หลักเบื้องต้นของนักชิมไวน์ เส้นทางสู่การค้นพบความมหัศจรรย์ของน้ำองุ่น

หลักเบื้องต้นของนักชิมไวน์ เส้นทางสู่การค้นพบความมหัศจรรย์ของน้ำองุ่น

เปิดหลักการเรื่องเล่าของการชิมไวน์ที่จะทำให้นักชิมไวน์สามารถดื่มด่ำกับน้ำองุ่นหมักได้ถึงรสชาติและสุนทรียะมากกว่าที่เคยเป็นผ่าน 8 วิธีจากผู้เชี่ยวชาญ

KEY

POINTS

เปิดหลักการเรื่องเล่าของการชิมไวน์จากหนังสือ ‘Wine Quality: Tasting and Selection’ โดย ‘คีธ เกรนเจอร์’ (Keith Grainger) ที่จะทำให้นักชิมไวน์สามารถดื่มด่ำกับน้ำองุ่นหมักได้ถึงรสชาติและสุนทรียะมากกว่าที่เคยเป็นผ่าน 8 วิธี

เคยสงสัยไหมว่าทำไมคนบางคนถึงสามารถดื่มด่ำกับไวน์ได้อย่างลึกซึ้ง

ในขณะที่บางคนเพียงแค่ดื่มผ่าน ๆ ? 

คำตอบอยู่ที่ ‘ศิลปะแห่งการชิมไวน์’ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การดื่ม แต่เป็นการสำรวจ การค้นพบ และการเฉลิมฉลองให้กับความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ในทุกหยดของเครื่องดื่มอันเป็นอมตะนี้ 

จากหนังสือเล่มเล็กๆ ‘Wine Quality: Tasting and Selection’ โดย ‘คีธ เกรนเจอร์’ (Keith Grainger) จัดพิมพ์โดย Blackwell Publishing ภายใต้โครงการ Food Industry Briefing Series เราจะมาเรียนรู้ข้อพึงปฏิบัติเบื้องต้นที่ช่วยให้คุณก้าวสู่การเป็นนักชิมไวน์ที่ดีได้อย่างน่าตื่นเต้น

หลักเบื้องต้นของนักชิมไวน์ เส้นทางสู่การค้นพบความมหัศจรรย์ของน้ำองุ่น

1. เริ่มต้นด้วยการมอง: ปลุกสายตาแห่งนักสำรวจ

การชิมไวน์ที่แท้จริง เริ่มต้นก่อนที่คุณจะยกแก้วขึ้นมาด้วยซ้ำ ด้วยการสังเกตสีของไวน์อย่างพินิจพิเคราะห์ ลองเอียงแก้วทำมุมประมาณ 30 องศากับพื้นผิวสีขาว แล้วมองดูสีที่ปรากฏ คุณจะเห็นว่าไวน์แต่ละชนิดมีเฉดสีที่แตกต่างกันไป ไวน์ขาวอาจมีสีตั้งแต่เหลืองอ่อนจนถึงทอง ในขณะที่ไวน์แดงอาจมีสีตั้งแต่ม่วงเข้มจนถึงอิฐ แต่ละเฉดสีล้วนบอกเล่าเรื่องราวของไวน์ได้ทั้งสิ้น

ลองนึกภาพไวน์ขาวที่มีสีเหลืองอ่อนอมเขียว ราวกับแสงแรกของวันใหม่ที่สาดส่องผ่านใบไม้ นี่คือสัญญาณของไวน์อ่อนวัยที่สดชื่น พร้อมจะปลุกประสาทสัมผัสของคุณให้ตื่นตัว ในทางกลับกัน ไวน์ขาวที่มีสีทองเข้มราวกับพระอาทิตย์ตกดิน อาจเป็นไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน พร้อมจะพาคุณดำดิ่งสู่ความลึกลับซับซ้อนของรสชาติ

สำหรับไวน์แดง สีม่วงเข้มสดใสอาจทำให้นึกถึงสวนองุ่นที่เต็มไปด้วยผลไม้สุกงอม พร้อมจะระเบิดรสชาติออกมา ส่วนสีอิฐหรือส้มอิฐ อาจบ่งบอกถึงไวน์ที่ผ่านการบ่มมานาน พร้อมจะเผยเรื่องราวอันน่าหลงใหลผ่านกลิ่นและรสที่ซับซ้อน

อย่างไรก็ตาม แม้สีจะบอกอะไรเราได้มาก แต่ก็ไม่ควรด่วนสรุปจากสีเพียงอย่างเดียว เพราะบางครั้งไวน์ที่มีสีเข้มอาจมีรสชาติเบากว่าที่คาดก็ได้ นี่แหละคือความน่าตื่นเต้นของการชิมไวน์ ที่พร้อมจะท้าทายสมมติฐานของเราอยู่เสมอ

2. สูดกลิ่นอย่างช้า ๆ: เปิดประตูสู่โลกแห่งกลิ่น

หลังจากตื่นตาตื่นใจกับสีของไวน์แล้ว ถึงเวลาที่จะปลุกประสาทสัมผัสด้านกลิ่นกันบ้าง ขอแนะนำให้เริ่มด้วยการสูดสั้น ๆ เบา ๆ ก่อน เหมือนกับการเปิดประตูบานแรกสู่โลกแห่งกลิ่นของไวน์

จากนั้น ให้ค่อย ๆ หมุนแก้วเพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับไวน์ การหมุนแก้วไม่ใช่แค่การอวดท่าทางเท่ ๆ แต่เป็นการปลดปล่อยกลิ่นที่ซ่อนอยู่ในไวน์ให้ออกมา เปรียบเสมือนการเปิดม่านให้แสงส่องเข้ามาในห้องมืด เผยให้เห็นรายละเอียดที่ซ่อนอยู่

เมื่อหมุนแก้วแล้ว ให้สูดลึก ๆ อีกครั้ง คราวนี้ลองหลับตาและปล่อยให้จินตนาการของคุณโลดแล่น คุณอาจได้กลิ่นผลไม้สด เช่น แอปเปิ้ลเขียว ลิ้นจี่ หรือเสาวรส หรืออาจเป็นกลิ่นดอกไม้อย่างกุหลาบหรือมะลิ บางคนอาจได้กลิ่นเครื่องเทศอย่างอบเชยหรือจันทน์เทศ หรือแม้กระทั่งกลิ่นที่ไม่ใช่อาหาร เช่น กลิ่นหนังฟอกใหม่หรือกลิ่นดินหลังฝนตก

ทั้งนี้ กลิ่นของไวน์สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก คือ กลิ่นปฐมภูมิ (Primary Aroma) : มาจากองุ่น มักมีกลิ่นผลไม้หรือดอกไม้ , กลิ่นทุติยภูมิ (Secondary Aroma) : เกิดจากกระบวนการหมัก และ กลิ่นตติยภูมิ (Tertiary Aroma) : เกิดจากการบ่ม

การแยกแยะกลิ่นเหล่านี้อาจต้องอาศัยการฝึกฝน แต่นั่นคือความสนุกของการเป็นนักชิมไวน์ ทุกครั้งที่คุณดมไวน์ คุณกำลังฝึกฝนและพัฒนาทักษะของตัวเอง เหมือนกับการฝึกฟังดนตรีคลาสสิก ยิ่งฟังมาก คุณก็จะยิ่งแยกแยะเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้ดีขึ้น

 

