บมาสู่จุดนึงได้ แต่แค่วันนึงเราถูกกลืนลงไป ที่แบบว่าคนเดินถนนอย่างนี้ อ๋อ คนนั้นไงที่เป็นตัวร้ายที่ร้าย ๆ เจ้านางตองนวลไง บางทีเราก็ฉุกคิดว่าเราอยากให้เขาเจอกับตัวจริงของเรานะ เราอยากให้เขารู้จักจริง ๆ ว่ากระติ๊บไง คนนั้นไงที่ทำเรื่องสิ่งนี้ ๆ”

“เหมือนเป็นช่วงที่กลับมานั่งค้นหาตัวเองจริง ๆ ว่าความฝันวัยเด็กเราเคยอยากเป็นอะไร อยากเป็นผู้ประกาศข่าว อันนี้ก็คือหนึ่งในความฝัน อยากเป็นช่างสักก็เป็นอีกหนึ่งความฝัน อยากเป็นเชฟก็เป็นอีกหนึ่งความฝัน ถ้าถามว่าตอนนี้เป็นยังไง ติ๊บว่ามันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุข แล้วก็เป็นช่วงเวลาที่สนุกที่สุด”

อ่านมาจนถึงตอนนี้ เชื่อว่าหลายคนคงพอเข้าใจแล้วว่า เหตุผลที่ทำให้เราเห็นกระติ๊บ ในหลาย ๆ บทบาท ที่นอกเหนือจากการเล่นละครคืออะไร สิ่งที่กระติ๊บพูดกับผู้เขียน ทำให้ตัวผู้เขียนเองก็ต้องกลับไปย้อนนึกเรื่องราวเก่า ๆ ความรู้สึกเก่า ๆ ที่เราเคยฝันถึง ที่เราเคยอยากเป็นตอนเด็ก ๆ ว่า ณ ตอนนี้ เราเดินไปตามความฝันของเราได้มากน้อยแค่ไหน ถือว่าการแชร์ริ่งความคิดและความรู้สึกจากกระติ๊บ มาถึงผู้เขียน ได้อย่างน่าตกใจเหมือนกัน

อารมณ์ตอนนั้นที่คลุ้งไปด้วยการแชร์ริ่งความคิด และการแลกเปลี่ยนมุมมองอะไรบางอย่างระหว่างกระติ๊บ และผู้เขียน มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษนะ อย่างน้อย ๆ ครั้งหนึ่งคนที่เราเคยเห็นบนจอ อยู่ในบทละคร วันนี้เขาได้สะระตะความคิดบางอย่าง เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครได้อีกหลายคน นี่คงเป็นอีกหนึ่งบทสัมภาษณ์ของผู้เขียนที่พิมพ์ไปยิ้มไป