30 พ.ค. 2566 | 17:03 น.
KEY
POINTS
เด็ก(เคย)ติดยาที่กลายเป็นแชมป์มวยไทยตัวจี๊ดแห่งยุคจากศึก ONE Championship เรื่องฝีมือไม่ต้องพูดถึง ที่เด่นจนต้องพูดถึงคือความแสบบนเวที แถมยังกล้าข้ามไปชกแบบ MMA แม้รู้ดีว่าอาจจบไม่สวยก็ตาม
เขาก้าวพ้นสภาพแวดล้อมย่ำแย่มาเป็นแชมป์มวยไทยตัวจี๊ดแห่งยุคที่กล้าไปชกกับนักมวย MMA และลงเอยด้วยสภาพหลับบนเวทีได้อย่างไร The People สัมภาษณ์พูดคุยกับนักมวยไทยรายนี้ ติดตามเรื่องราวชีวิตของเขาจากบทสัมภาษณ์
The People: อยากให้เล่าถึงจุดเริ่มต้นที่บอกว่า การชกมวยพาชีวิตออกจากความยากจน ครอบครัวมีสภาพเป็นอย่างไร
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็ฐานะทางบ้านนะครับ ครอบครัวก็คือ ครอบครัวผมมีพี่น้อง 10 คน ผมเป็นคนที่ 8 แล้วก็ฐานะยากจนมาก เคยอยู่บ้านก็ตอนเด็ก ๆ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้ต่อยมวย ไปเก็บเศษเหล็กกับแม่ ไปหาปูหาปลา ล้างจานตามงานศพต่าง ๆ อย่างนี้ที่มันได้เงิน อะไรได้เงินก็ไปอย่างนี้เนาะ แล้วก็มันก็จนน่ะ จนมาก คือหาเช้ากินค่ำอย่างนี้ คือพ่อก็ไปทำงานตั้งแต่เช้ากลับค่ำ แม่ก็วันไหนไม่มีเงิน ก็ไปหาปลา หรือสอยมดแดงบ้างอะไรบ้างที่มันทำกับข้าวเพื่อให้ลูก ๆ ได้กินได้ เขาก็ไปหามา
จนผมมาเห็นค่ายอยู่ข้างบ้าน ห่างกันประมาณ 500 เมตร แล้วน้อง ๆ ที่ชก เคยชก เขาก็บ่นมาบอกอยู่ว่าลองมาชกมวยดูสิ มันได้เงินนะ มันได้เงินเยอะอะไรอย่างนี้ มันได้เงินดีอะไรอย่างนี้
แล้วเราเองก็ชอบกีฬาอยู่แล้วด้วย ตอนเด็ก ๆ ก็คือเตะฟุตบอล เล่นทุกอย่างกีฬาโรงเรียนอะไรทำหมด ก็ลองลองดูอย่างนี้ แต่ก่อนที่จะได้ซ้อมก็ไปแอบดูก่อน แอบดูยืนที่ถนน ตรงกลางถนน แต่ค่ายอยู่ฝั่งนี้ แต่ผมดูอยู่อีกฝั่งนึง ดูห่าง ๆ ห่างมากตอนนั้น ดูห่างมากก็เลยแบบยังไม่กล้าเข้าไป แล้วมันเหมือนว่ามีทั้งมวยหญิงด้วย มวยชายด้วยอย่างนี้ คือแบบซ้อมกันได้อย่างนี้ ดูมันสนุกดี เหมือนมีเพื่อนด้วยอย่างนี้ แล้วก็ลองเข้าไปดู ก็ไต่ ๆ เข้าไปจนได้ไปถึงค่าย
แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก เพราะว่าเขามีมวยที่สร้างอยู่แล้ว มวยที่สร้าง เขาบอกอยากซ้อมก็ซ้อมไป เตะกระสอบเล่น เขานึกว่าเราจะมาแค่เล่นเฉย ๆ นะ แต่เราอยากจะอยากชกจริง ๆ เราก็ไปอยู่อย่างนั้นแหละครับ กวาดขยะบนเวทีบ้าง ทำทุกอย่างอยู่อย่างนั้น
คือเตะกระสงกระสอบจนแบบปีนึง ปีเต็ม ๆ เขาก็เลยถามว่ามึงอยากชกมวยเหรอ ผมบอกใช่ครับ ผมอยากชกมวย อยากได้เงินอะไรอย่างนี้ เขาบอกโอเคงั้นเดี๋ยวไปเปรียบมวย ก็คือต้องเล่าว่าตอนเด็ก ๆ อยู่ใต้มันต้องเปรียบมวย
การเปรียบมวยก็คือ สมมติภาคใต้จังหวัดไหนมีค่ายมวย สมมุติพัทลุงจัดมวยอย่างนี้ หาดใหญ่ สงขลา นครศรีฯ มีค่ายมวยอันไหน เขาก็มาเปรียบกัน นักมวยทุกค่ายมารวมกัน มันก็เหมือนเปรียบไก่ เปรียบไก่ตี น้ำหนักได้ ชกมาเท่าไหร่ไฟต์เดียวครับ 2 ไฟต์ครับ ชกกันได้ รูปร่างใช้ได้ น้ำหนักโอเคไม่ห่างมาก ก็จับมือกันไปเซ็นชื่อเพื่อให้ชก นั่นคือสมัยตอนเด็ก ๆ คือจะเป็นการเปรียบมวยแบบนั้น ก็ได้มีรายการชก ขึ้นรายการวันที่ 6 ก็คือผมก็ซ้อม ๆ ทำร่างกาย
วันนั้นเป็นวันที่ 1 แล้วเพื่อน เพื่อนจะชก เพื่อนจะชกแล้วไปถึงเขาบอกว่าแต่เพื่อนป่วย เพื่อนไม่ได้ไป เขาก็เลยใช้ให้ผมไปชกแทน โอ้โห ไฟต์แรกที่ได้ไปชกแทน คือแบบนั่งรถต้องเข้าใจว่าที่ใต้โค้งมันเยอะ เพราะอย่างนั้นผมเมารถ เมารถแล้วอ้วกแบบเยอะมาก อ้วกเยอะมากก่อนชก ก็เลยแบบหมดไส้หมดพุง คราวนี้นวดน้ำมันแล้วชกคู่แรก ออกมาเป็นไฟต์แรกที่แบบตื่นเต้นตั้งแต่เพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้น แบบว่าคนเยอะมาก คือไม่เคยขึ้นไป พอระฆังยก 1 เริ่ม …ว่ายน้ำ ไม่เป็นมวย ใส่หมด 3 ยก ก็ชนะ
ชนะก็ได้รับค่าตัว ได้ค่าตัว 300 บาทไฟต์แรก โห แบบดีใจ ดีใจที่เห็นแบงก์แดง เพราะว่าตอนเด็ก ๆ คือ 5 บาทไปโรงเรียน คือบางวันมันก็ไม่ได้ เพราะข้าวฟรีแม่ก็ให้ไปกินข้าว เพราะว่าแม่ไม่ค่อยมีเงิน
คือแบบมันแย่มาก ไอติมไม้อย่างนี้ยังกินยากเลย ต้องวีรกรรมแบบไปงัดโรงเรียน เพื่อเอาไม้ไอติมฟรี พี่รู้จักใช่ไหม ไม้ไอติมฟรีมันจะมีเพื่อไปแลก แต่ตอนเด็กนะ ผมก็ต้องไปงัดโรงเรียน งัดเพื่อให้ได้เอาไม้ไอติมฟรีไปแลกอีกวันหนึ่งอะไรอย่างนี้ คือมันจนมาก พอชกได้เห็นแบงก์แดงก็ โอ้โห มันดีใจ
ตอนเด็ก ๆ ผมนี่แบบขาดวัยเด็กเลย ของเล่น ไปเที่ยวเหมือนคนอื่น หรือจัดงานวันเกิดเหมือนคนอื่นเนี่ย ไม่มีเลย คือแบบต้องทำงานตั้งแต่เล็ก ทำงานตั้งแต่เล็กแล้วแบบมันก็แย่มาก ถามว่าร้องไห้ตลอด บางทีอิจฉาพี่สาวเลย พี่สาวกลับมาจากกรุงเทพฯ แล้วจัดงานวันเกิดได้เป่าเค้ก เราก็อิจฉา เราแอบไปร้องไห้บ้างอะไรบ้าง คือวัยเด็กก็...ไม่อยากให้นึกถึงก็ไม่ได้อีก มันก็แบบแย่งกันแบบก็ชกมวยไปเรื่อย ๆ จากไฟต์แรกได้ 300 ก็พัฒนาตัวเอง 500 1,000 1,500 ก็ชกบ่อยขึ้น ๆ ๆ
ชกพัฒนาตัวเองมาเรื่อย ๆ ครับ ก็ไปจนพัฒนามาหลักพัน 3,000 4,000 5,000 ก็ชกมา ก็เริ่มได้ให้แม่ ๆ ๆ มาจน…ให้แม่ แล้วเราก็ได้เล่นเกมบ้าง จากวัยเด็กตอนเรียน ไปโรงเรียนอย่างนี้ไม่มีตังค์ แต่พอมาชกมวย โอ้โห อย่างกับป๋าคนนึง คือแบบสั่งให้ทำการบ้านจ้าง 50 บาทอะไรอย่างนี้ จากเมื่อก่อน 4-5 บาทบางทีก็ไม่มีบ้างอย่างนี้ มันก็ดีได้แบบจริงจังกับมวยอย่างเดียวเลย คือซ้อม
The People: ตอนเด็ก ๆ ไม่กลัวเจ็บเหรอ
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ความเจ็บมันต่างกัน ต่างจากผู้ใหญ่ ถ้าโตขึ้นมันจะเจ็บมากขึ้น แต่เด็กมันเหมือนลูกตีกันอะไรอย่างนี้ มันก็เจ็บอีกรูปแบบหนึ่ง แต่มันก็เจ็บนั่นแหละ มีฟกช้ำดำเขียวบ้าง มันก็ธรรมดาของกีฬามวย ก็ชกมาจนมาก็หลักหมื่น
ผมตอนนั้นก็อายุประมาณจะ 14 13 พอเข้า ม. เข้า ม. ต้องเล่าว่าสภาพแวดล้อม คือแบบพอเราขึ้น ม. เนี่ย มันจะแตกต่างนะ ต้องไปเจอรุ่นพี่ยัน ม.6 ม.5 ม.4 พอเข้าไปโรงเรียน มันต้องโดนเพื่อนกดขี่แล้ว บอก เฮ้ย มึงลองสิ่งนี้ดิ ลองสิ่งนี้ ลองดูดบุหรี่ดิ ลองอะไรอย่างนี้ …ก็ได้ลิ้มลองไป ถ้าไม่ทำก็เดี๋ยวโดนรังแก เพราะว่าเราเป็นเด็ก อีกอย่าง สภาพแวดล้อมตอนนั้นก็ยาเสพติดมันเยอะ ผมก็ได้เลยหลงไปอยู่ช่วงหนึ่ง หลงเข้ายา เสพยาบ้า น้ำกระท่อมอย่างนี้ ก็คือเล่นหมด ก็เลยแบบตอนในวัยนั้น เพราะว่าแวดล้อมมันพาไป
The People: มีบอกว่าพยายามจะหนีเรื่องต่อยตีด้วยใช่ไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ใช่ครับ เพราะว่าเราว่าโดน เราตัวเล็ก ๆ ตัวดำ ๆ เล็ก ๆ ก็คือตอนเด็กโดนรังแกง่าย ถึงเป็นนักมวยก็แรงสู้รุ่นใหญ่ ๆ ไม่ได้อยู่แล้ว เราก็อยากหลีกหนีตรงนั้น ก็เลยประมาณ ม.2 ม.2 ครึ่งจะจบอยู่แล้ว มันอยู่ไม่ได้ ก็เลยต้องออกโรงเรียน ออกโรงเรียนแล้วก็บินขึ้นไปกรุงเทพฯ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ลูกพี่หัวหน้าค่ายเก่า… เขาขึ้นรายการที่ราชดำเนินเป็นไฟต์แรก ผมก็ติดยาด้วย ก็เลยหัก หักดิบทุกอย่างขึ้นไปกรุงเทพฯ ขึ้นไปกรุงเทพฯ ก็ โอ้โห กว่าจะหายอยาก ต้องสูบบุหรี่แบบวันละ 3 ซอง จนแบบหัก ๆ จนแบบไม่เล่นอะไรเลย
The People: เล่าแนวคิดตอนนั้นที่เสพติดหลายอย่างอยู่ คิดอย่างไรว่าเราจะต้องเลิกแล้ว เราจะต้องไปชกมวย ต้องไปทำอะไรที่เราอยากทำ
รถถัง จิตรเมืองนนท์: เราคิดว่าถ้าเรายังอยู่บ้านน่ะ สภาพแวดล้อมพาเราไปเป็นค้ายาแน่ สิ่งต่าง ๆ อย่างนี้ มวยก็ไม่ได้คิดเลย มันจะเล่นอยู่อย่างนั้นเลย มันต้องหาเล่น หาเล่นมันเหมือนเป็นสิ่งเสพติดที่เราขาดไม่ได้ ก็เลยแบบ เอ้ย ไม่ได้แล้ว เราต้องไปหาเงิน เราต้องมีเงิน เราจะกลับไปจนแบบนั้นเหรอ ไอติมก็ยังกินยาก อะไรอย่างนี้ ก็เลยได้ตัดสินใจขึ้นกรุงเทพฯ กับลูกพี่ ก็ได้ชกราชดำเนิน
พอชกราชดำเนินเสมอไฟต์แรก เราได้ค่าตัว 8,000 เป็นไฟต์ที่ได้เยอะที่สุดในการชกมวยตอนอยู่ใต้ เฮ้ย มันก็เกือบหมื่น ได้แบบนั้นก็เลยจริงจัง ทุกอย่างไม่สนใจอะไร อยู่กรุงเทพฯ เลย ออกโรงเรียนตั้งแต่ ม.2 ครึ่ง ก็คือเดินออกจากบ้านตั้งแต่ 14 คืออยู่กับลูกพี่ ไม่ได้กลับบ้านอีกเลย ตั้งแต่นั้นก็คือชกมวยอย่างเดียว ชกอัศวินดำบ้าง ชกช่อง 11 บ้าง ชกราชดำเนินลุมพินี ชกมาเรื่อย จนค่าตัว 12,000 14,000 16,000 20,000 จนได้เข้าช่อง 7
The People: ตอนนั้นตัดสินใจอย่างไร เพราะคนอื่นอาจจะมองว่าการเรียนคือทางไปสู่อาชีพในอนาคต
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ฐานะตรงนั้นไง คนอื่นอาจจะมี ไม่จนมาก แต่พอไปได้ ฐานะพอมีเงินส่ง แล้วเราพี่น้อง 10 คนน่ะครับ เราก็ไม่อยากให้แม่ลำบาก โอ้โห แล้วมีน้องสาว 2 คนนี้อีก ต้องส่งเรียนอีก มันก็เลยแบบเราตัดปัญหาได้ก็แบบหลีกเลี่ยงไป ไม่เป็นไร เราก็เหมือนทำงาน มีโอกาสค่อยว่ากันในอนาคต
The People: มวยนี้ถ้าจะพูดก็คือเป็นทางออกจากความยากจนของพี่
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ใช่ครับ มวยเป็นทางออกที่สุดเลย ถ้าไม่ต่อยมวย การศึกษาผมก็ไม่ได้ ไม่รู้จะทำงานอะไร ก็น่าจะเก็บเศษเหล็กเหมือนเดิม หรือไม่ก็ก่อสร้าง ก็ประมาณนั้น ผมคิดว่านะ แล้วถ้าเรายังอยู่บ้าน ก็น่าจะอยู่แค่นั้น ค้ายา
The People: พูดถึงสไตล์การชกบ้าง คนก็จะเห็นว่าพี่รถถังก็จะเดินหน้าลุยไม่กลัวใคร อันนี้มันมาจากตรงไหน มันเกิดจากการฝึกซ้อม หรือมาจากนิสัยส่วนตัว
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ผมว่ามันออกมาจากตัวผมเอง แล้วไปถึง ผมก็ไม่รู้ว่าผมทนได้ไง แต่อาจจะเพราะผมผจญภัยมาเยอะไง กว่าผมจะมาถึงจุดนี้ได้ ผมต้องเจอกับสิ่งต่าง ๆ ที่โหดร้ายบ้าง สำหรับผมในวัยนั้นนะ คือมันแย่มาก ๆ
ผมต้องเล่าก่อนว่า พอมาอยู่กรุงเทพฯ มันจะมีแต่คนเก่ง ๆ เราประสบการณ์น้อย พอเราได้มา แล้วอยู่จิตรเมืองนนท์ยิ่งแบบหนักเลย พอได้ชกช่อง 7 ปั๊บ ผมแพ้น็อค เพราะมันมีแต่คนเก่ง ๆ ที่จะขึ้นมาเวทีมาตรฐานอย่างนี้ได้ ผมประสบการณ์ยังไม่ถึงพอ ผมก็เลยไปอยู่อีสาน ไปอยู่อีสาน ไปผจญภัยอยู่อีสาน ไม่ติดต่อครอบครัวเลย