3. ชิมอย่างช้า ๆ: ลิ้มรสทุกมิติของไวน์

และแล้วก็มาถึงช่วงเวลาที่ทุกคนรอคอย การได้ลิ้มรสไวน์! แต่อย่าเพิ่งรีบกลืนนะครับ แนะนำให้อมไวน์ไว้ในปากสักครู่ แล้วค่อย ๆ ดูดอากาศผ่านไวน์เข้าไป วิธีนี้อาจดูแปลก ๆ ในตอนแรก (และไม่ควรทำตอนอยู่ในงานสังคม) แต่มันจะช่วยกระจายไวน์ไปทั่วปาก ทำให้คุณสัมผัสรสชาติได้อย่างเต็มที่

ลองนึกภาพว่าลิ้นของคุณเป็นเหมือนแผนที่ ที่พร้อมจะพาคุณสำรวจดินแดนแห่งรสชาติ ปลายลิ้นจะรับรู้ความหวาน ขอบลิ้นจะรับรู้ความเปรี้ยว ส่วนโคนลิ้นจะรับรู้ความขม สำหรับไวน์แดง คุณอาจรู้สึกถึงความฝาดของแทนนินที่เคลือบไปทั่วปาก

นอกจากรสชาติพื้นฐานแล้ว ให้สังเกตเนื้อสัมผัสของไวน์ด้วย บางไวน์อาจให้ความรู้สึกเบาสบายเหมือนผ้าไหม ในขณะที่บางไวน์อาจให้ความรู้สึกหนักแน่นเหมือนกำมะหยี่ 

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการสังเกตรสชาติที่คงอยู่หลังจากกลืนหรือคายไวน์ออกไปแล้ว ที่เรียกว่า ‘ความยาวนาน’ (Length) ของไวน์ ไวน์คุณภาพสูงมักมีรสชาติที่คงอยู่นาน เหมือนเสียงกังวานของระฆังที่ยังก้องอยู่แม้จะหยุดตีไปแล้ว

 

4. จดบันทึก: บันทึกการเดินทางของคุณ

การจดบันทึกอาจฟังดูไม่สนุก แต่เชื่อเถอะว่ามันเป็นหนึ่งในเคล็ดลับสำคัญของการเป็นนักชิมไวน์ที่ดี Grainger เราควรจดบันทึกรายละเอียดของไวน์ที่ชิมอย่างสม่ำเสมอ 

การจดบันทึกไม่ใช่แค่การเขียนคำอธิบายแห้ง ๆ แต่เป็นการบันทึกประสบการณ์ของคุณ ลองเปรียบไวน์กับสิ่งที่คุณคุ้นเคย เช่น ‘กลิ่นเหมือนสวนสตรอว์เบอร์รี่ยามเช้า’ หรือ ‘รสชาติเหมือนจูบแรกในฤดูใบไม้ผลิ’ การเปรียบเทียบแบบนี้จะช่วยให้คุณจดจำลักษณะของไวน์ได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ การจดบันทึกยังช่วยให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเองในฐานะนักชิมไวน์ คุณอาจแปลกใจที่พบว่าไวน์ที่คุณชอบเมื่อ 6 เดือนก่อน อาจไม่ใช่สิ่งที่คุณชื่นชอบอีกต่อไป นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นสัญญาณว่ารสนิยมของคุณกำลังพัฒนาขึ้น

 

5. เปิดใจกว้าง: โลกของไวน์ไม่มีที่สิ้นสุด

หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในหมู่นักชิมไวน์มือใหม่คือการยึดติดกับสไตล์หรือชนิดของไวน์ที่คุ้นเคย ขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการเปิดใจกว้างและลองชิมไวน์จากภูมิภาคและผู้ผลิตที่หลากหลาย

โลกของไวน์นั้นกว้างใหญ่และน่าตื่นเต้น มีไวน์มากมายรอให้คุณค้นพบ ลองนึกภาพว่าคุณกำลังออกเดินทางท่องโลก แต่ละแก้วของไวน์คือการเยือนสถานที่ใหม่ ไวน์จากเบอร์กันดีอาจพาคุณไปสู่ไร่องุ่นเก่าแก่ในฝรั่งเศส ในขณะที่ องุ่น มอลเบค (Malbec) จากอาร์เจนตินา อาจทำให้คุณรู้สึกถึงความร้อนของแสงแดดในทุ่งหญ้าแปมปาส

