“เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” คนเลี้ยงม้ากองหน้าผู้สร้างความหวังให้เด็กพิเศษ

“เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” คนเลี้ยงม้ากองหน้าผู้สร้างความหวังให้เด็กพิเศษ

รู้จักการทำอาชาบำบัด และโครงการความหวังบนหลังม้า ที่คนเลี้ยงม้าผู้ชื่อว่า “เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” มุ่งมั่นปลุกปั้นให้เกิดขึ้นได้จริง เพื่อสร้างความหวังให้เด็กพิเศษทั่วประเทศไทย

ศตวรรษที่แล้ว การมีกองทัพม้าในครอบครองหลายสิบม้า อาจเทียบได้กับกองร้อยยานเกราะขนาดย่อม ที่พร้อมสำหรับศึกสงคราม แต่ในปัจจุบันฝูงอาชาจำนวนนี้ กำลังถูกใช้เป็นอาวุธหลักในการสร้างความหวังให้กับเด็กพิเศษ นั่นคือความตั้งใจของคนเลี้ยงม้าที่ชื่อ เลิศพงษ์ มั่นวงศ์ “ครอบครัวผมเป็นตระกูลคนเลี้ยงม้า เลี้ยงม้ามานานเกือบร้อยปี ผมที่เป็นรุ่นที่สาม เลยได้คลุกคลีอยู่กับม้ามาตั้งแต่หัวยังสูงไม่พ้นหลังม้าเลย” ตระกูลมั่นวงศ์ เริ่มต้นเลี้ยงม้ามาตั้งแต่ พ.ศ. 2471 โดย แดง มั่นวงศ์ เป็นผู้บุกเบิกการเลี้ยงม้าพันธุ์พื้นเมืองเป็นรายแรกๆ ของจังหวัดอุบลราชธานี เพื่อใช้ม้าเป็นพาหนะในการเดินทางรับกิจนิมนต์ตามสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ห่างไกล ไม่ต่างจากการใช้รถยนต์ในปัจจุบัน . ต่อมาในปี 2500 สนิท มั่นวงศ์ พ่อของเลิศพงษ์ ได้นำม้ามาใช้ลากรถเพื่อบรรทุกสินค้าท้องถิ่นไปจำหน่ายในตัวเมือง แล้วขยายเป็นการเลี้ยงม้าแข่งในสนามม้า ช่วงที่เศรษฐกิจของจังหวัดอุบลฯ กำลังเฟื่องฟูจากการที่ทหารสหรัฐฯ เข้ามาตั้งฐานทัพระหว่างสงครามเวียดนาม สมาชิกตระกูลมั่นวงศ์หลายคนเลยได้ประกอบอาชีพเกี่ยวกับม้า ทั้งจ๊อกกี้แชมป์ประเทศไทย 5 ปีซ้อน ที่เคยได้รับรางวัลถ้วยพระราชทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ดาร์บี้ (Derby) 1 สมัย อย่าง ประดิษฐ์ มั่นวงศ์ ซึ่งยังคงทำอาชีพผู้ฝึกซ้อมม้าแข่งฝีเท้าเยี่ยมระดับประเทศอยู่ที่นครราชสีมา และ อุทิศ มั่นวงศ์ ที่เป็นหัวหน้าคอกม้าที่สโมสร The Horses เขาใหญ่ ซึ่งเป็นสโมสรขี่ม้าระดับนานาชาติ ที่นำม้าออกไปแข่งขันประเภทขี่ม้ามาราธอน (Endurance Horse) จนได้แชมป์ระดับนานาชาติหลายปีติดต่อกัน ส่วน เลิศพงษ์ หลังจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาสัตวศาสตร์ คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในปี 2546 ก็ได้ทำงานที่ สมาคมราชกรีฑาสโมสร โปโลคลับ อยู่หลายปี ในตำแหน่งผู้ดูแลม้า (Stable Supervisor) ประจำแผนกขี่ม้า ก่อนจะออกมารับช่วงต่อคอกม้าของครอบครัว ซึ่งน่าจะเป็นคอกม้าแข่งคอกเดียวและคอกสุดท้ายที่เหลืออยู่ของที่นี่ “ผมเลี้ยงม้าต่อจากรุ่นพ่อแม่ เมื่อเกือบสิบปีที่แล้วได้เปิดสโมสรขี่ม้าอุบลโพนีคลับ เป็นสโมสรขี่ม้าเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกของสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย เราตั้งเป้าว่าจะช่วยให้กับชาวอุบลฯ และจังหวัดใกล้เคียง ได้มีประสบการณ์ในการขี่ม้าที่สนุก ปลอดภัย และถูกต้องตามหลักขี่ม้าสากล” “เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” คนเลี้ยงม้ากองหน้าผู้สร้างความหวังให้เด็กพิเศษ ศูนย์เรียนรู้ม้า และม้าพันธุ์พื้นเมือง สโมสรขี่ม้าอุบลโพนีคลับ มีพื้นที่ราว 6 ไร่ มีสนามขี่ม้า จำนวน 2 สนาม ทั้งในร่มและกลางแจ้ง โดยได้รับการรับรองมาตรฐานจากสมาคมขี่ม้าแห่งประเทศไทย และสมาพันธ์ขี่ม้านานาชาติ (Thailand Equestrian Federation)  ภายในศูนย์ได้เลี้ยงม้าพันธุ์ต่างๆ ประมาณ 30-40 ตัว ได้แก่ ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรต (Thoroughbred) พันธุ์อเมริกันควอเตอร์ฮอร์ส (American Quarter Horse) พันธุ์พื้นเมือง หรือม้าแกลบ และพันธุ์ผสม และในจำนวนนี้เป็นม้าพ่อพันธุ์ จำนวน 2 ตัว ม้าแม่พันธุ์ 10 ตัว ม้าโรงเรียนประมาณ 10 ตัว และม้าวัยรุ่น สิ่งที่หนุ่มผู้รักม้าได้เรียนรู้จากสมาคมราชกรีฑาสโมสรฯ นอกจากวิชาเลี้ยงม้าแล้ว เขายังได้ประสบการณ์ในการใช้ม้าเพื่อช่วยบำบัดอาการของเด็กกลุ่มพิเศษ หรือที่เรียกว่า "อาชาบำบัด" (Hippotherapy) โดยสมาคมราชกรีฑาสโมสรฯ ได้มีโครงการเพื่อสังคม ซึ่งทุกวันอังคารเวลาบ่ายสองโมงตรง จะมีรถตู้ 2-3 คัน พาเด็กกลุ่มพิเศษ ทั้ง ออทิสติก ดาวน์ซินโดรม และเด็กพิการด้านการเคลื่อนไหว มาเต็มคันรถ เพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพด้วยวิธีการอาชาบำบัด “ครั้งแรกไม่เข้าใจว่าอะไรคืออาชาบำบัด อย่าว่าแต่อาชาบำบัดเลย ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าเด็กพิเศษคืออะไร รู้จักแต่เด็กปัญญาอ่อน ไม่รู้ว่าที่จริงมีการแยกประเภทอาการแต่ละประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” “เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” คนเลี้ยงม้ากองหน้าผู้สร้างความหวังให้เด็กพิเศษ ด้วยตำแหน่งหัวหน้าผู้ดูแลม้า ที่ต้องดูแลม้าที่จะทำอาชาบำบัด เขาเลยมีโอกาสทำงานอย่างใกล้ชิดกับนักกิจกรรมบำบัดและจิตแพทย์ที่ดูแลด้านจิตเวชเด็ก ที่สำคัญคือตัวเด็กกลุ่มพิเศษ จนทำให้เขาเข้าใจเกี่ยวกับอาชาบำบัดในระดับหนึ่ง “ผมทำแบบนี้ทุกวันอังคารต่อเนื่องหลายปี พอถึงปีใหม่จะมีงานคริสต์มาสให้เด็กกลุ่มนี้ โดยเชิญเด็กทั้งหมดที่เคยมาร่วมกิจกรรมทั้งปี ให้เข้ามาร่วมงาน มาขี่ม้าและร่วมรับประทานอาหารกลางวัน และมีโชว์เล็กๆ จากเด็กๆ ทั้งการร้องเพลง แสดงละคร ทำให้ผมได้เห็นพรสวรรค์ของเด็กกลุ่มนี้ ทั้งการแสดงและร้องเพลง ที่พอฟังแล้วซาบซึ้งว่าสิ่งที่เราทำ ช่วยให้พวกเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นจนได้มาร้องเพลงให้ฟังในวันนี้ได้” นอกจากพัฒนาการที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ของเด็กกลุ่มพิเศษแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่เขาประทับใจคือความสนุกสนาน รอยยิ้ม และแววตาที่มีความสุขของเด็กๆ รวมถึงพ่อแม่ผู้ติดตามเด็กเหล่านั้นที่มีความสุข เมื่อเห็นเด็กๆ ของเขาสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนกับเด็กปกติทั่วไป มีความปลื้มปิติที่เห็นลูกของเขามีพัฒนาการที่ดีขึ้นมาก จากก่อนหน้านั้นที่มีแต่ความเศร้าโศก เรื่องเล็กๆ นี่แหละ ที่เป็นตัวจุดประกายให้เขาหันมาสนใจเรื่องการทำอาชาบำบัด เลิศพงษ์ยังมีโอกาสศึกษาเรื่องอาชาบำบัดกับผู้เชี่ยวชาญระดับโลกชาวเยอรมันอย่าง เอลเก้ ครูปก้า (Mrs.Elke Krupka) และผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านการฝึกม้า คัดเลือกม้าชาวอเมริกา เรจจี้ ลัดวิก (Mr.Rege Ludwig) ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการทำอาชาบำบัด คือ การฝึกม้าที่เหมาะสมกับการทำอาชาบำบัด หรือที่เขาเรียกว่า “Super Horse” “ผมพูดคุยปรึกษากับครอบครัวว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการทำอาชาบำบัดคือการเลี้ยงม้า การฝึกม้า เราหาพวกข้อมูลเชิงวิชาการจากอินเทอร์เน็ตได้ แต่เรื่องม้ามันเป็นเรื่องยาก ต้องใช้วิธีการ ต้องฝึกฝน ต้องอาศัยประสบการณ์จริง เราเลยคิดว่าจะผลิตม้าที่เหมาะสำหรับการทำอาชาบำบัด กระจายไปให้เพียงพอกับการทำอาชาบำบัดทั่วประเทศ “เลิศพงษ์ มั่นวงศ์” คนเลี้ยงม้ากองหน้าผู้สร้างความหวังให้เด็กพิเศษ ที่ผ่านมาเขาได้ทำโครงการ “ความหวังบนหลังม้า” (Hope on Horse) เพื่อที่ทุกคนโดยเฉพาะกลุ่มเด็กพิเศษที่มีอยู่ประมาณ 10-12% ของประชากรเด็กทั้งประเทศ มีโอกาสเข้าถึงอาชาบำบัดได้ง่ายขึ้น โครงการนี้มีทั้งการขยายองค์ความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงม้า การพัฒนาสายพันธุ์ม้าไทยธรรมดาที่มีอยู่แล้วทั่วประเทศ ให้กลายเป็นม้าที่สามารถทำอาชาบำบัดได้ เพราะเด็กพิเศษจำนวนมากอาศัยอยู่ไกลศูนย์บำบัด ซึ่งต้องเดินทางเข้ารับการบำบัดอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้เสียค่าใช้จ่ายจำนวนมากไปกับการเดินทาง การกระจายศูนย์อาชาบำบัดไปให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครอง “นี่เป็นกุญแจสำคัญดอกหนึ่ง เป็นเป้าหมายหลักในวิชาชีพของผม ซึ่งชีวิตและครอบครัวผมจะอุทิศเพื่อการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ผ่านโครงการความหวังบนหลังม้า Hope on Horse ที่จะกระจายม้าไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้” ถ้าทำสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ เชื่อว่ากองทัพอาชาของหนุ่มพลังม้าที่ชื่อ เลิศพงษ์ มั่นวงศ์ จะกลายเป็นกองหน้าเคลื่อนที่เร็วที่สร้างความหวังให้กับเด็กพิเศษทั่วประเทศไทยอย่างแน่นอน