ผมเป็นเด็กที่ Sensitive ถ้าผมเจอปัญหา หรือผมไม่มีตังค์ หรือผมเจอปัญหาอะไรก็ตามเนี่ย ผมจะไม่โทรฯ แบบแม่พ่อขอตังค์หน่อย ผมอยากโตด้วยตัวเอง ในเมื่อผมเลือกออกจากบ้านตั้งแต่อายุ 14 ผมกลับไปต้องมีชื่อเสียง หรือมีเงิน ไม่ใช่กลับไปโดยไม่มีอะไร ผมไม่อยากให้พ่อแม่ลำบาก เพราะฉะนั้นผมผจญภัย ผมมีเงินอยู่ 5,000 บาท ไปอยู่อีสาน หายประมาณ 2 ปี ก็คือแบบไม่ติดต่อครอบครัว ครอบครัวนึกว่าตายแล้วมั้ง
ผมก็ไปชก ไปทำทุกอย่างเกี่ยวข้าว ทุกอย่าง ผจญภัยทุกอย่าง เจอผู้คนมากมายที่เข้ามาแล้วให้เราเรียนรู้ คนรวยกลับมาจน คนจนกลับมารวยอย่างนี้ เราใช้ชีวิตอยู่กับผู้ใหญ่ คืออยู่อย่างนั้นประมาณ 4 ปี ผมได้มีชื่อเสียงที่อีสานเป็นพระเอกภูธร พระเอกเงินล้านที่อีสาน
ก็คือผมล่าเดิมพันหมด เดิมพัน 700,000 เดิมพัน 1,300,000 ผมกินหมด จนได้กลับมากรุงเทพฯ อีกครั้ง กลับมากรุงเทพฯ อีกครั้งตอน 19 น่าจะ 19 แหละครับ แพ้ แพ้ 5 ไฟต์รวด ท้อจะเลิก แล้วก็ได้กำลังใจจากพ่ออ้วนที่อยู่หัวหน้าค่ายจิตรเมืองนนท์ ก็คือได้กำลังใจ เขาบอกให้สู้เดี๋ยวต้องชนะ ผมก็เลยสู้อีกครั้งหนึ่ง สู้จนมาชนะ ชนะรวด ชนะจน 3 ปี ผมมีชื่อติด 1 ใน 3 ของถ้วยพระราชทาน แต่ก็ไม่เคยได้ ... เราก็ไม่เป็นไร จนได้ไปต่อยญี่ปุ่น ...
ก็เลยผมไปชกญี่ปุ่น ชกกับเทนชิน (เทนชิน นาสึกาวา) เป็นไฟต์ที่สร้างชื่อเสียงผมเลยก็ว่าได้ สร้างชื่อเสียงก็แบบว่า แพ้นะ แต่กระแสแบบให้ผมชนะ แบบเหมือนโดนโกง คือแบบเขาแบบกระแสแรงมาก คือผมกับเทนชิน คือใครก็รู้จักอะไรอย่างนี้ แต่แบบไฟต์นั้นก็ได้ค่าตัว 400,000 บาท
คือได้เยอะที่สุด ได้เยอะมาก ก็เลยได้เก็บ เก็บเพื่อจะซื้อบ้านให้แม่ เก็บที่จะซื้อบ้านให้แม่ เพราะว่าเก็บแล้วก็มาชกที่ไทย จน Top ในไทยก็ว่าได้ ก็คือค่าตัว 250,000 ในไทยมันน้อยอยู่แล้ว มันจะต่างกับเมืองนอกอยู่แล้ว แล้วก็ได้ไปชกญี่ปุ่นอีกครั้งหนึ่งกับยูกิ (ยูกิ ทะกุชิ) ไปรอบ 2 นี่อย่างกับชกในบ้านเลย คือแฟนมวยญี่ปุ่นเขารัก เขาให้ผมชนะหมดในตอนแรกชกไฟต์แรกอย่างนี้
พอมาชกกับยูกิ ผมก็ชนะ ได้ 400,000 เหมือนกัน ก็ได้เก็บ ๆ มาจน ONE Championship มาเซ็นสัญญา ก็เลยได้เข้า ONE Championship
เข้า ONE Championship ไฟต์แรก 480,000 ค่าตัว ค่าตัว 480,000 มันดีมาก ๆ ก็เลยแบบ มันได้เงินตรงนั้นมาซื้อให้แม่ 900,000 ที่เราเก็บ ซื้อบ้านให้แม่ 900,000 ก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว ดูแลเหมือนเดิมอีก ดูแลทุกคนอีก พี่น้อง 10 คนก็ดูแล ก็ชกอีกเก็บ เก็บอีก บวกกับออกรถ บวกออกรถ ก็รอผ่อนรถด้วย บวกเก็บสร้างบ้านให้พ่อ พอเก็บได้สร้างบ้านให้พ่อเป็นล้านกว่า ก็ต่อย ONE Championship ต่อยจนมีเงินเดือนให้พ่อแม่ ดูแลพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคน จนมาได้ชิงแชมป์ ONE Championship ก็คือไฟต์…แฮ็กเกอร์ตี คือแบบเป็นไฟต์ที่พลิกชีวิตผมเลย
The People: ถ้าดูตามไฟต์ก็คือรถถังเป็นฝ่ายเดินหน้าลุย เดินหน้าบวก
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ใช่ครับ เพราะว่าสไตล์ผม ผมคิดว่าในเมื่อผมเลือกที่จะทำอาชีพนี้ ต่อสู้ ผมอยาก แล้วเวลาตรงนั้นน่ะยกนึงไม่กี่นาทีหรอก แล้วเวลาตรงนั้นเป็นเวลาของผม ผมอยากโชว์ในความเป็นผมให้ทุกคนที่มาดูประทับใจในตัวผม สิ่งไหนที่อยากทำ และเป็นตัวของผมได้ให้ทุกคนรักเนี่ย ผมอยากทำตรงนั้นแหละ เอกลักษณ์ท่าทาง ผมมีความสุขในการชกมวย ไม่ใช่ว่าไปกวนตีนเขา ผมมีความสุขที่จะเล่นแบบนี้อะไรอย่างนี้
The People: เป็นมวย Entertain ว่างั้นเถอะ
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ใช่ครับ ๆ
The People: บางครั้งจะเห็น Reaction บางอย่าง เช่น เวลากำลังจะน็อคผู้ต่อสู้ แล้วเกิดระฆังดังขึ้นมา มันจะมีอารมณ์เสีย
รถถัง จิตรเมืองนนท์: อ๋อ แบบว่าบางทีคู่ต่อสู้ไม่เดิน ไม่บวกกับเราอย่างนี้ หรือหนีมากเกินไป ก็มี มีบ้าง แต่ก็อยากมันไง ไม่ใช่ว่าโมโหคู่ต่อสู้อะไร แต่แค่แบบ เอ้ย อยากมันไง อยากโดน หรืออยากอะไรอย่างนี้ มันเป็น feel ที่แบบตรงนั้นแบบเหมือนไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา มันเหมือนเทพเจ้าอยู่แบบ แต่แบบ เฮ้ย เราต้องมาสิ่งไหนอยู่เนี่ย เราต้องทำดิอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าเขาจ้างคุณมา แล้วแบบคุณมาวิ่งหนีรอบ ๆ เนี่ย มันไม่ใช่ไง ผมเป็นคนอย่างนั้นมากกว่า
The People: ที่มีกวน ๆ นิด ๆ ตรงนี้มาจากข้างในด้วยไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: จุดเริ่มต้นก็คือโดนอาวุธคู่ต่อสู้ก่อน ไม่ใช่ว่าจู่ ๆ ไปกวน มันโดนไง แล้วไม่รู้จะทำยังไง ก็เล่น เล่นไปเลย เล่นแบบกวน ๆ ใส่ไปอีก แบบเอามาอีก ๆ เหมือนท้าให้เขามาอีก ใช่ครับ มันจะเป็นอย่างนั้น
The People: ไม่ได้สร้างคาแรกเตอร์ หรือเพื่อสร้างกระแส?