อย่ากลัวที่จะลองไวน์ที่คุณไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน บางครั้งการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุด อาจมาจากไวน์ที่คุณคาดคิดน้อยที่สุด ไวน์จากประเทศที่กำลังเป็นที่นิยม เช่น โปรตุเกสหรือโครเอเชีย อาจเซอร์ไพรส์คุณด้วยรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์

 

6. เรียนรู้เกี่ยวกับการผลิตไวน์: เข้าใจที่มาของรสชาติ

การเป็นนักชิมไวน์ที่ดีไม่ได้หมายถึงแค่การรู้จักชื่อไวน์หรือองุ่นเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเข้าใจกระบวนการผลิตไวน์ด้วย เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจที่มาของกลิ่นและรสชาติต่าง ๆ ได้ดีขึ้น 

ลองนึกภาพว่าคุณกำลังยืนอยู่ในไร่องุ่น สัมผัสได้ถึงดินที่องุ่นเติบโต รับรู้ถึงแสงแดดและสายลมที่พัดผ่าน นี่คือจุดเริ่มต้นของ ‘แต์ฮัวร์’ (Terroir)  ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อรสชาติของไวน์ 

จากนั้นลองจินตนาการถึงกระบวนการเก็บเกี่ยว การหมัก และการบ่ม แต่ละขั้นตอนล้วนส่งผลต่อรสชาติสุดท้ายของไวน์ เช่น การใช้ถังไม้โอ๊คในการบ่มอาจให้กลิ่นวานิลลาหรือกลิ่นเครื่องเทศแก่ไวน์ 

ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจและชื่นชมไวน์ได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เหมือนกับการดูภาพยนตร์ ยิ่งคุณรู้เบื้องหลังการสร้างมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งชื่นชมรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้มากขึ้นเท่านั้น

 

7. ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ: ทุกแก้วคือโอกาสในการเรียนรู้

เช่นเดียวกับทักษะอื่น ๆ การเป็นนักชิมไวน์ที่ดีต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องดื่มไวน์ทุกวัน! การฝึกฝนอาจหมายถึงการตั้งใจสังเกตกลิ่นและรสชาติของอาหารและเครื่องดื่มในชีวิตประจำวันของคุณ

ลองสังเกตกลิ่นของดอกไม้ในสวน รสชาติของผลไม้สด หรือแม้แต่กลิ่นของกาแฟยามเช้า การฝึกฝนแบบนี้จะช่วยพัฒนาประสาทสัมผัสของคุณ ทำให้คุณไวต่อกลิ่นและรสชาติมากขึ้น

เมื่อคุณมีโอกาสชิมไวน์ ให้ตั้งใจกับมันอย่างเต็มที่ อย่ารีบร้อน ใช้เวลาสังเกตทุกแง่มุมของไวน์ ตั้งแต่สี กลิ่น รสชาติ ไปจนถึงความรู้สึกหลังการดื่ม จำไว้ว่าทุกแก้วคือโอกาสในการเรียนรู้

 

8. แบ่งปันประสบการณ์: การเรียนรู้ร่วมกัน

การชิมไวน์ไม่จำเป็นต้องเป็นกิจกรรมเดี่ยวเสมอไป เหมือนคำกล่าวที่ว่า ‘เงินมีไว้ใช้ ไวน์มีไว้แชร์’ การเข้าร่วมการชิมไวน์แบบกลุ่มหรือการแบ่งปันประสบการณ์กับเพื่อน ๆ ช่วยเพิ่มพูนความรู้และความสนุกได้อย่างมาก เราควรแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้อื่น เพราะจะช่วยพัฒนามุมมองและความเข้าใจเกี่ยวกับไวน์

