13 ก.ย. 2562 | 12:06 น.
เมื่อพูดไปแล้ว..คำพูดเป็นนายเรา
“คำพูดเป็นนายเรา” มักจะเป็นประโยคที่ใช้เตือนสติคนที่พูดออกมาโดยไม่ระมัดระวัง เพราะบางครั้งสิ่งที่พูดออกมาอาจจะย้อนกลับมาโจมตีคุณในอนาคตได้เสมอ ซึ่ง แมทธิว ฮีลีย์ (Matthew Healy) ฟรอนต์แมนแห่งวง The 1975 ก็เป็นอีกหนึ่งกรณีตัวอย่างของเรื่องลักษณะนี้
สำหรับใครที่ยังไม่รู้จัก แมทธิว ฮีลีย์ หรือ แมทตี้ เขาคือนักร้องนำของวงดนตรีอินดี้ ร็อก จากเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ นามว่า The 1975 เขาและเพื่อนอีก 3 คน ประกอบไปด้วย อดัม ฮานน์ (กีตาร์), รอส แมคโดนัลด์ (เบส) และ จอร์จ แดเนียล (กลอง) ฟอร์มวงด้วยกันมาตั้งแต่ปี 2002 และกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างเมื่อปี 2013 หลังออกผลงานสตูดิโออัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวงว่า The 1975
นับตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็ถูกจับตามองมากขึ้นในฐานะ “ตัวแทนวงร็อกรุ่นใหม่จากเกาะอังกฤษ” การันตีด้วยความสำเร็จของเพลงอย่าง ‘Love It If We Made It’, ‘Robbers’ หรือ ‘It’s Not Living (If It’s Not With You)’ แต่ท่ามกลางเส้นกราฟชีวิตที่ไต่สูงขึ้นทุกวัน ๆ เบื้องหลังของความสำเร็จเหล่านี้แลกมาพร้อมกับชีวิตในด้านมืดของ แมทตี้ นักร้องนำของวง
ย้อนกลับไปในปี 2013 แมทตี้ เคยออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตัวเขาเคยติดยาเสพติดประเภทโคเคนอย่างหนักมาตั้งแต่อายุ 18 แต่ไม่เคยติดเฮโรอีนตอนนั้นแมทตี้พูดปิดท้ายเชิงติดตลกว่าตัวเขาพอแล้วกับเรื่องพวกนี้และมีแผนจะเลิกยาอย่างถาวร
“ตอน 18 ผมก็เหมือนเด็กวัยรุ่นทั่วไปที่ชอบเล่นยาหลาย ๆ อย่าง ตอนนั้นผมอยากเป็นเหมือน แจ็ค เครูแอ็ก (นักเขียน) ผมก็เสพไปเรื่อย แต่ตอนนี้ผมคงไม่มีทางเอาเงินไปซื้อยาอีกแล้วแน่นอน ผมคงเอาเงินไปลงทุนพวกอสังหาฯ ดีกว่า”
แต่บางครั้งชื่อเสียง เงินทอง ที่ตามมาพร้อมกับความสำเร็จ อีกด้านหนึ่งมันก็เป็นเหมือนหอกที่คอยทิ่มแทงตัวศิลปินเอง แม้คุณจะมีคอนเสิร์ตที่มีคนดูนับหมื่น ๆ เข้ามาคอยส่งเสียงเรียกร้องต้องการคุณตลอดเวลา แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นหลังโชว์ สำหรับ แมทตี้ ความรู้สึกตอนนั้นมันเป็นอะไรที่ว่างเปล่าเสียเหลือเกิน
เขาสัมผัสได้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากจะอาศัยพึ่งอิทธิฤทธิ์จากยาเสพติด ที่ครั้งหนึ่งเขาเคยลั่นวาจาจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมันอีก แม้รู้ว่าไม่ควร แต่ถ้าเสพแล้วจะทำให้ตัวเองผ่านอะไรไปได้ มันก็น่าจะไม่มีปัญหาหรอก...นี่คือสิ่งที่แมตตี้คิดในช่วงเวลานั้น
ถึงแม้ว่าเนื้อเพลงที่เขาเขียนจะมีความตรงไปตรงมา แต่เขาก็ปกปิดความจริงที่ว่าเขาเริ่มหันมาใช้เฮโรอีนมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2014 ตั้งแต่เด็ก ๆ เขามีความรู้สึกลึก ๆ ที่อยากจะอยู่เงียบ ๆ สงบ ๆ นั่นแหละคือคำตอบของคำถามที่ว่า ทำไมเขาถึงเริ่มสูบกัญชาตั้งแต่ยังเด็ก นั่นเพราะเขาอยากจะปิดเสียงในหัวตัวเอง และอยากจะดูดซับอะดรีนาลีนไม่ให้พลุ่งพล่านระหว่างทัวร์
