ไบรอัน ร็อบสัน กัปตันมาร์เวล แห่ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
"เราจ่ายเพื่อคุณภาพ เขาคือทองเหนือทอง" รอน แอตกินสัน ผู้จัดการทีมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เพิ่งรับตำแหน่งเป็นฤดูกาลแรก (ค.ศ. 1981) ตอบนักข่าวในวันแถลงข่าวการเซ็นสัญญาคว้าตัว ไบรอัน ร็อบสัน นักเตะกองกลางจาก เวสต์บรอมวิช อัลเบียน ซึ่งถือเป็นลูกน้องเก่าและทีมเก่าของเขาเองมาด้วยราคา 1.5 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติใหม่ของอังกฤษ ณ ค.ศ. นั้น
"ในเวลาที่สโมสรกำลังตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบาก คุณคิดว่ามันเหมาะแล้วเหรอที่จะจ่ายด้วยเงินจำนวนขนาดนี้" นักข่าวช่างสงสัยถามกลับ
"ฟังนะ ผมเพิ่งพูดไปหยก ๆ ว่า ถ้าเราจะหาเด็กใหม่ เราต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ซึ่งคุณก็ต้องจ่ายเพื่อสิ่งที่ดีที่สุด" บิ๊กรอนตอบกลับ
นับแต่นั้น ร็อบสันลงเล่นให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 13 ฤดูกาล ลงเล่นไป 461 นัด ทำประตูได้ทั้งหมด 99 ประตู สร้างตำนานและแรงบันดาลใจให้กับนักฟุตบอลรุ่นหลังอีกหลายคน
"ร็อบสันคือไอดอลของผม" แกรี เนวิลล์ อดีตแบ็คขวาผีแดงกล่าวในอัตชีวประวัติของตน (The Guardian) "เขาเฆี่ยนตัวเองให้วิ่งแต่ต้นไปจนจบเกมทุกเกม เสียเหงื่อ เสียเลือด เสียน้ำตา ทุกครั้งที่เขาพุ่งเข้าไปในกรอบประตู มันเหมือนการเอาชีวิตเข้าเดิมพัน ทุกสิ่งคือการต่อสู้และการประจันหน้า"
จากข้อมูลของ The Sun ไบรอัน ร็อบสัน เกิดเมื่อวันที่ 11 มกราคม 1957 ที่ เชสเตอร์-เลอ-สตรีท (Chester-le-Street) ในเคาตีเดอแรม (County Durham) ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคอีสานของอังกฤษ จึงไม่แปลกที่วัยเด็กเขาจะมีนิวคาสเซิลเป็นทีมโปรด และมี วิน เดวีส์ กองหน้าทีมชาติเวลส์และสโมสรนิวคาสเซิลเป็นนักเตะในดวงใจ
ร็อบสันเริ่มต้นการเป็นนักเตะอาชีพในช่วงฤดูร้อนปี 1972 จากการเป็นนักเตะฝึกหัดกับเวสต์บรอม เริ่มแรกรับค่าจ้างสัปดาห์ละ 5 ปอนด์ ก่อนได้รับการขึ้นเงินเป็น 8 ปอนด์ต่อสัปดาห์ในปีที่สอง ด้วยผลงานที่โดดเด่นทำให้ร็อบสันเป็นที่หมายปองของทีมใหญ่ของประเทศ ทั้งแมนยู และลิเวอร์พูล แต่เขาเลือกที่จะย้ายไปร่วมทีมแมนยูในเดือนตุลาคม 1981 แม้ว่าในยุคนั้นการร่วมทีมลิเวอร์พูลจะการันตีความสำเร็จได้มากกว่าก็ตาม
(แต่ฤดูกาลก่อนหน้าที่เขาจะย้ายออกจากเวสต์บรอม เวสต์บรอมมีอันดับในลีกสูงกว่าทีมดัง[กว่า]ทั้งสองทีม)
ร็อบสันสร้างความแตกต่างให้กับทีมได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรก เขาเป็นนักเตะตัวหลักทันที และในฤดูกาลที่สอง (1982-83) เขาก็ได้รับตำแหน่งกัปตันทีมพร้อมพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้สำเร็จ ทั้งมีส่วนสำคัญอย่างมากต่อการคว้าแชมป์ เนื่องจากในนัดชิงทีมเสมอกับไบรตันด้วยผล 2-2 จึงต้องเตะรีเพลย์กันอีกรอบ และเพียงครึ่งแรกแมนยูออกนำไป 3 ประตู โดย 2 ประตู เป็นผลงานของร็อบสัน ก่อนชนะไปเบ็ดเสร็จทั้งสิ้น 4 ประตูต่อ 0
ความมุ่งมั่น ทุ่มเท และใจสู้ไม่ยอมท้อถอย คือคุณลักษณะประจำตัวของร็อบสัน ทำให้เขามีส่วนในการทำประตูสำคัญ ๆ ให้กับทีมเสมอ เช่นในปี 1984 นัดที่ทีมพบกับบาร์เซโลนา เจ้าบุญทุ่มที่มี ดิเอโก มาราโดนา นักเตะระดับโลกเป็นตัวชูโรงในรายการคัพวินเนอร์สคัพรอบที่ 3 นัดแรกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดบุกไปแพ้มาก่อน 2-0 แต่เมื่อกลับมาเล่นในบ้าน ร็อบสันช่วยทีมยิงสองประตู ก่อนชนะไป 3-0 เตะทีมยักษ์ใหญ่จากสเปนตกรอบไป ทำให้แฟน ๆ ตั้งฉายาให้กับเขาว่า “กัปตันมาร์เวล” (แม้ว่าทีมจะไปไม่สุด เมื่อไปพ่ายให้กับยูเวนตุสในรอบรองชนะเลิศ)
ในฐานะนักเตะกองกลาง ร็อบสันได้ชื่อว่าเป็นคนที่เล่นได้ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง บ็อบบี ร็อบสัน ซึ่งร่วมงานกับ ไบรอัน ร็อบสัน (ทั้งคู่ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องทางสายเลือด) ในทีมชาติ พูดถึงไบรอัน (ซึ่งไม่ได้เป็นแค่กัปตันทีมแมนยู แต่ยังเป็นกัปตันชาติอังกฤษด้วย) ว่า เขาเป็นนักเตะที่ทำได้ดีทั้งการเข้าสกัด สร้างสรรค์โอกาส และการทำประตู ขณะที่ พอล แกสคอยน์ กองกลางพรสวรรค์สูงตั้งฉายาให้กัปตันทีมชาติว่า “ไอ้ขี้หมา” เพราะเขาอยู่ไปทั่วทั้งสนาม เหมือนขี้หมาบนถนนก็ไม่ปาน
กับทีมชาติผลงานส่วนตัวของร็อบสันมีตัวเลขที่ดี ลงเล่นทั้งหมด 90 นัด ทำประตูได้ 26 ประตู แต่อังกฤษไม่เคยคว้าแชมป์ใด ๆ ได้ และเขาก็มักจะพลาดเกมสำคัญในรายการใหญ่เนื่องจากอาการบาดเจ็บ
ส่วนผลงานกับแมนยูเขาพาทีมคว้าแชมป์บอลถ้วยได้หลายครั้ง แต่กว่าจะนำทีมคว้าแชมป์ลีกได้สำเร็จก็เข้าสู่ช่วงบั้นปลายของชีวิตนักฟุตบอลแล้ว
ในฤดูกาล 1992-93 ซึ่งแมนยูคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้เป็นครั้งแรกหลังต้องรอคอยกว่า 26 ปี แม้ว่าร็อบสันจะยังคงเป็นกัปตันทีม แต่ก็พลาดโอกาสลงเล่นเกมส่วนใหญ่ เนื่องจากอาการบาดเจ็บ และการมาของ เอริก คันโตนา ก็จำกัดโอกาสการเล่นของเขาลงไปอีก เมื่อ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมเลือกที่จะถอย ไบรอัน แมคแคลร์ กองหน้าของทีมลงมาเบียดเขาในตำแหน่งกองกลาง เพื่อหลีกทางให้กับศิลปินลูกหนังชาวฝรั่งเศส (ร็อบสันลงเล่นเป็นตัวจริงในเกมลีกเพียง 5 นัด อีก 9 นัดในฐานะตัวสำรอง ทำให้ สตีฟ บรูซ กลายเป็นกัปตันทีมตัวหลัก)
ฤดูกาล 1993-94 กลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของร็อบสันกับแมนยู เขาจากไปพร้อมกับสถิตินักเตะที่ครองตำแหน่งกัปตันทีมยาวนานที่สุดของสโมสร และช่วยกรุยทางสู่ความสำเร็จในยุคต่อมา
ออกจากแมนยู ร็อบสันไปรับตำแหน่งผู้เล่นและผู้จัดการทีมให้กับสโมสรมิดเดิลส์เบรอ เขาเริ่มต้นได้อย่างหวือหวาพาทีมคว้าแชมป์ดิวิชันที่ 1 และสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับพรีเมียร์ลีกด้วยนักเตะนำเข้าอย่าง จูนินโญ่ กองกลางจากบราซิล ตามด้วย ฟาบริซิโอ ราวาเนลลี ศูนย์หน้าอิตาลี แต่อยู่ในลีกสูงสุดได้ 2 ฤดูกาลทีมก็ตกชั้นไปอย่างน่าเสียดาย แม้เขาจะพาทีมเลื่อนชั้นได้ทันควัน แต่ทีมก็วนเวียนอยู่ค่อนท้ายของตารางเป็นส่วนใหญ่ ก่อนจากทีมไปในปี 2001
หลังจากนั้น เขาก็ได้งานคุมทีมกับสโมสรเล็ก ๆ อย่างแบรดฟอร์ด เวสต์บรอมทีมเก่าสมัยเป็นนักเตะ และเชฟฟิลด์ยูไนเต็ด แต่ผลงานก็มิได้น่าประทับใจเท่าใดนัก นอกจากนี้เขายังเคยคุมทีมชาติไทยในปี 2009 ต่อจาก ปีเตอร์ รีด (กุนซือนำเข้าจากอังกฤษเช่นกัน) ซึ่งผลงานก็ไม่สวยหรูเท่าไหร่ พาอันดับฟีฟาของทีมชาติไทยตกลง 15 อันดับ มาอยู่อันดับที่ 120 ระหว่างนั้นเขายังป่วยด้วยมะเร็งที่ลำคอ ก่อนตัดสินใจลาออกไปในปี 2011 (BBC)
เมื่อเวลาผ่านไป บทบาทของร็อบสันในวงการฟุตบอลก็ค่อย ๆ ลดลง ภาพจำของเขาในฐานะ “กัปตันมาร์เวล” ก็ค่อย ๆ เลือนลาง เด็กยุคใหม่เมื่อได้ยินคำนี้ก็อาจจะนึกถึง บรี ลาร์สัน นางเอกภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโรอเมริกัน มากกว่า ไบรอัน ร็อบสัน กัปตันทีมเลือดนักสู้ของแมนยู ไม่เว้นแม้แต่ผู้สืบสันดานของเขาเอง
"หลานชายวัย 6 ขวบของผมประหลาดใจมากตอนที่ออกไปเดินเล่นด้วยกันแล้วบางครั้งมีคนตะโกนเรียกผมว่า 'ไง กัปตันมาร์เวล' เขาคิดว่าผมคงเป็นซูเปอร์ฮีโรอะไรบางอย่างตามที่เห็นสมัยนี้" ไบรอัน ร็อบสัน กล่าวกับ AsiaOne