ลองจัดงานชิมไวน์เล็ก ๆ กับเพื่อน โดยให้แต่ละคนนำไวน์มาคนละขวด แล้วชิมพร้อมกัน แบ่งปันความคิดเห็นว่าแต่ละคนได้กลิ่นหรือรสชาติอะไรบ้าง คุณอาจแปลกใจที่พบว่าคนอื่นอาจรับรู้กลิ่นหรือรสชาติที่คุณไม่ได้สังเกต จากขั้นตอนนี้ อาจะพัฒนาไปถึงขั้นการห่อขวดด้วยฟอยล์ เพื่อให้ทุกคน ‘ทายไวน์’ แต่ละขวดที่อยู่ในวงไวน์ (Blindfold Test) 

การแบ่งปันประสบการณ์แบบนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยพัฒนาทักษะการชิมของคุณ แต่ยังทำให้การดื่มไวน์เป็นกิจกรรมทางสังคมที่สนุกสนานอีกด้วย

 

9. เคารพความชอบส่วนบุคคล: ไม่มีถูกผิดในเรื่องรสนิยม

สุดท้ายนี้ สิ่งสำคัญที่สุดการเคารพความชอบส่วนบุคคล แม้ว่าจะมีหลักเกณฑ์มากมายในการประเมินคุณภาพไวน์ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว รสนิยมของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป

ไม่ต้องรู้สึกแย่ถ้าคุณไม่ชอบไวน์ที่ได้รับการยกย่องจากผู้เชี่ยวชาญ หรือถ้าคุณชอบไวน์ที่คนอื่นบอกว่า ‘ธรรมดา’ จำไว้ว่าการชิมไวน์เป็นประสบการณ์ส่วนบุคคล สิ่งสำคัญที่สุดคือคุณเพลิดเพลินกับมันหรือไม่

ในขณะเดียวกัน อย่าลืมท้าทายตัวเองด้วยการลองชิมไวน์ที่แตกต่างจากสิ่งที่คุณคุ้นเคย บางครั้งรสนิยมของเราอาจเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเราได้สัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ ๆ

 

บทสรุป: การเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด

การเป็นนักชิมไวน์ที่ดีไม่ใช่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด ทุกแก้วของไวน์คือโอกาสในการเรียนรู้และค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือผู้เชี่ยวชาญ ก็ยังมีอะไรให้เรียนรู้อีกมากมาย

จำไว้ว่าการชิมไวน์ไม่ใช่การสอบ แต่เป็นการสำรวจและเฉลิมฉลองให้กับความหลากหลายของรสชาติและประสบการณ์ ดังนั้น อย่าลืมสนุกไปกับมัน! ไม่ว่าคุณจะดื่มไวน์แก้วละหลายพันบาท หรือไวน์กล่องราคาประหยัด จงดื่มด่ำไปกับประสบการณ์และความรู้สึกที่ไวน์แต่ละแก้วมอบให้

ในครั้งต่อไปที่คุณยกแก้วไวน์ขึ้นมา ลองใช้เทคนิคที่เราได้เรียนรู้มานี้ ตั้งแต่การมอง การดม ไปจนถึงการชิม แล้วคุณจะพบว่าโลกของไวน์นั้นน่าหลงใหลยิ่งกว่าที่คุณเคยคิด ใครจะรู้ คุณอาจค้นพบไวน์ที่กลายเป็นโปรดของคุณตลอดกาลก็ได้ 
สุดท้ายนี้ ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการสำรวจโลกอันน่าตื่นเต้นของไวน์ และขอให้ทุกแก้วนำพาคุณไปสู่การค้นพบใหม่ ๆ เสมอ ชนแก้ว และสุขสันต์กับการชิม!


หมายเหตุ: โปรดติดตามข่าวสารจาก The People ซึ่งจะมีกิจกรรมไวน์ ทั้ง Wine Sensory Course, Winebration และกิจกรรมอื่น ๆ ให้คุณได้ติดตามอย่างสม่ำเสมอ