เขาไม่เคยนอนหลับฝันดีเลย มีแต่ฝันร้าย และมันเกิดขึ้นในที่เดิมทุกครั้ง ทุกอย่างเต็มไปด้วยความว่างเปล่า “ผมโตมาที่นั่น” เขาพูดอย่างสิ้นหวัง (ละแวกบ้านของ แมทตี้ ในช่วงที่เขาเป็นวัยรุ่นมีสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ ถ้านึกภาพไม่ออกลองหาหนังเรื่อง Trainspotting ดู)
แมทตี้ ติดยาแบบยังควบคุมตัวเองได้ ในสตูดิโอเขามักจะใช้กัญชา ส่วนที่อเมริกาเขาจะเปลี่ยนไปใช้พวกยาแก้ปวดแทน เขาสามารถอยู่ได้หลายอาทิตย์โดยไม่ต้องใช้เฮโรอีนเลย แต่มักจะกลับสู่สภาพเดิมเมื่ออยู่คนเดียว
เดือนกันยายนปี 2017 ท่ามกลางปัญหาติดยาของ แมทตี้ ที่นับวันก็ยิ่งดูแย่ลงเรื่อย ๆ เขาตัดสินใจเปิดอกบอกกับเพื่อนในวงว่าเขาตั้งใจจะใช้เฮโรอีนต่อไป ซึ่งสถานการณ์ของเรื่องนี้เริ่มร้อนระอุมาตั้งแต่งานเทศกาลดนตรีละติจูด เฟสติวัล ในเดือนกรกฎาคม ปีดังกล่าว ตอนที่ จอร์จ มือกลองของวงพบว่า แมทตี้ กลับมาใช้ยาอีกแล้ว
แม้ตัวนักร้องนำจะบอกทุกคนในวงว่าเขาจะทำให้ตัวเองคลีนตอนไปถึง แอลเอ เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มที่ 3 แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น แมทตี้ กลับคุยโวในดินเนอร์คืนหนึ่งว่า “ทำไมเขาถึงจำเป็นต้องเลิกด้วยล่ะ” (ว่ากันว่าพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในวันนั้นของแมตตี้ เป็นผลจากฤทธิ์ยาทางจิตเวช อย่าง เบนโซไดอะซีปีน (Benzodiazepines) ที่เขาใช้อยู่)
แมทตี้ ทำสีหน้าเจ็บปวดในขณะที่เขาสูดควันบุหรี่ และพูดว่า “ฟังนะ ทุกคนต้องร่วมหัวจมท้ายไปด้วยกัน เพราะฉันน่ะเป็นตัวหลักของวง ถ้าอยากได้เพลง พวกเราก็ต้องโอเคกับเรื่องนี้ให้ได้”
ในคืนนั้นทุกคนต่างเงียบกับสิ่งที่เกิดขึ้น มาถึงตอนนี้คำพูดที่แอบแฝงด้วยความเห็นแก่ตัวของ แมทตี้ อาจจะกำลังทำลายทุกสิ่งที่พวกเขาร่วมกันทำมาตั้งแต่อายุ 15 ได้แต่โชคดีที่แมทตี้เกิดตาสว่างได้ทันเวลา
เช้าวันถัดมา แมทตี้ ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกอับอายกับสิ่งที่เขาได้พูดออกไป “ผมตระหนักได้ว่าสิ่งที่ผมทำไปมันไร้สาระสิ้นดี ผมลงไปหา จอร์จ และบอกเขาว่าผมควรไปบำบัดเลิกยา”
จอร์จ แดเนียล มือกลองของวงคือเพื่อนสนิทที่สุดของ แมทตี้ เขาทั้งสองอยู่ห้องติดกันในย่านตะวันออกของลอนดอน ซึ่ง แมทตี้ บอกว่าเรื่องนี้ (การกลับมาติดเฮโรอีน) เป็นความลับครั้งแรกระหว่างเขาทั้งคู่ “จอร์จ เป็นโปรดิวเซอร์ที่เก่งที่สุดที่ผมเคยรู้จัก ผมดีใจที่เขาคอยอยู่ข้าง ๆ ผมเสมอท่ามกลางเรื่องเลวร้ายต่าง ๆ”
นักร้องนำของวงใช้เวลา 7 สัปดาห์ ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ปี 2017 ในการบำบัดเพื่อเลิกยาที่คลินิกในเกาะบาร์เบโดส ซึ่งในเวลาต่อมาเขาก็สามารถเลิกยาได้ขาด และกลับมาเริ่มทำอัลบั้มชุดที่ 3 ผลงานที่มีกลิ่นอายของดนตรีหลากหลายชนิดทั้ง บลู อายด์ โซล หรือ อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพวกเขาตั้งชื่อผลงานชุดนี้ว่า “A Brief Inquiry into Online Relationships”
“ตอนนั้นผู้คนเริ่มขาดความเชื่อมั่นในตัวผม แต่ไม่ใช่ในระดับที่แย่มาก ความจริงที่ว่าผมรู้ว่าผมได้สร้างบางอย่างที่ไม่ได้ถูกทำลายลงได้ มันทำให้ผมรู้สึกเข้มแข็งมาก และการอยู่ในวงที่น่าตื่นเต้นแบบนี้ ทำให้ผมค่อย ๆ หยุดยาเสพติดไปทีละเล็กละน้อย”