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ไม่มีคาแรกเตอร์ มันออกมาธรรมชาติ ๆ มันเป็นธรรมชาติของผม ผมโดนอาวุธเขาเฉย ๆ แล้วผมก็เล่นยียวน ส่ายหัว บางทีก็ทุบตัวเอง มาอีกสิ อะไรอย่างนี้
The People: พอสไตล์เราเป็นแบบนี้ นักมวยที่โดนเยอะ ๆ จะมีคนที่บั้นปลายชีวิตเป็นโรค เช่น พาร์กินสัน เราไม่กลัว หรือว่าเราต้องดูแลตัวเองยังไง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: มันก็ต้องดูแลตัวเองครับ เพราะว่าอีกอย่างหนึ่งคนที่แบบว่าไปง่าย พอชกเสร็จต้องดูว่าการใช้ชีวิตเขาด้วย เขาชกเสร็จ เขากินเหล้าเมายาปาร์ตี้ต่าง ๆ นานา มันสะสมอยู่แล้วของพวกนี้ เราโดนของบอบช้ำแล้วไปดื่มแอลกอฮอล์ แต่สำหรับผม ผมไม่แตะเรื่องพวกนี้เลย คือผมไม่ดื่ม ไม่ใช่ว่ามันไม่ดี แต่ผมเป็นนักกีฬา
ผมคิดว่านักกีฬาที่ใช้กำลัง เราไม่คิด เราไม่อยากไปทำลายสุขภาพแบบนั้น ไปดื่มแอลกอฮอล์ กว่าเราจะมาทำร่างกายได้ กว่ามันจะฟื้น มันโดนเผาผลาญร่างกายไปเยอะ ผมเลยไม่ได้แตะอะไรพวกนั้น ผมจะไปหากินอาหารแบบอาหารอร่อย ๆ ที่มันมีประโยชน์ต่อร่างกายเราดีกว่าอย่างนี้ครับ
The People: ไฟต์ที่ประทับใจที่สุด
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็คือไฟต์ป้องกันแชมป์กับแฮ็กเกอร์ตี (โจนาธาน แฮ็กเกอร์ตี) ไฟต์ 2 ไฟต์แรกที่ผมไปกระชากแชมป์ก็ประทับใจแหละที่ผมได้แชมป์ แล้วก็มันเป็นไฟต์ที่พลิกชีวิตผม ก็คือได้มีทุกอย่าง ครอบครัวผมได้มีหน้ามีตา ได้มีค่าตัวมากขึ้น แต่ไฟต์ประทับใจจริง ๆ ก็คือไฟต์ที่ 2 ประทับใจบวกกดดัน
คือไฟต์แรก ผมได้แค่ลูกนับเขา เป็นการชนะคะแนนที่กระชากเข็มขัดเขามาได้ คือเขาคาใจ เขาบอกเขาไม่น่าแพ้ ถ้าให้กติกาเป็นยก ๆ อย่างนี้ เขาเลยอยากแก้มือ แล้วบวกกับพอได้แก้มือ แล้วดันมาจัดเมืองทองฯ ที่ประเทศไทย เป็นแชมป์มวยไทย แล้วผมก็คิดลบไง ถ้าเราแพ้ท่ามกลางคนไทย พ่อแม่เรามาดูครั้งแรก และแบบมันจะแย่ขนาดไหน
ก่อนชกคือกดดันมาก นั่งขรึม นั่งเครียด ไม่คุยกับใคร คือเราคิดลบอยู่ตลอดเวลา เราทำไงดีวะ คือแบบกลัวแพ้ กลัวแบบทำให้คนไทยที่มาดูแบบผิดหวัง พอปั๊บ พอระฆังยกแรก ผมต่อยเขานับ เหมือนยกภูเขาออกจากอก คือแบบ โอ้โห แบบสบายแล้ว ก็เดินอัด ๆ ตามสไตล์ ก็ชนะน็อคยก 4 มั้งครับ ชนะน็อคยก 4 โอ้โห ได้เห็นรอยยิ้มคนไทยที่บ้านเกิด ที่แบบมาชกเป็นกติกามวยไทย ป้องกันแชมป์มวยไทยได้ ทุกคนยิ้ม แล้วยืนปรบมือตอนที่ผมชนะน็อค มันจำภาพตรงนั้น แล้วพ่อแม่ดีใจที่ได้เห็นพ่อแม่มาดูผมครั้งแรกอย่างนี้ คือผมภูมิใจมากที่ทำได้
The People: แล้วสิ่งที่คิดว่าเป็นไฟต์ที่คาใจ เป็นไฟต์ที่คิดว่าตัวเองน่าจะชนะแต่ดันแพ้ พี่เขาทรายเคยบอกว่าจะชนะด้วยหมัดของแกเลย ไม่เอากรรมการอะไรอย่างนี้
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็คือชนะน็อค?
