16 ก.พ. 2565 | 03:11 น.
หากพูดถึงมวยไทย บางคนอาจจะนึกถึงการต่อสู้เป็นหลัก แต่สำหรับ ‘ครูเสน่ห์ ทับทิมทอง’ ครูมวยผู้คลุกคลีกับสังเวียนมวยมาตั้งแต่วัยเยาว์กลับมองว่าเบื้องหลังหมัด เท้า เข่า ศอก ไปจนถึงพิธีไหว้ครูของ ‘มวยไทย’ ล้วนแฝงไปด้วยปรัชญาที่สอนให้ผู้คนได้รู้จักทั้งร่างกายและหัวใจของตนเอง ชีวิตและความผูกพันกับสังเวียนมวย “จะให้เขารักมวยไทย เราต้องสอนใจเขาก่อน สอนถึงทฤษฎี ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของมวยไทย ไม่ใช่ใครอยากเรียนมวย มึงต้องชก เด็กก็ไม่อยากเรียน เพราะเข้ามาแล้วมันเจ็บตัว” ครูเสน่ห์เล่าถึงวิธีการสอนในแบบฉบับของตนเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นการอบรมให้ความรู้ด้านมวยไทยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ แต่ก่อนจะเริ่มก้าวสู่การเป็น ‘ครูมวย’ อย่างเต็มตัว ครูเสน่ห์เคยเป็นข้าราชการครูอยู่นานถึง 25 ปี โดยที่มวยไทยยังคงซึมซับอยู่ในหัวใจของเขาเรื่อยมาตั้งแต่วัยเยาว์ “ครอบครัวผมไม่มีคนชกมวย แต่ตัวผมเองชกมวยครับ ที่ชกนี่ไม่ใช่อยากจะชก อยากจะเป็นนักเลงอะไร เพียงแต่ว่าอยากได้สตางค์ ขณะที่ชกมวยเราก็มีพรรคพวกเยอะ มีเรื่องมีราว มีอะไรในสถานศึกษาหรือว่าต่างสถาบัน เราก็เป็นผู้เคลียร์ ไม่เรียกผู้นำนะ เรียกผู้เคลียร์ แต่บางแก๊งเขาไม่ยอมเหมือนกัน เราก็ต้องโดนก่อน จนที่เพชรบุรีผมเรียนไม่ได้ ผมต้องไปเรียนที่อ่างทองซึ่งมันไกลมาก “จบอ่างทองมาต่อที่ มศว. ศรีนครินทร์(ประสานมิตร) พลศึกษาที่กรุงเทพฯ แล้วไปสอบบรรจุที่วิทยาลัยเกษตร แล้วก็ค่อยมาชกที่ลุมพินีของทรงชัย รัตนสุบรรณ มีชื่อเสียงอยู่ได้หลายปี ก็ผันตัวเองมาเป็นครูมวย เผยแพร่ศิลปะมวยออกไป แล้วตอนหลังองค์กรภาครัฐเขาเห็นเข้า เขาก็เลยเชิญไปร่วมเผยแพร่กิจกรรมในต่างประเทศ “เวลาไปต่างประเทศก็จะไปในลักษณะของการสัมมนา 7 วัน 15 วันก็แล้วแต่ ผมจะแตกต่างกับครูมวยทั่ว ๆ ไปที่ไปสอนเรือนปี สองหรือสามปี ครั้งแรกจำได้เลยที่ประเทศสิงคโปร์ แม้กระทั่งสุดท้ายที่คนอื่นเขายังไม่เคยไปเลยในอูกันดา แทนซาเนีย เอธิโอเปีย”