สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ชีวิตในห้วงโจรจับโจร “อย่าเรียกผม ‘คนดี’ ฟังแล้วขนลุก”

สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ชีวิตในห้วงโจรจับโจร “อย่าเรียกผม ‘คนดี’ ฟังแล้วขนลุก”

สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ในห้วงชีวิตที่ถึงคราวโจรจับโจร และสองสิ่งที่ทำให้รู้สันดานคน ‘อาบอบนวด กับ การเมือง’ เข้าสภาเหมือนเข้าคาสิโน มีแต่กิเลสตัณหาปั้นหน้าใส่กัน แม้แต่เพื่อนยังหันมาแทงกันเองได้

  • นับตั้งแต่ปี 2565 ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เคลื่อนไหวเปิดเผยข้อมูลทุนจีนสีเทา ปะทะฝีปากกับบุคคลสำคัญในสังคมไทยหลายรายอย่างดุเดือด
  • ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ เป็นชาวไทยเชื้อสายจีน แต่ไม่ได้มองตัวเองว่าเป็นคนจีน อีกทั้งยังทำธุรกิจสีเทามาก่อน ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาสัมผัสเรื่องราวมากมาย และจะไม่โกรธ หากเรียกเขาว่าพวกชอบเสือก

The People สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ นักธุรกิจชาวไทยเชื้อสายจีน เติบโตจากเยาวราช เข้าเรียนคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2522 หลังเหตุการณ์ ‘14 ตุลา 16’ และ ‘6 ตุลา 19’ ซึ่งเขาเล่าว่าโตทันและอยู่ในขบวนประวัติศาสตร์นี้ขณะเป็นนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ 

ล่าสุด ชูวิทย์ มีบทบาทเคลื่อนไหวให้หน่วยงานรัฐ รวมถึงส.ส. จัดการกับ ‘ทุนจีนสีเทา’ ซึ่งชูวิทย์อธิบายว่า ตนเองมีความแตกต่างจาก ‘ทุนจีนสีเทา’ แม้ตัวเขาเองจะมีเชื้อสายจีนและเคยทำธุรกิจสีเทามาก่อน

ส่วนเรื่องราวฉากหลังเหตุการณ์ยุค ‘พฤษภา 35’ ชูวิทย์ เผยว่า เคยนั่งรับประทานอาหารกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ บิดาของพล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ในฐานะที่ตนเองเป็น ‘กัลยาณมิตร’ ของพล.อ.อภิรัชต์

หากเป็นเรื่องตำรวจ ‘คนในเครื่องแบบ’ อีกคนที่น่าจับตาในสายตาชูวิทย์คือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ซึ่งชูวิทย์ ยังเล่าถึงความสัมพันธ์กับบิ๊กโจ๊กที่มีมายาวนาน

นี่คือเรื่องราวในบทสัมภาษณ์ชูวิทย์ ชายผู้มีประสบการณ์ผ่านมาหลายบทบาท วันนี้เขาบอกว่า รู้สึกขนลุกและไม่ชอบหากใครจะเรียกเขาว่า ‘คนดี’

จีนเก่าในไทย รุ่นที่ 3 เชื้อสายจีนแต้จิ๋ว

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: บริบทจีนเก่ากับจีนใหม่ต่างกัน จีนเก่าหรือจีนโพ้นทะเล มาด้วยความยากจนข้นแค้นยากลำบาก มาเป็นกุลีบ้าง เป็นกรรมกรบ้าง อย่างพ่อผมค้าขายเสื้อผ้าแต่รุ่นพ่อผมก็โอเคละ ส่วนรุ่นลูกอย่างผมนี่สบายเลย รุ่นผมรับทรัพย์ คือพูดง่าย ๆ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว รวยแล้ว เราจะเป็นอย่างนี้

คนจีนที่มาประเทศไทยตั้งแต่รุ่นก่อน ๆ ก็จะรวย

ครอบครัวผมมาตั้งแต่รุ่นปู่ ปู่ผมเล่นฝิ่นจนกระทั่งไม่รู้หายไปไหน พ่อผมก็ตามหาพ่อของเขา ก็หาไม่เจอ

ตัวผม ผมไม่ได้มองว่าตัวเองเป็นคนจีน เพราะว่าแม่ผมเป็นคนไทย ผมมองตัวผมเป็นคนไทย แต่ว่ามีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว เนื้อในผมเป็นไทยเพราะผมเกิดเมืองไทย เรียนภาษาไทย

เติบโตจากเยาวราช เป็นน้องคนสุดท้อง ‘ลูกหลง’

The People: ชีวิตวัยเด็กที่เยาวราช

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: คนที่รวยเป็นมหาเศรษฐีในไทยทุกวันนี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากจากเยาวราชทั้งสิ้น จีนเก่าบรรพบุรุษของ ‘เจริญ สิริวัฒนภักดี’ เบียร์ช้าง, ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ ซีพี, อนันต์ กาญจนพาสน์ เจ้าของโครงการเมืองทองธานี พ่อเขาชื่อมงคล กาญจนพาสน์ ขายนาฬิกาไซโก น้องเขาคือ คีรี กาญจนพาสน์ เป็นเจ้าของบีทีเอส, ตระกูลมหาดำรงค์กุล ‘ศรีทอง’ ขาย Citizen,

ด้านหลังบ้านผมที่เยาวราชมี ‘เจียไต๋’ ซีพี อยู่ถนนทรงวาด ส่วนข้างบ้านผมคือ ครอบครัวที่สมัยก่อนก่อสร้างตึกแถว ปัจจุบันคือ โนเบิล

เยาวราชเป็นจุดหล่อหลอมให้ผมเติบโตขึ้นมา แล้วอายุ 12 ผมก็ไปเรียนโรงเรียนประจำแล้ว พ่อแม่ผมไปส่งผมเรียนที่อัสสัมชัญ ศรีราชา อยากให้เรียนโรงเรียนดี ๆ ก็ไปเรียนโรงเรียนประจำ

สมัยก่อนอัสสัมชัญ ศรีราชาโด่งดังมาก พี่ผมทุกคนก็เรียนที่นั่น ยกเว้นคนไหนหัวดีมาก ๆ ก็เรียนอัสสัมชัญ บางรัก ส่วนผมเกเร ไปเรียนอัสสัมชัญศรีราชา ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่

ผมเป็นคนเล็ก ผมห่างจากพี่ผมคนรองถึง 10 ปี พี่ผมเป็นหนุ่มแล้วผมยังเด็กอยู่เลย ผมเป็น 'ลูกหลง'

พี่ ๆ ผมนี่เรียนเก่งทุกคน ผมไม่ค่อยชอบเรียนหนังสือหรอก บ้านผมนี่ทุกคนขาวสนิทเลยนะ ทำเสื้อผ้า ขายเสื้อผ้า ขายรองเท้า ทุกคนเจริญรอยตามพ่อผม มีผมคนเดียวที่เกเร

ถ้าคุณเรียกผมว่าพวกชอบเสือก ผมก็ไม่โกรธคุณเลย ผมเป็นคนชอบเสือกมาตั้งแต่เด็ก อาจจะเป็นเพราะผมอยู่ในหมู่นักเลงหรือเปล่า หรือว่าตอนที่ผมอยู่เยาวราช มันจะชอบเสือกไปตลอด

ผมจำได้ตอนอยู่เยาวราชจะมีจลาจลพลับพลาไชย เผาโรงพัก ผมก็ยังไป อายุสัก 12-13 ปีเองมั้งตอนนั้น คือไม่เคยอยู่บ้าน มีเพื่อนชวนไปก็ไป เราอยากจะเห็นอยากจะดู อยากจะเรียนรู้โลกมาก เขาชวนเข้าโรงจ้ำบ๊ะก็เข้าไป โรงน้ำชาก็เข้าไป พอโตหน่อยเข้าไนท์คลับ เราก็เข้า อาบอบนวดเราก็เข้า แล้วเป็นคนช่างสังเกต เคยเห็นอะไรแล้วจะจดจำ นั่นคือบุคลิกผม

ผมเข้าอาบอบนวดตั้งแต่ผมอายุ 18 ไปอาบอบนวดแถวเพชรบุรี ไนท์คลับแถวราชดำเนิน

The People: เรื่อง ‘ตึก 7 ชั้น’ แห่งเยาวราช ที่มาของคำ ‘สวรรค์ชั้น 7’ 

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: สมัยก่อนเรายังเด็กก็มองตึก 7 ชั้นมันสูง มองไป อู้ว ทำไมมันสูงจังตึก 7 ชั้น เขาเรียกว่าสวรรค์ชั้น 7 เป็นโรงน้ำชา

เด็กสมัยนี้อาจจะไม่รู้ว่า โรงน้ำชา ก็คือเลาจ์ในสมัยก่อน ที่เยาวราชก่อนหน้าจะมีโรงน้ำชาก็มีโรงฝิ่น

โรงน้ำชาฮั่วลัก บางทีน้าผมอาผมเขาไป ผมก็ขอเข้าไปวิ่งเล่นแถบนั้น โรงจ้ำบ๊ะ ทำเป็นแป๊ะยิ้มวิ่งไล่จับ ผู้หญิงก็จะทำเป็นเสื้อผ้าหลุดทีละชิ้นสองชิ้น นั่งดูกันเป็นเก้าอี้แถว ค่าตั๋ว 10-20 บาท คือเห็นมาโดยตลอด

ผมเคยคิดว่าทำไมผมมาทำแบบนี้ อาจจะเป็นเพราะผมชอบความบันเทิงเริงรมย์ แต่ผมไม่ค่อยชอบบ่อนนะ เวลาออกมาหน้าตาเศร้าสร้อย มันไม่เหมือนกับไปเที่ยวสถานบริการ มันเป็นกิเลสที่บางที่สุด (ไม่หมดตัวเหมือนบ่อน) คนเราทุกคนมีกิเลสหมด ไม่ว่าหญิงไม่ว่าชายทุกคนล้วนมีกิเลส

The People: เล่าพัฒนาการสถานบันเทิงในกรุงเทพฯ กับจีนไหหลำ

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ผมมีเชื้อสายจีนแต้จิ๋ว จีนแต้จิ๋วค้าขายเก่ง เมืองไทยมีแต้จิ๋วเยอะ สิงคโปร์จีนฮกเกี้ยนเยอะ แต่คนที่ทำอาหารอร่อยในไชน่าทาวน์ของที่ต่าง ๆ ล้วนเป็นจีนกวางตุ้ง ฮ่องกง

ส่วนคนทำโรงแรมในกรุงเทพฯ รุ่นก่อน ๆ เป็นจีนไหหลำทั้งนั้น ถ้าคุณไปที่วิสุทธิกษัตริย์ คุณจะเจอจีนไหหลำ ทำซ่องทำโรงแรมเป็นหลัก อันนี้เรื่องจริงเลย ใครเข้าไปโรงแรมบอก “เฮ๊ย โก ๆ เรียกเด็กให้หน่อย” เขาก็จะพามา 4-5 คนให้คุณเลือก คำว่า โก ของไหหลำ ก็คือคำว่า เฮีย ในภาษาของแต้จิ๋ว

พัฒนาการของซ่องมันก็มีพัฒนาการ จากโรงแรมแถววิสุทธิกษัตริย์ ต่อมาก็มีอ่าง มีขั้นตอนต้องมานั่งคุยกันก่อน เพราะผู้ชายบางคนมันต้องกินเหล้ากันก่อน ไม่ชอบลงแช่อ่างเลย มันดูหื่นเกินไป แบบนี้ก็จะเสียตังค์เยอะขึ้นนะ แบบต้องมานั่งคุยกันก่อน ต้องเป็นคนที่มีทั้งเงินมีทั้งเวลา บางคนมันมีเงินแต่ไม่มีเวลา มันก็ต้องมาตอนสี่โมง พอหกโมงต้องไปรับหน้าเมียแล้ว ต้องกลับบ้านเพราะเวลามันไม่เยอะ มันเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจกัน

ทุกวันนี้คุณไปชี้ที่อาบอบนวด พูดตรงไปตรงมาเรียกว่าซ่อง มันก็คือซ่อง คอกเทลเลาจ์คือโรงน้ำชา มันก็คือโรงน้ำชา มันเป็นพัฒนาการ พัฒนาการของธุรกิจมันก็เป็นไปแบบนั้น

ผมผ่านชีวิตต่าง ๆ เหล่านั้นมา นั่งตกผลึกมาจนถึงทุกวันนี้ คิดถึงชีวิตของคนมันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก ชีวิตคนบางคนดูราบรื่น ชีวิตคนบางคนก็เหมือนกับดูแล้วเขาสบายไม่มีอะไรต้องคิด ชีวิตอย่างผมเนี่ยมันเป็นชีวิตที่มันลุ่ม ๆ ดอน ๆ วันนี้ผมอาจจะดี พรุ่งนี้ผมอาจจะร้าย เพราะฉะนั้นชีวิตผม เคยชินกับความรู้สึกแบบนี้มาโดยตลอด

ผมเคยมีโอกาสไปติดคุก มีโอกาสถูกทำร้าย มีโอกาสเป็นสื่อ มีโอกาสที่จะทำธุรกิจสีเทา มีโอกาสที่ทำธุรกิจสีขาว เพราะฉะนั้น การได้สัมผัสหลายสิ่งหลายอย่างของผมทำให้ผมหลากหลาย ทำให้ผมเรียนรู้ชีวิตมากขึ้นนั่นคือสิ่งที่ผมได้มาเท่านั้นเอง

สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ชีวิตในห้วงโจรจับโจร “อย่าเรียกผม ‘คนดี’ ฟังแล้วขนลุก”

โจร จับ โจร

The People: ชูวิทย์ ผู้มีเชื้อสายจีนและเคยทำธุรกิจสีเทา...แตกต่างจากทุนจีนสีเทาอย่างไร?

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: คุณจะถามผมว่า ผมทำลักษณะย้อนแย้ง ผมเคยทำธุรกิจสีเทา ใช่ไหม โอเค โอเค ถ้าอย่างนั้นผมจะอธิบายให้คุณฟัง สมมติละกันว่า

คุณจะจับโจร คุณจะใช้ใครที่รู้นิสัยโจรมากที่สุด คุณคงไม่ใช้อาจารย์ คุณคงไม่ใช้พระเจ้าอาวาส ถูกไหม คุณต้องใช้โจรอย่างผม

คือคนที่เคยกระทำความผิดและคนที่รู้ตัวว่าเขากระทำความผิดมาแล้วเขายอมรับการกระทำความผิดนั้น และใช้ประโยชน์ในการที่เขาเคยเรียนรู้มีประสบการณ์ในการกระทำความผิดนั้นมาใช้ประโยชน์ในทางที่ถูก

วันนั้นผมทำผิด แต่ผมก็ยังยืนยันว่า สิ่งที่ผมทำ มันเป็นสิ่งที่แตกต่างจากทุกวันนี้

แล้วการทำของผมมันสั้นมากนะ คุณรู้หรือเปล่าผมทำอยู่กี่ปี ผมทำอยู่สิบปีเศษ ๆ เอง ในขณะที่บางคนทำตั้งแต่รุ่นพ่อมาจนกระทั่งรุ่นลูก ผมไม่เคยให้ลูกไปยุ่ง ลูกผมมีแต่ไปวิ่งเล่นเพราะตอนนั้น 4-5 ขวบเอง

ณ วันนี้ รูปการณ์เปลี่ยนไป เวลาผมมองทุนจีน หรือมองคนจีน หรือมองการทำทุกวันนี้ ผมมองในลักษณะที่เปลี่ยนไป ดูเหมือนเขาจะตะกละตะกลามไปหน่อย เขาอยากจะทำเพราะเขาอยากจะได้เยอะ ๆ ซึ่งต่างกับผมนะ ในวันนั้นผมไม่ได้คิดว่าผมอยากได้เงินเยอะ ๆ ผมทำเพราะจุดประสงค์ต้องการความสนุก ตอนนั้นต้องดีลกับระบบราชการอยู่แล้ว จ่ายอยู่แล้ว ผมจ่ายตามขั้นตอน

The People: คุณชูวิทย์ มีความภูมิใจในความเทาของตัวเองที่ผ่านมา?

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: นี่ไง นี่คือสิ่งที่คุณต้องแลก คือคุณจะกระโดดข้ามชั้น การอยู่อีกชั้นจะกระโดดไปอีกชั้นมันไม่ใช่เรื่องง่าย ยกเว้นว่าคุณจะทำอะไรเทา ๆ

สเต็ปการข้ามขั้นของคนจีนในเมืองไทยไม่ได้ง่าย ที่จะข้ามขั้นแต่ละรุ่น สมมติว่าวันนี้คุณเป็นคนธรรมดา จะข้ามขั้นไปเป็นคนรวยในสังคมนี้ ไม่ได้ง่าย คนจึงหันไปทำอะไรเทา ๆ

คุณอย่าลืม ความหลากหลายนี่สำคัญ วันหนึ่งผมนอนกับคนที่ติดคุกคดีฆ่าข่มขืนคดีปล้นฆ่าในคุก วันหนึ่งผมอาจจะนอนกับผู้หญิงที่สวยค่าตัวแพง วันหนึ่งผมอาจจะต้องไปนอนอยู่คนเดียว เพราะฉะนั้น ความหลากหลายทำให้ผมรู้สึกว่า ผมได้เข้าใจชีวิตคนมากขึ้น

The People: ตรวจสอบ ‘ทุนจีนสีเทา’

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: มันเป็นจีนที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นจีนที่ไม่ได้รู้สึกว่าไทยมีกฎหมาย

เขามาด้วยความโลภ แล้วจีนมีหัวการค้า จีนเทามันรู้ว่า มันให้ขนาดนี้ มันรู้ว่ามันต้องได้กลับมาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณมีอำนาจ มันพร้อมจะให้คุณเลย แต่ถ้าเจอคนที่ต่ำกว่า มันพร้อมจะกดเหยียบทันทีเลย มันแตกต่าง

ความจริงของจีนเทาก็คือว่า ถ้าคุณไม่รู้จักคอนโทรลเขา จีนต่าง ๆ เหล่านี้เขาไม่รู้จักวัฒนธรรมไทย เพราะฉะนั้น เขาสามารถจะดัดแปลงวัฒนธรรมไทยให้เปลี่ยนแปลงไปได้ จากกระบวนการคอร์รัปชั่นนี่แหละ คนไทยจ่ายกับคนจีนจ่ายไม่เหมือนกัน คนจีนจ่ายหนักกว่า คนไทยจ่ายน้อย มันทำให้ระบบเสียไปไหม มันจ่ายหนักเพื่อจะได้เงินที่หนักกว่า สถานบันเทิงที่คนไทยทำ ที่ไหนกล้าทำแบบนี้ จีนเทาเอายาเสพติดมาด้วย

ไทยไม่กล้าทำหรอกครับ ไทยกล้าทำเหรอ แม่งมีคาราโอเกะ แล้วแม่งมีเสพยาด้วย เปิดเผย ฝากยาได้ด้วย เห็นไหม แต่คนจีนกล้าทำ

ดังนั้นสิ่งที่ผมพูด ไม่ได้หมายความว่าผมเป็นคนดี แต่หมายความว่าประเทศไทยไม่มีใครพูดความจริง มันเลยกลายเป็นว่าผมเป็นคนดี

ตอนที่เขาทำผิดแล้วจังหวะเขาได้ เขาก็ต้องโดน คนทำผิดเยอะแยะทำไมไม่โดน คุณอาจจะถามว่าคนขายยา แม่งเล่นยา ดูดยาอย่างนี้ เห็นมีเยอะแยะทำไมมาเล่นกูที่เดียว ก็เพราะว่าจังหวะมึงซวย ความซวยมึงเกิดขึ้นวันนั้น ผมถึงพูดอยู่เรื่อย ความซวยมันมาหาเรา ส่วนความสุขมันชั่วครั้งชั่วคราวมันแป๊บเดียว แต่ความซวยเนี่ยมันยาวมากเลยนะ

The People: เคลื่อนไหวเรื่องทุนจีนสีเทา เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือเป็นคู่กรณีหรือไม่

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: นี่ไงสิ่งที่คนมักจะเซอร์ไพร์ส คนมักจะคิดอยู่เสมอ และตั้งคำถามว่ามีความขัดแย้งกันหรือเปล่า ไม่มีใครคิดบ้างเลยเหรอว่าสิ่งที่ผมทำเป็นสิ่งที่ดลบันดาลใจจากตัวผมเอง ผมเห็นว่าสิ่งที่เขาทำ มันกระทำมากเกินไป

ผมไม่ได้มองว่าผมเป็นคนดี ผมเป็นคนที่พูดความจริง ผมไม่ใช่คนดี อย่าเรียกผมว่าคนดี ผมขนลุก ผมไม่ชอบด้วยซ้ำ ใครเรียกว่าผมเป็นคนดี แต่ผมเป็นคนพูดความจริงนี่แน่นอน แน่นอนที่สุด

การเป็นตัวประหลาดในบางเรื่อง ในทางมาร์เก็ตติ้งเขาเรียกว่า differentiate อยู่เหนือ subject ธรรมดาที่เขาคิดเหมือนกัน ผมเป็นคนเข้าใจเนื้อแท้ของชีวิต

สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ชีวิตในห้วงโจรจับโจร “อย่าเรียกผม ‘คนดี’ ฟังแล้วขนลุก”

อยู่ส่วนไหนในยุคเดือนตุลา 2516-2519

The People: คุณชูวิทย์เติบโตมาในยุคเดือนตุลาปี 2516 - 2519 ตอนนั้นอยู่ส่วนไหนในความเคลื่อนไหวของขบวนการ

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ผมอยู่ในความเคลื่อนไหวนั้นเลย เพียงแต่ว่า ผมเป็นเด็ก ม.ศ. 4-5 ที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย ผมเข้าธรรมศาสตร์ ปี 2522 ส่วนตอนปี 2519 ผมอยู่ม.ศ.4 ตอนนั้นผมเรียนอยู่เทพศิรินทร์ ตอนนั้นผมยังไปร่วมกับเขา

คือความรู้สึกอยากจะมีส่วนร่วมของผมมีมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว อยากจะมี participate เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ หรือแม้กระทั่งตอนเสื้อแดงชุมนุม ผมก็นั่งมอเตอร์ไซต์ไป ถ้าเขาไม่ให้เข้าที่ชุมนุม ผมก็ซื้อบุหรี่ติดตัวไว้ ผ่านทหารผมก็ยื่นบุหรี่ให้ ขอผมไปหน่อย ผมผ่านเสื้อแดงกั้น ก็ยื่นบุหรี่ให้ ผมซื้อบุหรี่ไว้คอตตอนหนึ่งในอกเสื้อเลย

The People: ความเป็นเด็กธรรมศาสตร์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ตอนที่ผมอยู่ธรรมศาสตร์ ผมหัวเอียงซ้ายนะ นี่ผมพูดจริง ๆ ผมไม่ได้พูดเล่นเลย ผมเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะเป็นเสรีนิยมมากเลย เป็นพวกหัวเอียงซ้ายมาก ผมต่อต้านความไม่ถูกต้องนะ

ผมคิดว่า ธรรมศาสตร์มีต้นแบบของความรักในความยุติธรรม มีความดื้อ มีความด้าน มีความไม่เชื่อฟัง อันนี้แหละผมคิดว่าผมได้ตรงนี้มา ถูกหรือผิด เราไม่รู้หรอก

ถึงแม้ผมจะมีเงินนะ ณ วันนั้นเพื่อนๆ เรียกผมว่า ‘เสี่ย’ ทุกคนก็รู้ว่าผมมีรถขับ ในวัยนั้นมีเงินสามารถเข้าร้านอาหารกินได้มื้อละ 500-1,000 บาท แต่ ณ วันนั้น ผมมีความรู้สึกว่าธรรมศาสตร์ได้สอนให้มีจิตวิญญาณของคนที่รู้สึกว่า... ถ้าผมพูดไป คุณอาจจะไม่เชื่อ แต่ผมคิดว่าจิตวิญญาณของธรรมศาสตร์ได้สอนบางสิ่งบางอย่างให้ผม มันอาจจะเป็นนิสัยผมเองด้วยและที่ผมเรียนอยู่ 4 ปี ก็หล่อหลอมผมอยู่พอสมควร

The People: มองม็อบเยาวชนที่เคลื่อนไหวยุคปัจจุบันนี้อย่างไร

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ผมคิดว่าเขาต้องทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ไม่มีใครห้ามเขาได้ แม้กระทั่งศาลก็อยากจะห้าม บางทีก็ลงโทษเพื่อให้หลาบจำ แต่พวกเขาเป็นเด็กดื้อมีตัวตน เมื่อติดคุกติดตะรางก็จะรู้สึก แต่ถ้าผมไปบอกว่าอย่าทำ เขาก็ไม่เชื่อหรอก ยิ่งเด็ก ยิ่งบอก ยิ่งไม่เชื่อ

ผมมีลูก บอกอะไรเขาว่าอย่าทำ มันทำทันทีเลย ประสบการณ์จะสอนเขาเอง เด็กที่เคลื่อนไหว เขาต้องเรียนรู้ประสบการณ์ ถ้าไปบอกไม่ให้ทำ เขาก็ไม่เชื่อ พอเขามีประสบการณ์พัฒนามาจึงจะเป็นความรู้

The People: อยู่ส่วนไหนในการเมืองยุค ‘พฤษภา 2535’

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ปี 2535 ผมทำอาบอบนวดอยู่เลย แล้วผมเจอคุณแดง (พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์) ตั้งแต่อยู่อเมริกา ผมก็เคยกินข้าวกับ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ คุณพ่อของคุณแดง ผมเคยนั่งทานข้าวกับท่าน ท่านสูบซิการ์ นั่งสมาร์ท คุณแดงก็วัยขนาดผม นั่งคุยกัน ก็เหมือนกับคนหนุ่มวัยนี้ อายุสามสิบกว่า มีเพื่อนเป็นนายทหาร

ผมคบคุณแดงเพราะคุณแดงแกเป็นลูกผู้ใหญ่ ผมก็ให้เกียรติแก แต่ผมไม่เคยทำธุรกิจอะไรกับแก ไม่เคยมีแม้แต่นิดเดียว มีแต่คบหากัน คุยกัน กินข้าวกันนะครับ ก็เติบโตกันมาตามวิถีทาง

แกเป็นทหาร ผมเป็นพ่อค้า ท้ายสุดเมื่อเติบโตกันไปจนกระทั่งถึงอายุห้าสิบกว่า ความสนิทก็อาจจะเหมือน ‘บิ๊กป้อม’ กับ ‘บิ๊กตู่’ สองคนนี้เขาเป็นทหารยิ่งต้องสนิทกันหรือเปล่า เติบโตมาด้วยกัน

ส่วนผมกับคุณแดงก็อาจจะเคยไปเที่ยวด้วยกัน กินเหล้าด้วยกัน เคยไปบ้านกัน แกยังเคยมาอุ้มลูกผม ไอ้ต๊ะเนี่ย ตั้งแต่เพิ่งเกิดเลย ความสนิทอย่างนี้ เขาเรียกว่ากัลยาณมิตร

ในชีวิตนี้ผมไม่เคยไปอ้างว่ารู้จักแกแล้วไปหากินกับใคร ผมไม่เคยไปอ้างแล้วเปิดรูปให้ดู ไม่มี ไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว แกก็เลยไว้ใจผม แกก็เห็นผมเป็นแค่กัลยาณมิตร

ผมไม่ได้ไปพึ่งพาอาศัยหรือไปอ้างแก ผมไม่เคยเลย จะสังเกตได้ ผมไม่เคยไปถ่ายรูปไปโชว์ ยกเว้นลูกผมแต่งงาน เขาเป็นเพื่อนผม ผมก็เชิญเขามางาน ผมไม่ได้ไปนั่งออฟฟิศเขา ไม่เคยใช้บารมีเขา

ไม่ใช่ว่าไปอาศัยประโยชน์ไปอาศัยบารมี ไปเอ่ยชื่อ ผมไม่เคยทำ แม้กระทั่งตอนผมติดคุกแกยังให้ทหารผมว่าชูวิทย์อยู่ได้ไหม ผมบอก ผมอยู่ได้ ไม่มีปัญหา

ตอนผมอยู่คุกผมก็ไม่เคยจะต้องทำอะไรในฐานะรู้จักกับเขา ผมนอนห้องที่ร้อนที่สุด ผมไม่ได้อยู่ห้อง 11 ซึ่งเป็นห้องวีไอพีนะ ผมเข้าคุก 3 รอบ ผมไม่เคยได้อยู่ห้องนั้น ผมกล้าพูดเลยว่า ผมไม่เคยขอความช่วยเหลือคนอื่นวันที่ผมตกอับ ผมไม่เคยไปขอผู้ใหญ่ ไม่เคยไปเอ่ยปากขอใคร ผมก็รับผิดชอบชะตากรรมตัวเอง จนกระทั่งผมออกมา

The People: ความสัมพันธ์ ‘บิ๊กโจ๊ก’ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: คือผมมองบิ๊กโจ๊กเป็นคนมีความสามารถ ผมเป็นคนที่มองความดีของคน

อายุราชการของบิ๊กโจ๊กยังอีก 8-9 ปีนะ ผมรู้จักบิ๊กโจ๊กครั้งแรกเขาเป็นผู้กำกับอยู่หาดใหญ่ ผมเป็นส.ส. เป็นกรรมาธิการตำรวจไปตรวจพื้นที่หาดใหญ่ บิ๊กโจ๊กเป็นผู้กำกับก็มาต้อนรับผม ผมก็เห็นว่าโจ๊กเป็นนายตำรวจคนหนึ่ง ต่อมาเขามีความเติบโตได้รวดเร็ว

ถามว่าทำไมผมมองไปที่บิ๊กโจ๊ก วันหนึ่งโจ๊กก็ต้องขึ้น เป็นเรื่องปกติ ถ้าเขาไม่สะดุดขาตัวเอง วันหนึ่งเขาก็ต้องขึ้น

วันหนึ่งถ้าโจ๊กขึ้นมาเป็น ผบ.ตร. ผมอยากจะดูว่า แกจะเป็นผบ.ตร. เหมือนกับ ผบ.ตร. คนอื่น ๆ ที่ผ่านมาหรือเปล่า

ด้วยความที่แกผ่านมาทุกรูปแบบ แกเคยตก วันที่แกตกไม่มีใครเอาเข้าบ้าน แกมานั่งคุยกับผม ผมบอกเข้ามาคุยกับผมเลย วันนั้นแกอยู่ประจำสำนักนายกฯ อำนาจไม่มี ลูกน้องไม่มี มีผมนั่งคุยกับเขา คนเราจะรู้จักกันตอนตก

ไอ้ตอนที่ใหญ่มีคนเข้าหาเยอะแยะ เพราะฉะนั้น ผมคุยกับเขาได้ ต่างคนต่างเหมือนมองตาแล้วเข้าใจ ผมรู้เขาคิดอะไร ทำอะไร และเขาต้องการอะไร บางคนอาจจะต้องการเงิน แต่อย่างโจ๊ก ผมรู้ว่า เขาต้องการแสดงความสามารถเขานั่นคือสิ่งที่ผมมองเป็นข้อดี

โจ๊กเป็นบุคคลที่น่าสนใจ น่าจับตามอง

The People: อาบอบนวด กับ การเมือง 

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ประเทศไทยเนี่ย มีอะไรที่ไม่ยอมรับความจริงกันอยู่เสมอ คนไทยเราพูด yes แต่จิตใจข้างในแปลว่า no เพราะฉะนั้น ผมคิดว่าเรื่องนี้ของคนไทย เป็นเรื่องที่เราต้องอ่านใจ

ผมพอมีความรู้ทางการเมือง เหตุผลที่ดีอย่างหนึ่งในการทำอาบอบนวดธุรกิจกลางคืน กับ เหตุผลในการทำการเมือง มันมี 2 อาชีพนี้ที่ทำให้ผมได้รู้สันดานคน

คนที่จะมาทำงาน(กลางคืน) กับผม คุณคิดดูว่า หลังเขาต้องชนฝาไหมที่เขาต้องตัดสินใจมาทำงานแบบนี้

การเมืองก็เหมือนกัน การเมืองจะทำให้เราเรียนรู้สันดานคนว่าคนคนนี้นิสัยยังไง เพราะบางครั้งแม้แต่เพื่อนคุณเองยังแทงคุณได้เลย การเมืองทำให้เราได้เรียนรู้สันดานคน ได้เรียนรู้จิตใจคน เวลาเข้าไปในสภามันเหมือนเข้าไปในคาสิโน มีแต่คนที่มีกิเลสตัณหาปั้นหน้าเข้าใส่กัน นั่นคือสิ่งที่ผมรู้สึก

The People: ตอนแยกกับคุณบรรหาร ศิลปอาชา ตอนนั้นเป็นอย่างไร

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: การแยกกับหัวหน้าบรรหาร เป็นเรื่องหมิ่นศักดิ์ศรีกัน ตรงที่ว่า แม้หัวหน้าบรรหาร ท่านจะมีอาวุโส เป็นหัวหน้าพรรค ส่วนผมเป็นลูกพรรค แต่ความที่ผมเป็นลูกพรรคที่ผมไม่เคยไปเอาเงินของท่านแม้แต่บาทเดียว ผมถือว่าตัวเองเป็นลูกพรรค ผมไม่ใช่ลูกจ้าง

ส่วนคนอื่นไปรับเงินก็มีสถานะเป็นลูกจ้าง ดังนั้น ท่านจะปฏิบัติกับผมเหมือนลูกจ้างเหมือนคนอื่น ๆ ไม่ได้ อันนั้นคือความขัดแย้งกัน

ข้อต่อมา ในวันที่ผมพูดเรื่องบ่อนรัชดาวันแรก ทุกคนเห็นผมทำหลักฐานชัดเจนมีคลิป มีอะไร มันก็มีนักการเมืองคนหนึ่งไปเอาประโยชน์จากคนคนหนึ่งโดยอ้างว่า ใช้ผม นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมเรียนรู้ถึงสันดานของนักการเมือง

สัมภาษณ์ ‘ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์’ ชีวิตในห้วงโจรจับโจร “อย่าเรียกผม ‘คนดี’ ฟังแล้วขนลุก”

มีหลายศาสนา

The People: คุณชูวิทย์มีหลายบทบาท แต่ขาดอีกหนึ่ง คือนักบวช การบวชเป็นพระอยู่ในความคิดไหม

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ผมคิดนะ คนถามว่านับถือศาสนาอะไร ผมบอกผมเป็นพุทธ แคทอลิค และอิสลาม ผมเป็นเด็กวัด ผมเรียนเทพศิรินทร์ ผมเป็นพุทธนะ

ผมเป็นแคทอลิคเพราะอะไร ภรรยาผมคนหนึ่งที่มีลูกด้วยกัน 4 คน ต้น เติม เนี่ย เขาเป็นแคทอลิค ถือศีลล้างบาป และผมก็ถือว่าตัวเป็นอิสลาม การที่อิสลามให้มีเมีย 4 คนได้ ไม่ใช่ไปมีเมียเด็ก ๆ นะ การที่มีเมียหลาย ๆ คน ก็คือการช่วยเหลือให้เขารอดพ้นจากความทุกข์ยาก ผมมีความรู้สึกแบบนั้นนะ คุณอาจจะไม่เชื่อผม แต่ว่าผมรู้สึกอย่างนั้นจริง ๆ บางคนมาหาผม มาให้ความสำราญกับผม ผมก็ต้องให้เงิน

ต่อมา เขาคิดว่าเขาไปได้คนที่ดี ๆ ที่เลี้ยงดูเขาเป็นตัวเป็นตน ผมสนับสนุนเขานะ ให้เขาไปเลย ไม่เคยขวาง

 

ความรัก และ เซ็กส์ ในมุม 'ชูวิทย์'

The People: รับผิดชอบหลายครอบครัว

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: คุณอาจจะเรียกผมว่าเป็นคนเจ้าชู้ แต่ว่าผมเป็นคนที่รับผิดชอบ แม้ว่าผมไม่ได้อยู่กินกับเขาแล้ว ผมก็ยังต้องเลี้ยงดูเขา ถือว่าผมได้ทำผิดและก็ได้ทำสิ่งที่ถูก ดูแลให้มีชีวิตที่ดี ถ้ามีลูก ผมก็ส่งลูกให้เขาได้เรียนไม่น้อยหน้า ก็แล้วแต่ความสามารถด้วย ถ้าเขาเก่ง เขาก็สามารถจะเรียนได้มากขึ้น

คุณต้องเข้าใจว่า บางทีไปเจอผู้หญิงที่เข้ากัน คุณก็อาจจะเผลอไผลไป คุณก็อาจจะต้องไปเลี้ยงดูเขา คุณก็อาจจะต้องไปสร้างชีวิตขึ้นมาอีกตัวตนหนึ่ง ก็คือคุณต้องมีครอบครัวอีกครอบครัวหนึ่ง

แต่ท้ายสุด ผมบอกคุณเลย คุณจะต้องรักได้แค่คนคนเดียว ในตอนหนุ่มอาจจะมีความภาคภูมิใจที่มีคนนั้นคนนี้ แต่พอแก่ตัวแล้วจะค้นพบว่า คุณจะใช้ชีวิตได้กับคนคนเดียว

บางคนเรียกว่า คู่สร้างคู่สม บางคนเรียกคู่เวรคู่กรรม บางคนอาจจะเรียกคู่ชิดคู่เชย ผมผ่านผู้หญิงมาหลาย ๆ คน มีชีวิตมาหลาย ๆ แบบ ชีวิตที่เป็นคู่ผัวตัวเมียมันมีความสุขจริง ๆ นะคุณ

The People: ความรักไม่ได้มีแค่เรื่องเซ็กซ์

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: ผมคิดว่าเรื่องเซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ ผมมองเซ็กซ์คือสิ่งที่เราแสดงออกถึงความรัก

มนุษย์เราเนี่ย ถ้าคุณไม่รักนะ ถ้าคุณทำเซ็กซ์ ยังไงยังไง คุณก็ทำไม่เหมือนกับคนที่คุณรัก มันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ

ผมอยู่กับคนที่ทำงาน คนที่มาเที่ยวก็มาชั่วครั้งชั่วคราว มาปลดปล่อย ที่บ้านเขาภรรยาอาจจะไม่ชอบเรื่องนี้ แต่เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

เงินไม่ได้หมายถึงความสุข

The People: เคยเจอคนที่มีเงินซื้อได้ทุกอย่าง แต่ไม่มีความสุขไหม

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: มีเยอะแยะ เขาเป็นคนมีเงิน แต่ไม่ได้เอาเงินมาสรรหาความสุข เงินมันไม่ได้หมายถึงความสุขนะ คุณอาจจะเถียงผมได้ว่า ผมพูดได้สิ มีเงินแล้วนี่ ซึ่งใช่ ถ้าคุณเป็นเจ้านายเงิน

แต่ถ้าเงินเป็นเจ้านายคุณเมื่อไหร่ เงินจะบัญชาให้คุณทำงาน แล้ววันหนึ่งก็ต้องเบื่องานที่ทำ แต่จะมีความสุขได้อย่างไรกับเงินจำนวนน้อย เงินน่ะต้องมีแน่

เงินเป็นตัวตั้ง แต่เงินไม่ใช่ตัวคูณความสุข ไม่ใช่มีเงินร้อยล้านแล้วจะมีความสุขร้อยเท่า ไม่ใช่มีเงินพันล้านแล้วจะมีความสุขเพิ่มขึ้นพันเท่า บางคนก็มีความสุขจากการทำงานหรือชื่อเสียง มีเงินไม่ได้หมายความว่าจะมีความสุข

The People: มีคนรวยเคสไหนที่คุณชูวิทย์รู้สึกเซอร์ไพร์ส ในความทุกข์ของเขาว่า รวยขนาดนี้แต่หาความสุขให้ตัวเองไม่ได้

ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์: มี แล้วผมไม่บอกด้วย เขาไปไหนก็ไปไม่ได้ ต้องระวังตัว มีบ้านหรูหราใหญ่โต แต่เงียบเหงา ผมเอ่ยไม่ได้ แต่ผมเห็นมาหมด เห็นว่าเขามีพร้อมทุกอย่างแต่เขาก็ไม่สามารถใช้เงินที่เขามีได้ เงินมันไม่ได้หมายถึงความสุขนะ

ผมอยากจะพูดให้คนดู The People ได้เข้าใจ ผมอยากจะพูดคำสุดท้าย ประโยคสุดท้ายที่บอกคุณว่า เราจะมีความสุขได้ มันอยู่ที่ใจเรา มันไม่ได้อยู่ที่กระเป๋าเรา