The People: ในมุมมองของรถถัง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: มันก็อยู่ที่ประเทศนะ ผมว่าใช่ ขึ้นชื่อญี่ปุ่นน่ะ ขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าถ้าสูสีเนี่ยต้องเสร็จเขา หรือชนะไม่ขาด ต้องเสร็จเขา เพราะว่ามันขึ้นชื่อแล้วการต่อสู้ นอกจากเราชนะน็อค ถึงเราจะชนะจริง ๆ แต่วันนั้นผมชนะคะแนน ผมแบบคะแนนคือมวยมี 5 ยกใช่ป่ะ แล้ว 5 ยก เขาแพ้ผม แต่เขาให้เสมอ พอเสมอเสร็จปุ๊บ เขาก็เลยต้องต่อยก 6 ก็ได้ ต่อยก 6 พอได้ เขาเลยชนะอะไรอย่างนี้ครับ คือแบบมันต้องน็อคสถานเดียวถึงจะชนะ แต่เขา ก็อย่างว่าแหละ เขาคือ Superstar ที่ญี่ปุ่น ก็ต้องยอมเขาอย่างนี้ครับ
The People: เชื่อมมากับวัฒนธรรมมวยที่บ้านเรา หลายปีที่ผ่านมาก็จะมีเรื่องล้มมวย เรื่องการตัดสินที่ค้านสายตา รถถังมองอย่างไรบ้าง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ไอ้เรื่องพวกนี้มันจุดเริ่มต้นจากการเงินก่อน คือมวยในเมืองไทย เรามีการเล่น มีเซียนมวย และมีเล่น ไม่ใช่ว่ามันไม่ดีหรอกครับ แต่มันเล่นเพื่อเซียนมวยก็ได้ดูแลครอบครัวอย่างนี้ ความชอบส่วนตัวอย่างนี้ความถนัดคนละแบบ นักมวยมีชก มันก็ต้องมีเซียนมวย คนเข้ามาดูเพื่อเล่นอะไรอย่างนี้ครับ แต่พอเล่นเล่นไป บางครั้งความคิดของคนเล่น มันอีกมุมนึง มาจ้างนักมวยให้ล้มบ้าง เพราะตัวเงินมันเป็นตัวแปร
ก็คือนักมวยชกค่าตัวที่กรุงเทพฯ บางทีหมื่นสองหมื่น แต่พอเขาจ้างล้มเนี่ย คนจ้างมันเล่นเยอะหลักล้าน อย่างน้อย ๆ นักมวยได้ 500,000 หรือล้าน แล้วแต่ยอดเงินที่เขาเล่น เงินมันเป็นตัวแปรมากกว่าในเมืองไทย ใช่ มันก็เลยทำให้นักมวยล้มบ้าง มวยอย่างนู้นอย่างนี้บ้าง เพราะว่าเงิน
The People: มาสู่ไฟต์ที่เข้าไปชกแบบ MMA (การแข่งศิลปะการต่อสู้แบบผสม) ตรงนี้มาได้ยังไง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็คือผมชอบกีฬามวย แล้วผมอยากลองทุกรูปแบบ ไม่ใช่ว่ามวยไทย คิกบ็อกซิ่ง MMA สากลผมก็อยากลอง ผมอยากลองหมด ผมคิดว่าครั้งหนึ่งในชีวิต ผมอยากลองในกีฬาที่ผมรักให้ได้ทุกรูปแบบ ถึงมันจะไม่ประสบความสำเร็จในทุก ๆ กติกาหรอก แต่ผมอยากทำ เพราะชีวิตผมเกิดมาแค่ครั้งเดียวแค่นี้ ผมอยากลองในทุกกติกาแค่นั้นเอง
The People: นักมวยไทยบางคนที่ไปลองคิดว่ามันยาก สำหรับรถถังมองว่ายังไง ไปเล่นแล้วอาจจะแพ้เราไม่คิดอย่างนั้นเหรอ
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ไม่ ยังไม่ได้คิดแพ้ชนะครับ ที่ผมได้เข้าไปคือลอง MMA คือผมชอบ แล้วผมอยากพัฒนาตัวเองในรูปแบบใหม่ เราเป็นแชมป์มวยไทยแล้ว เราอยากผันตัวเองไปลอง MMA ดู เผื่อโอกาสและอนาคตมันเป็นในทางที่ดี มันก็ได้สร้างชื่อเสียงให้กับประเทศด้วยว่านักชกชายไทยอย่างนี้ได้ไปเป็นแชมป์ MMA ในอนาคต ใครจะไปรู้ใช่ไหมครับ เป็นแชมป์มวยไทยด้วยอย่างนี้ แต่คิกบ็อกซิ่งอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ ทุกกติกาผมอยากจะมีชื่อไว้รุ่นหลัง ๆ เขาได้เห็นว่า เฮ้ย เราไม่ใช่แค่เก่งแค่มวยไทยนะ ทุกอย่างเราสามารถเก่งได้ ถ้าเราลอง เราฝึก
The People: ความยากของมันคืออะไร เวลาเล่นมวยไทยแล้วไปฝึก MMA
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ยากทุกส่วนครับ ทุกอย่าง ความยากคือพื้นฐาน เทคนิค ในการ…เกมแบบ Mixed Martial Art ครับ คือมันเยอะมาก มันต้องนอนยังไง กันยังไง ถ้าเราลุกยังไง พลาดโดนหักแขน เดินยังไงโดนหักขา หรือล็อคคอ เก็บคอไม่ดีโดนหักคอ มันเยอะมากจุกจิก มันต้องใส่ใจทุกรายละเอียด
มวยไทยมันยืน มันมีการบัง … ก็แค่ล็อค มันไม่ได้มีแบบหมุนเข้าข้างหลังแล้วรัดอย่างนี้ คือมันต้องทนเหนื่อยด้วย แล้วมันเหนื่อยมากด้วย แล้วมันต้องแก้อยู่ตลอดเวลา อย่าอยู่นิ่ง ต้องดิ้นตลอดเวลา ถ้าเราเสียเปรียบต้องดิ้น ๆ พลิกแพลง ไอ้คนได้เปรียบ เขาก็จะพลิกแพลงให้ชนะอย่างเดียว คือมันเหนื่อยมาก แล้วก็มันยากนะ ถ้าสำหรับคนที่จะไปเรียน
The People: เล่าไฟต์ที่ไปชกเป็นกติกาผสมด้วย
รถถัง จิตรเมืองนนท์: คือมันต้องเล่าว่า ทางบอสเจ้าของ ONE Championship คุณชาตรีก็ได้ติดต่อมา เขาจะจัดนัดใหญ่ เหมือนครบรอบ 10 ปีของ ONE Championship นี่แหละครับ เขาจะจัดคือในรายการนั้นจะมีระดับแชมป์ทั้งนั้นเลย แชมป์โลกทุกคนที่ชก แล้วเขาเลยอยากหาคู่พิเศษ คือผมก็มวยไทย ไม่รู้จะชกกับใคร ตอนนั้นอย่างดิมิเทรียส (ดิมิเทรียส จอห์นสัน) ในรุ่นเดียวกัน เขาเป็นแชมป์ MMA ผมเป็นแชมป์มวยไทย ในเมื่อผมอยากลอง MMA เขาก็อยากลองมวยไทยอย่างนี้ ก็ลองมาจัดดูไหม แต่กติกา 4 ยก ถ้าครบ 4 ยกก็คือเสมอกันไปไม่มีอะไร แต่ถ้าใครน็อคใคร คนนั้นจะชนะอย่างนี้ ที่ผมตกลงรับ ก็คือผมรู้แล้วว่าผมแพ้แน่นอน เพราะว่าเขาระดับตำนาน
ดิมิเทรียสย้ายมาจาก UFC แชมป์ 12 สมัย คือแบบเขาเก่งมาก ๆ มวยไทยยกแรกน้อยมากที่ทุกคนจะน็อค ถ้าไม่โดนแบบฟ้าผ่าจริง ๆ คนเรามันมีกำลังกันทั้งคู่ มันมีกำลังวิ่ง กำลังป้องกันตัวเอง ไม่สามารถเอาน็อคได้ แต่ถ้ามากยกไป อันนั้นไม่แน่ ผมรู้อยู่แล้วว่าผมไม่มีทางชนะ อยู่ที่ว่าผมจะยืนครบยก 4 ไหมแค่นั้น แต่ไม่ครบ
แต่ผมชนะตรงที่ว่าผมกล้ารับปาก กล้าตกลงข้อเสนอนี้ เป็นคนอื่นเขาไม่ตกลงหรอกครับ เขาไม่รับหรอกครับ ใครจะเอา เรามีไฟต์ธรรมดาชกก็ได้ หรือมาชกคิกบ็อกซิ่งก็ได้ที่เราก็ยืนอย่างนี้ แล้วเราไม่เป็น แล้วเราไปตกลงระดับแชมป์ 12 สมัย ผมคิดว่าถ้าผมมัวแต่ปฏิเสธไม่กล้าตอบรับทุกข้อเสนอ ผมก็จะกลัวอยู่อย่างนั้นแหละ อันนี้ผมชนะใจตัวผมแล้ว ผมแค่นี้เอง
The People: เล่าช็อตที่อาจจะเป็นความทรงจำหรือว่าประสบการณ์ส่วนตัวว่าที่เราปล่อยหมัดเหวี่ยงไปแล้วเขามากอดเรา แล้วมันกลายเป็นช็อตหลับไป
รถถัง จิตรเมืองนนท์: เล่าแบบนี้ดีกว่า ความรู้สึกดีกว่า นี่แหละครับความตาย มันตายเลยครับ แล้วก็ก่อนที่วงโคจรจะดับ มันจะจำภาพอดีต เอ้ย มันจะจำภาพสุดท้ายที่เรานึก ก็คือผมนึกว่าผมแก้ ผมดึงแขนมารอบนึงเห็นไหม ก่อนที่แขนเขาจะขึ้นไปอีก ผมจำแค่ภาพนั้นแหละ แล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย
The People: ตอนนั้นคือมืดไปเลย
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ดับไปเลยครับ ไม่รู้อะไรเลย ดับตายเลย ลมหายใจหยุด ออกซิเจนครับ โดนรัดคอ คือแบบเราจำแค่ภาพนั้นแหละ พอฟื้นมาผมก็เถียงกรรมการ มีช็อต ผมยังไม่ได้ tap เลยนะอาจารย์ ผมกำลังแก้อยู่ เขาบอกว่าหลับแล้ว you หลับแล้ว ๆ you ไปดู
The People: ปกติจะมี Tap Out ได้
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ผมได้ให้สัมภาษณ์ไปแล้ว ถ้าเขาจะเอาผมลง ถ้าผม tap แต่ถ้า เออ โดนหักแขนหรือขา เราสามารถ tap ได้ เพราะว่ามันกระดูก เดี๋ยวมันจะซ่อมยาก แต่สำหรับคอ กรรมการยังไง support อยู่แล้ว พอดูจะหมดลมหายใจก็เบรกอยู่แล้ว ใช่ ผมก็เลยว่า ถ้าแค่คอ เราจะไป tap มันเหมือนติดนิสัย อะไรประมาณนั้นครับ เรายังฝืนตอนแรกก็ยังแก้ลงมาได้เลย แต่พอรอบหลัง ก็ไม่รู้เหมือนกัน
The People: คิดว่าในอนาคตจะมีอีกไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: มีแน่นอนครับ มีแน่นอน รอ ๆ ผมยังไม่เคยกลัว ต่อให้ผมตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว ผมยังสู้
The People: แล้วพอมาไฟต์ที่จะไปชกกับซุปเปอร์เล็กสุดท้ายได้เจอกัน แต่เหมือนเจ็บ ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้น
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็คือต้องบอกว่า ผมมาเก็บตัวที่ค่ายแฟนก็คือซ้อมกับน้องแสงอาทิตย์ เขาเป็นแชมป์สากล น้องแสงอาทิตย์ก็คือเขาอยู่อันดับ 13 ของโลก สากลนะครับ แล้วชกกติกาคิกบ็อกซิ่ง ผมจะไปชกกับซุปเปอร์เล็กกติกาคิกบ็อกซิ่ง มันก็คล้าย ๆ สากล ทักษะหมุนแบบออกหมัดเป็นชุด เตะขา … มันตีเข่าไม่ได้ สับศอกไม่ได้อย่างนี้
ผมก็เลยมาเน้นลงนวม เน้นลงนวมวันละ 10 ยก ๆ แล้วไปถึง พอลงมาก เจ็บช่วงบั้นท้ายอย่างนี้ครับ ก้นกกอย่างนี้ครับ เราโยกอาศัยโยกสายตา มันโยกบ่อยแล้วแบบตอนแรกมันเป็นนิดเดียว ผมก็กินยาเดี๋ยวมันก็คงดีขึ้น พอกินปั๊บมาซ้อมต่อ ซ้อมแล้วก็เตะเป้าเหมือนเดิม พอใช้สวิงมาก มันไม่นิดเดียวแล้ว ผมดื้อไม่ไปหาหมอ ดื้อมามากวันเข้า ยาหมดแผง ทำไมไม่หาย พอหลัง ๆ เวลาเรานั่งเนี่ย หายใจเข้ามันเหมือนมันแทง แทงเข้ามาแบบเจ็บ เวลาเราถ่ายเราเบ่งอย่างนี้แบบมันแทง เหมือนมีอะไรแทงอยู่เข้ามาในท้อง เจ็บแบบบิดตัวไม่ได้ เวลานอน ผมนอนอย่างนี้ นอนงอ ๆ อย่างนี้ยืดไม่ได้ ๆ
The People: ก็เลยต้องถอนตัว
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ผมฝืนมาจนจบงานแต่ง ผมฝืนว่าผมอยากชก ผมฝืนแต่ไม่ได้ ต้องแบบบอกเมียว่า ผมไม่ไหว พาไปหาหมอหน่อย นั่นแหละ หมอเลยสั่งหยุด
The People: พูดถึงความรักบ้างครับมาเจอกับน้องไอด้า มีความรักได้ยังไง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: Social ก่อน เพราะว่าเขาก็เป็นนักมวย ก็คือเขามาติดตามผม คือเขามาเพิ่มเพื่อนใน Face (book) ผมก็เลื่อนรับ ๆ รับไปตอนนั้น เขาติดตาม เหมือนก็ชอบแหละมั้ง แล้วผมก็เป็นคนที่ผู้ชายเนาะ เออ มันก็ต้องตอดอยู่แล้ว มันมีใช่ไหมพี่ โอเค ต้องมีตอดหน่อย หย่อนเบ็ดเหยื่อปลอมไปดูว่าปลามันจะติดป่าว แต่ติด ตกลงติด ก็เลยต้องหว่านเหยื่อจริงไป ตอนนั้นเขาอายุ 17 มั้ง เขาห่างกับผม 5 ปี ตอนนั้นคือผมชกมวยแบบทำงาน ทำแต่งาน คือดูแลครอบครัว ไม่ค่อยได้อะไรเท่าไหร่ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยว ไม่ค่อยได้ผ่อนคลาย
ก็ได้มาลองคุยกัน ก็คุย ๆ ไปแล้วความเด็กเขาทำให้เราเวลาเราเครียดนะ ความเด็กน้องเขาเล่น ทำให้เรายิ้มได้อย่างนี้ คุยกันแล้วเข้าใจกัน เขาก็เป็นนักมวยนะ ก็ได้คุยกันมาตั้งแต่นั้นนะครับ ก็ประมาณ 2 ปี 2 ปีก็มีพอมาช่วงนึง ก็คุยกันประมาณ 2 ปี ตอนแรกก็ว่าจะแต่ง แต่ก็ไม่ได้แต่ง ก็พอมาจะเข้าปีที่ 3 เหมือนความคิดเราคนละมุมกันแล้ว เขาวัยเด็ก เราก็ผู้ใหญ่พอมาเจอผู้คน คือเข้าหาผู้ใหญ่หลัก ๆ มากขึ้น เราก็อีกความคิดนึง วางแผนอีกอย่างนึง แล้วเวลาการทำงานผมมันเยอะ ทำงานจนไม่ได้มีความใส่ใจอะไรเขามากอย่างนี้ ก็ได้หยุดไปช่วงนึง ไม่นานก็เลยแบบได้กลับมา ก็ปรับความเข้าใจกันจูนกัน จูนกันจนปรับกันได้แล้ว แล้วอีกอย่าง ผมก็มีบ้านมีอะไรเป็นของตัวเองทุกอย่างแล้ว ก็เลยได้กลับมาคุย ก็ได้แต่งงาน
The People: พอแต่งงานชีวิตเปลี่ยนแปลงยังไง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: พอแต่งงานก็จากที่พี่อย่างนี้น้องก็ตาม พี่อย่างนู้นน้องก็อย่างนู้น แต่พอแต่งไป พี่อย่างนี้ น้องสวนอย่างนั้น น้องขัดอย่างนู้นอย่างนี้ คือเขาจะขัดแล้ว (หัวเราะ) แต่ก็เข้าใจกัน เราจะได้มีเขาแบบนั่งคุยกันเวลาผมทำงานหรืออะไรอย่างนี้ แบบเหนื่อยจากมวยเหนื่อยจากอะไรก็ได้มีเขาอยู่ อยู่ตรงหน้าอย่างนี้ ได้คุยกัน ได้ปรึกษากัน จะเอายังไง อะไรประมาณนั้น ไปไหนก็ไปด้วยกัน จะได้มีเพื่อนไปอย่างนี้ครับ
The People: พอเป็นคู่รักนักมวยแล้ว มีคนบอกว่ารถถังเป็นคนกลัวเมียไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: พี่กลัวไหม
(The People): ก็ต้องมีบ้าง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ไม่แหละ พี่มีเลย ไม่บ้างนะเนี่ย (หัวเราะ) เขาเรียกว่าเราให้เกียรติเขามากกว่า เราไม่กลัวหรอก คนทุกคนไม่กลัวหรอก แต่เราไม่สู้ดีกว่านะ สู้ก็ตาย ไม่ไหว จริง เคยสู้มันนิดนึง แต่ก็สู้ไม่ได้ ต้องยอมเขา แบบว่าเราคิดว่ากลัวเมียก็เจริญทุกคนนะ
The People: ชีวิตของรถถังผ่านมาถึงทุกวันนี้ มีความสุขไหม ความสุขของรถถังคืออะไร
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ความสุขของผมคือครอบครัว ความสุขของผมก็คืออยากให้ครอบครัวไม่อดอยาก ให้มีกินอิ่มนอนหลับ ไม่จำเป็นต้องรวยเหมือนคนอื่น อยากให้เขาดูแลตัวเองได้ อยากให้เขาแข็งแรงด้วยตัวเอง เพราะว่าทุกวันนี้คือผมตั้งแต่ต่อย ONE Championship ผมบอกพี่น้องทุกคนว่า ให้ดูแลตัวเองกับลูก ๆ ที่มีให้ได้ พ่อแม่ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง ทั้งบ้านพ่อ บ้านแม่ ผมรับผิดชอบเอง คือค่าใช้จ่ายทุกอย่าง เงินเดือนทุกอย่าง เดี๋ยวผมรับผิดชอบเอง ส่วนพี่ ๆ ดูแลครอบครัว คนไหนมีผัวก็ดูแลให้ได้ ถ้ามันจนมุมจริง ๆ โทรฯ มา เราจะเป็นที่พึ่งให้ ผมอยากเห็นครอบครัวมีความสุขแค่นั้นเองครับ
The People: ความสุขของในมุมของตัวเอง เราอยากได้อะไรในชีวิตที่รู้สึกว่า จะทำให้เรามีความสุข ถ้าพูดถึงด้านอื่น นอกจากครอบครัว
รถถัง จิตรเมืองนนท์: พี่เข้าใจไหม ตั้งแต่เด็ก ผมทำงานมาตั้งแต่เด็ก จนความอยากได้มัน มันอยากได้ตั้งแต่เล็ก แต่มันก็ไม่เคยได้สักที จนแบบปล่อย เหมือนโยนทิ้งแม่น้ำไป อยากได้อะไรก็โยนทิ้งไป ๆ จนไม่ได้คิดอะไรตรงนั้นแล้ว ความสุขที่อยากได้คืออะไร ในทุกวันนี้ผมมีความสุขมากที่ผมได้ดูแลพ่อแม่ ดูแลครอบครัว และได้ทำให้คนรักครอบครัวผมมากขึ้น จากเมื่อก่อนจนมาก มีแต่คนดูถูกเหยียดหยามครอบครัว ไม่ค่อยมีคนใส่ใจครอบครัวผม มองข้ามครอบครัวผมตลอด ทุกวันนี้นึกถึงครอบครัวผมคนแรก ผมดีใจแล้วแค่นี้
The People: ความทุกข์ของรถถัง
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ความทุกข์เหรอ เมียให้เงินจ่ายน้อยมาก (หัวเราะ) ไม่หรอก ๆ (คิด) ความทุกข์วันนี้เหรอ ผมคิดว่าความทุกข์มันมีนะ การรับผิดชอบภาระที่เยอะมาก เนี่ยมันก็คือความทุกข์ แต่ผมคิดว่าผมไม่ได้ให้มันมาเป็นความทุกข์ มันคือหน้าที่ของเรา บางอย่างพอเรามีเมียมีแฟน เดี๋ยวอนาคตมีลูก เราก็ต้องรับผิดชอบครอบครัวพ่อแม่เหมือนเดิม เราก็ต้องดูแลเหมือนเดิม ผมยังเหมือนเดิม
ผมบอกพี่น้องทุกคนถามนะ ตอนแต่งงานก็ถาม แล้วผมจะเหมือนเดิมไหม เขาจะกล้าทักมายืมตังค์อีกไหม อะไรอย่างนี้ ผมบอกว่ากูเหมือนเดิม เหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่เคยทิ้ง ในเมื่อสายเลือดมันคือสายเลือด ผมเหมือนเดิมหมด...แต่ถามว่าเหนื่อยไหมในแต่ละเดือนมา บางทีมันก็หลาย ๆ เยอะอยู่ อะไรที่ดูแล ก็คือแบบมันก็เหนื่อย รับภาระคนเดียวอะไรอย่างนี้ แต่ผมไม่ค่อยอ่อนแอ ผมเดินสู้ตั้งแต่เล็ก จนมาทุกวันนี้ มันไม่มีอะไรยากไปกว่าที่เราผ่านมาได้แล้วแหละ
The People: มีนักมวยหลายคนที่พอแขวนนวมไปแล้ว เลิกต่อยมวยไปแล้วจะเจอแบบมรสุมชีวิต ใช้เงินหมด มีกลัวแบบนั้นเหมือนกันไหม หรือมีวางแผนอะไรไว้ไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ผมเคยมีช่วงที่ใช้เงินหมด แบบจนไม่มีอะไร เราคิดว่าจะชกได้ แต่ทุกวันนี้วางแผนครับ เพราะผมรู้ว่า ไม่ครับ ผมเคยผ่านหมด จนผมเคยสอนเพื่อนไปอยู่ เพื่อนที่เป็นนักมวยด้วยกัน ผมก็บอก เพื่อนเขาทำเงินได้เยอะอยู่ ๆ เยอะมาก แล้วก็บอกเมียเขาเก็บดี ผมก็เลยสอนไปหน่อยว่าเพื่อนเป็นเพื่อนรัก คือแบบเชื่อเหอะบอกให้เพื่อนเก็บ ต่อให้เราจะเก็บดีแค่ไหนนะ มันยังมีบางอย่างที่ทำให้เราเงินเราหายออกไป ประมาณไม่ถึง 3 เดือนมั้ง เขาเข้าใจคำพูดนั้นเลย เขาบอกขนาดเมียเก็บดีแล้วนะ แบบยังหายไปหลายล้านเลยอะไรอย่างนี้ นี่แหละ ผมก็เคยผ่านไปแล้ว ผมรู้แล้วอันนี้
The People: ตอนนี้มีวางแผนอนาคตว่าจะทำธุรกิจค่ายมวยไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: แน่นอนครับ ผมอยากเปิดค่ายมวยของตัวเอง แล้วแบบอยากเปิดร้านอาหารอยากมีแบรนด์เป็นของตัวเอง ก็คืออยากทำ ถ้าผมรวยเป็นพันล้าน หรือรวย ๆ นะ ผมอยากเปิดยิมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย แล้วอยากให้ทุกคนมาฝึกได้โดยไม่คิดเงิน แต่ถ้าใครอยากเตะเป้ากับอาจารย์คนไหน จ่ายเขาไป 100-200 ค่าน้ำ ค่าเหนื่อย ผมอยากเปิด ผมอยากให้ทุกคนมาเรียนมวยมากกว่า อยากให้เด็กผู้หญิง ผู้ชาย คนแก่มาฝึกมวย เอาไว้เพื่อป้องกันตัว
ผมคิดว่าในเมืองไทยมันมีเหตุการณ์เยอะมากที่อันตราย ถ้าทุกคนได้มีมวยไทย ฝึกมวยไว้ป้องกันตัว คือแบบมันดีมาก ๆ กว่าบางคนไม่เป็นมวย ไม่เป็นอะไรเลย พอเจอเหตุการณ์จี้หรือฉุดอะไรอย่างนี้ จะร้องขอช่วย ไม่ทันแล้ว...แต่ถ้าเรามีมวย ไม่จำเป็นต้องใช้มีดหรอก ใช้ศอก… เดี๋ยวโจรมันก็กลัว มีเหลี่ยมกระตุกให้โจรล้ม เราสามารถวิ่งหนีได้ อะไรอย่างนี้ คืออยากให้ทุกคนมาฝึกเพื่อป้องกันตัว ไม่ได้ฝึกมวยเพื่อไปท้าตีท้าต่อยใคร ผมอยากเปิดแบบนั้น
The People: บทเรียนชีวิตที่สำคัญที่สุดของรถถังคืออะไร
รถถัง จิตรเมืองนนท์: บทเรียนชีวิตเหรอครับ ความลำบาก ความยากจน คำพูดดูถูกจากคนที่ผมผ่านมา ผมเก็บเอามาเป็นกำลังใจหมด ผมไม่เคยเห็นพวกนั้นแล้วจะแบบพอผมประสบความสำเร็จผมจะไปทำมันกลับ ผมไม่เคยเลย ผมแค่บอก ผมแค่ยืนมองเขาเฉย ๆ จากคนที่มี เขาไม่มี แต่เราจากที่ไม่มี ที่เขาดูถูกเรา เรากลับมามี แล้วสร้างชื่อเสียงได้นะ
ผมคิดง่าย ๆ ผมก็มีความสุขแล้ว ผมอยากทิ้งสิ่งที่ผ่านมาให้หมด ไม่อยากไปเป็นแค้นไง ผมอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุข เพราะผมคิดว่าถ้าเราจะไปยึดติดคำพูดวันนั้น เขาเคยว่าเรา เคยด่าเรา เขาเคยดูถูกเหยียดหยามเราอะไรอย่างนี้ ครอบครัวเราอย่างนี้ ผมจะไปเอาคืน … ผมไม่หรอกครับ ผมแค่เอาความสำเร็จของผมเนี่ยให้เขาเห็น เดี๋ยวเขาก็ละอายเอง ผมคิดว่าผมอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุข ให้พ่อแม่ผมได้มีความสุข กินอิ่มนอนหลับ
ผมคิดว่าทุกคนรู้วันเกิด แต่ไม่รู้วันตาย ผมอยากใช้ชีวิตตรงนี้ให้มีความสุขที่สุด ต่อให้เจอปัญหาเหนื่อยแค่ไหนลำบากแค่ไหน ผมก็อยากใช้ชีวิตให้มีความสุขในแต่ละวัน
The People: นักมวยที่รถถังอยากเจอที่สุด ฝันว่าอยากจะล้มที่สุด คือใคร
รถถัง จิตรเมืองนนท์: โห อยากจะล้มที่สุดเหรอ ถ้าอยากเจอก็แน่นอน เทนชิน (เทนชิน นาสึกาวา) ที่ผมอยากแก้มือ เพราะมันเป็นไฟต์ที่คาใจผมตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้ คือผมร้องไห้ตั้งแต่ข้างบนชูมือ ยันกลับที่พัก ผมยังร้องไห้เลย ผมมาโชว์ในความเป็นผม ในแม่ไม้มวยไทยให้ทุกคนได้เห็น แบบเต็มที่มากในสิ่งนี้ ผม sensitive แบบว่าผมทำงานเต็มที่ แต่ทำไมผลตอบรับของผมคือเป็นแบบนี้
ถ้าผมแพ้ผมยอมรับแพ้ แต่นี่ผมไม่ยอมรับว่าผมแพ้จริง ๆ ทั้งอาการลูกมวย ผมทำเขาแบบ คือเขาเป๋ไปเป๋มา ทำไมผมต้องแพ้ คือฝังใจอยู่นะ
The People: คิดว่าจะมีโอกาสไหม?
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ตอนนี้น่าจะยากครับ เพราะว่าเขายุติคิกบ็อกซิ่ง เขาไปสากลแล้ว ใช่ครับ เขาไปหาหนทางใหม่ ก็คงยากขึ้น
The People: คิดว่าตัวเองจะปล่อยวางเรื่องนี้ได้ไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: ก็ต้องปล่อยวาง มันก็เหมือนถ้ามันใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็คงได้เจอกัน อย่างผมก็ซุปเปอร์เล็กไม่ได้เจอกัน ถึงเวลา เมื่อถึงเวลา เวลามันจะลิขิตไว้อยู่แล้ว เวลาคนตายก็เหมือนกัน มันมีไว้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าในแต่ละไฟต์ของคุณ คุณจะรักษามันเป็นไปในทางทไหน ในทางที่ดีหรือในทางที่แย่แค่นั้นเอง มันถึงได้เจอกันแน่นอน ในเมื่อคุณยังเลือกอาชีพต่อสู้แค่นั้นเองครับ
The People: ใครที่อยากล้มที่สุด
รถถัง จิตรเมืองนนท์: อย่าให้ผมไปหาตีนเลย เดี๋ยวก็แบบมึงโชว์เก่งไง ดรามงดราม่าไปอีก (หัวเราะ) ก็เจอได้หมดครับ เจอได้หมด คิดว่าเจอได้หมดครับ ไม่ว่าใคร เพราะผมเป็นแชมป์ ผมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าใครอยากจะมาท้าชิงอย่างนี้ ผมพร้อมป้องกันหมด
The People: เคยคิดถึงเวทีสุดท้ายในชีวิตไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: เวทีสุดท้ายเหรอ ยังไม่เคย ถ้าผมยังเป็นแชมป์ ONE อยู่ ผมก็น่าจะเวทีสุดท้ายใน ONE Championship ใช่ครับ
The People: เคยอยากไปที่สากล?
รถถัง จิตรเมืองนนท์: อยากไป ถ้ามีหนทาง ถ้าสากลสนใจนะครับ inbox มาได้ (หัวเราะ) ใช่เหรอ พรีเซนต์กันอย่างนี้เลยเหรอ คือได้หมด ทั้งสากล คิกบ็อกซิ่ง มวยไทย MMA ใช่ครับ หรือว่านอกรอบการเตะฟุตบอล ถ้าโค้ชคนไหนเห็นแววผม เอาไปเก็บลูกฟุตบอลได้ครับ (หัวเราะ)
The People: UFC สนไหม
รถถัง จิตรเมืองนนท์: UFC ผมอยากลองหมดนะครับ แต่อยู่ที่ว่าโอกาส ใช่ครับ โอกาส โอกาสและเวลา อะไรก็ไม่แน่นอนหรอกครับ ต้องรอดูในอนาคต แต่ในเมื่อผมยังเป็นแชมป์ ONE ผมอยากรักษาแชมป์ ONE ให้นานที่สุดแค่นั้นเอง