แมทตี้ จะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก ถ้ามีใครมาพูดเรื่องเกี่ยวกับการติดยาเสพติดของเขา มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ค่อยอยากจะนึกถึงมันเท่าไหร่ แต่จะให้ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เพราะเรื่องราวของยาเสพติดได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของผลงานชุดนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเพลงฮิตอย่าง ‘It's Not Living (If It's Not with You)’ ก็เป็นเพลงที่เกี่ยวกับเฮโรอีนเต็มๆ
“ผมจะไม่มีสิ่งที่อยากเขียน ถ้ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้สึกวันต่อวัน” เขาอธิบาย “ปัญหาที่ผมมีก็คือ ความจริงของผม ผมไม่สามารถต่อรองกับโลกนี้ได้ถ้าผมไม่พูดความจริง ณ ตอนนี้ ผมมีมุมมองที่เปลี่ยนไป ซึ่งต่างกับตอนนั้น (สมัยติดยา) ที่ผมไม่มีมุมมองอะไรแบบนี้เลย แต่ทั้งหลายทั้งปวงผมก็ร้องเพลงเกี่ยวกับมันในอัลบั้มที่ 3 นะ”
มีหลายวงที่อยู่ด้วยกัน ทำงานด้วยกันได้แค่ไม่กี่เดือน ก็เริ่มคิดจะฆ่ากันและกันแล้ว ซึ่งนั่นมันไม่ใช่สำหรับวงที่รู้จักกันมาตั้งแต่อายุ 13 ที่โรงเรียนวิล์มสโลว์ ในแมนเชสเตอร์ อย่างวงนี้ เพราะอย่างนั้นแม้จะมีปัญหาเข้ามามาก แต่พวกเขาก็มักจะผ่านไปได้เสมอ
“ทุกอย่างมันเป็นไปอย่างธรรมชาติ” แมทตี้ พูด
“ถ้าใครล้มลงหรือเขวไปบ้าง เราก็จะทำใจได้ในที่สุด เพราะมันมีรักแท้อยู่ตรงนั้นเสมอ”
แมทตี้ บอกอีกว่าเขาไม่ค่อยมีเพื่อนข้างนอกมากนัก และรู้สึกกระอักกระอ่วนที่ต้องอยู่ในสภาพแวดล้อมที่หรูหรา “ลองให้พวกเราไปอยู่ในแฟชั่นโชว์สิ พวกเราจะเหมือนพวกกาก ๆ เลย” เขาพูด “มันจะดูตลกมาก เพราะเราไม่เหมาะกับสิ่งนั้น”
แม้จะหันหลังให้ยาเสพติดได้แล้ว แต่ แมทตี้ เผยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือประสบการณ์และความท้าทายที่สุดในชีวิตของเขา “ตอนนี้ผมเริ่มทัวร์โดยปราศจากการใช้ยาตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่ท้าทายนะ แต่คุณแค่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เป็นวันต่อวันไป เพราะวันหนึ่งคุณอาจจะสติแตกขึ้นมาก็ได้”
แมทตี้ ให้เครดิตกับคนใกล้ตัวของเขา ที่ไม่เคยมีใครยินดีกับการใช้ยาของเขาเลย “ผมรู้สึกโชคดีมาก ๆ ที่คนรอบตัวของผมไม่ค่อยมีใครยอมรับกับเรื่องพวกนี้ (ใช้ยาเสพติด) หรือปล่อยให้ผมใช้ยาหนัก ๆ ตามอำเภอใจ ซึ่งสำหรับคนติดยาที่มีคนแบบนี้อยู่รอบตัว มันเป็นอะไรที่น่ารำคาญมาก ๆ แต่ในเวลาเดียวกันมันก็ทำให้คุณได้เห็นภาพสะท้อนนะ”
นี่ไม่ใช่นิทานปรัมปราเดิมๆเกี่ยวกับไอ้ขี้ยาที่มีวัฒนธรรมที่แตกต่างแต่มันสื่อให้เห็นว่ามันไม่เวิร์คหรอกถ้าคุณเป็นคนชนชั้นกลางและเป็นคนที่เศร้าหน่อยๆแล้วจะหันมาสนใจเรื่องยาเสพติดการที่ใครสักคนติดยาไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจหรือมาโชว์ให้คนอื่นเห็นมันเป็นเรื่องส่วนตัวและชีวิตของคนคนหนึ่งซึ่งนั่นแหละคือคำตอบที่ว่าทำไมมันยากสำหรับเขาที่จะเปิดเผยในตอนนี้
“ความคิดที่จะเป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ อย่างที่ผมเคยมอง วิลเลียม เอส. เบอร์โรห์ส (นักเขียนชาวอเมริกัน) มันทำให้ผมรู้สึกแย่ เพราะที่ผ่านมามันน่ากลัวมาก ผมไม่อยากให้ใครมองว่าผมเท่ที่ติดเฮโรอีนนะ มันไม่ใช่แบบนั้นเลย”
อ้างอิง: