ไม่อยู่ในชีวิต แต่อยู่ในหัวใจ รับมืออย่างไรในวันที่ใจสูญเสีย?

ไม่อยู่ในชีวิต แต่อยู่ในหัวใจ รับมืออย่างไรในวันที่ใจสูญเสีย?

โอบรับความสูญเสียผ่านแนวคิด ‘เสาหลักแห่งความเข้มแข็ง’ (Pillars of Strength) โดย ‘จูเลีย ซามูเอล’ (Julia Samuel)

การตายจาก เป็นเรื่องยากเสมอในการยอมรับและก้าวผ่าน แต่ก็เป็นหนึ่งสิ่งที่ไม่ว่าใครก็หนีไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะเป็นใคร จะยากดีมีจน มีฐานะทางสังคม หรือคนยอมรับนับถือมากแค่ไหน ปลายทางสุดท้ายก็เป็น ‘ความตาย’ กันทั้งนั้น

ในวันที่ความตายพรากคนที่เรารักจากไป ดวงใจของเรานั้นคงไม่ต่างจากเรือน้อยที่ล่องลอยกลางมหาสมุทรท่ามกลางพายุ ทั้งกระแสลมที่พัดแรง คลื่นทะเลที่เชี่ยวกราด อีกทั้งยังมีฝนห่าใหญ่ที่หล่นลงมาอย่างไม่มีทีท่าจะสงบ พาให้อ่อนล้า สับสน พร้อมจะแหลกสลายได้ทุกขณะ ไม่ใช่สิ… ความจริงเราแหลกสลายไปแล้วต่างหาก

มันเจ็บปวดถึงขนาดที่คุณจะไม่มีทางจินตนาการออกได้เลย หากไม่ได้เผชิญมันด้วยตัวเอง

จูเลีย ซามูเอล’ (Julia Samuel) นักจิตบำบัดด้านความโศกเศร้า ได้อธิบายแนวคิด ‘เสาหลักแห่งความเข้มแข็ง’ (Pillars of Strength) ซึ่งเป็นวิธีการรับมือกับความสูญเสียและการเยียวยาทางอารมณ์ เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้อย่างมีสติ โดยเธอได้นำเสนอ 8 วิธี ที่จะช่วยให้เราก้าวผ่านช่วงเวลาแห่งความทุกข์ไปได้ 

โดยเสาหลักทั้งหมดนี้จะเป็นการประกอบเข้าด้วยกันเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางจิตใจ กล่าวคือ เราไม่สามารถมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติเพียงเสาใดเสาหนึ่งได้เพื่อหวังบรรลุผลได้ อีกทั้งเสาพวกนี้ยังต้องอาศัยความมุ่งมั่นและการให้เวลาเป็นส่วนสำคัญ หากทำได้ก็จะสามารถสร้างความแข็งแรงให้กับจิตใจ ซึ่งจะทำให้เราสามารถก้าวผ่านความเสียใจไปได้อย่างแน่นอน โดยเสาหลักทั้งแปดมีดังนี้

1. ความสัมพันธ์กับผู้อื่นและผู้ล่วงลับ — การที่เราสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป ยิ่งรักและผู้พันธ์มากแค่ไหน ก็มีแนวโน้มจะเกิดความเสียใจมากเท่านั้น ขั้นตอนแรกเมื่อเกิดการสูญเสีย เราต้องไม่ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความจริงเกี่ยวกับความสูญเสีย และหาวิธีแสดงออกถึงการระลึกนึกถึงความสัมพันธ์เหล่านั้น เช่น การไปเยี่ยมหลุมศพ หรือการสวมใส่สิ่งของที่เชื่อมโยงกับผู้ที่จากไป การสานต่อความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่เพียงแต่มีความสำคัญแต่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดอารมณ์เชิงลบและเพิ่มอารมณ์เชิงบวกได้ และเมื่อเวลาผ่านไป หากเราเริ่มยอมรับและทำใจได้ ความสม่ำเสมอของพิธีกรรมเหล่านี้จะลดลงตามลำดับเอง

2. ความสัมพันธ์กับตัวเอง — เปิดใจรับฟังความต้องการของตัวเอง เราต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจตัวเอง พยายามเข้าใจตัวเอง และอย่าโจมตีตัวเองในรูปแบบของการวิจารณ์โดยเด็ดขาด

3. การแสดงออกถึงอารมณ์ — การเปิดโอกาสให้ตัวเองรู้สึกเศร้าไม่ใช่เรื่องที่แย่เลยแม้แต่น้อย แทนที่จะข่มอารมณ์เหล่านั้นไว้ หลาย ๆ ครั้งการปลดปล่อยมันออกมาอาจช่วยเยียวยาได้มากกว่าที่เราคิด โดยการแสดงออกของแต่ละบุคคลอาจแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึกความรู้สึก การพูดคุยกับคนที่สบายใจ หรือการใช้ศิลปะบำบัด ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีที่ช่วยให้เราเข้าใจและจัดการกับความรู้สึกของตนเองมากขึ้น

4. ให้เวลากับตัวเอง — อย่าลืมเคารพความรู้สึกของตัวเองและให้เวลากับการเยียวยาโดยไม่เร่งรัดตัวเองเกินไป เพราะทุก ๆ การก้าวผ่านความเสียใจต้องใช้ระยะเวลาและความอดทนเสมอ อย่าเอาระยะเวลาการเยียวยาของคนอื่นมาเป็นมาดวัดตัวเราโดยเด็ดขาด เพราะประสบการณ์เป็นเรื่องส่วนบุคคล ไม่สามารถบอกได้ว่าใครจะใช้เวลาเยียวยามากหรือน้อยกว่ากัน

5. กลับมาดูแลร่างกายและจิตใจ — ควรหาเวลาออกกำลังกายเล็ก ๆ นอนหลับให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พฤติกรรมที่ดีเหล่านี้เป็นการค่อย ๆ สร้างความแข็งแรงให้กับจิตใจได้อย่างมหาศาล

6. กำหนดขอบเขตให้ตัวเอง — ในช่วงเวลาโศกเศร้าอาจมีคำแนะนำมากมายจากคนรอบข้าง ที่อยากจะช่วยให้เราก้าวผ่านความทุกข์ แต่สิ่งที่ควรทำคือการกำหนดขอบเขตเพื่อเลือกทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อเรามากที่สุด 

7. พัฒนาความยืดหยุ่นทางอารมณ์ — ในช่วงเวลาแห่งความเปราะบาง อาจทำให้เราเสียสมดุลในชีวิตไปบางส่วน  โดยเราจำเป็นต้องสร้างกรอบการดำเนินชีวิตที่ช่วยให้เรารู้สึกมั่นคง เช่น กำหนดกิจวัตรประจำวันที่สามารถปฏิบัติได้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยควบคุมความวุ่นวายในจิตใจ ซึ่งจะเป็นรากฐานที่จะช่วยป้องกันความรู้สึกสับสนและความไม่แน่นอน อีกทั้งยังทำให้เราฝึกปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ มองความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาสในการเติบโต ไม่ใช่เพียงแค่การสูญเสีย 

8. การฝึกโฟกัส — ระหว่างกระบวนการเยียวยา เราควรฝึกโฟกัสให้มากขึ้น เพราะการมีสมาธิเป็นอีกหนึ่งวิธีในการปลดปล่อยอารมณ์ ซึ่งจะช่วยให้เราตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงภาวะทางอารมณ์และร่างกาย การฝึกฝนนี้ช่วยให้เราเชื่อมต่อกับความรู้สึกภายใน และค้นพบวิธีการเยียวยาตนเองในที่สุด

โดยวิธีของซามูเอลช่วยให้ผู้คนเข้าใจว่า ‘ความเข้มแข็ง’ ไม่ได้หมายถึง ‘การฝืนทำเป็นไม่รู้สึกอะไร’ แต่หมายถึง การยอมรับและรับมือกับความเจ็บปวดอย่างมีสติ เพื่อให้สามารถก้าวไปข้างหน้าได้

แม้ว่าบุคคลที่เรารักจะจากไป แต่ความทรงจำระหว่างเรานั้นไม่เคยจากตาม เพียงแต่การมีอยู่ของพวกเขาในชีวิตของเราได้ย้ายมาบรรจุอยู่ในรูปแบบความทรงจำที่จะอยู่ในใจของผู้จดจำตลอดไป 

หากวันนี้เรายังมีโอกาสได้ทำดีหรือตอบแทนความรักให้กับคนสำคัญก็จงรีบทำ ในวันหนึ่งที่เขาหรือเราจากไป จะได้ไม่ต้องมานึกเสียดายทีหลังเพราะเรา ‘ทำเต็มที่ที่สุดแล้ว

ไม่มีใครรู้ว่าเราจะมีอายุไปถึงเท่าไหร่? 

เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพรุ่งนี้เราจะได้ตื่นมาไหม?

ไม่มีใครตอบคำถามพวกนี้ได้ ต่อให้เราใช้ชีวิตอย่างดีที่สุดหรือระมัดระวังที่สุดก็ใช่ว่าเราจะไม่ตาย 

แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ สุดท้ายความตายจะมาหาเราในสักวัน

 

อ้างอิง

Samuel, J. (n.d.). 8 pillars of strength. Julia Samuel.