06 ม.ค. 2566 | 16:41 น.
นวนิยายโศกนาฏกรรมความรักคลาสสิกสุดขมขื่นระหว่าง โรมิโอ และ จูเลียต ที่ประพันธ์โดยนักกวีเลื่องชื่อ วิลเลียม เชกสเปียร์ (William Shakespeare) นับว่าเป็นผลงานชิ้นโบแดงที่มีอิทธิพลมาจนถึงยุคปัจจุบันอยู่มาก บทละครดังกล่าวถูกนำเอาไปศึกษาและแสดงนับไม่ถ้วน ผันแปรกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ศิลปินสร้างสรรค์เพลงหลายชิ้น และถูกเล่าในรูปแบบภาพยนตร์มากมายหลายครั้ง
ถ้านึกถึงภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวรักต้องห้ามนี้ เวอร์ชัน Romeo + Juliet จากปี 1996 โดย บาซ เลอห์มานน์ (Baz Luhrmann) และนำแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ (Leonardo DiCaprio) ก็คงเป็นภาพจำที่ใครได้มีโอกาสได้ชมก็ยากที่จะลืมเลือน ถึงกระนั้นถ้าจะหยิบยกอีกเวอร์ชันหนึ่งที่ดีไม่แพ้กัน ถึงขั้นว่าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขามาครองไว้ได้สำเร็จ กับ Romeo and Juliet ที่ออกฉายในปี 1968
ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกฉาย เรียกได้ว่าเป็นที่นิยมอยู่ไม่น้อย เวลาที่นักเรียนต้องศึกษาโรมิโอและจูเลียตของเชกสเปียร์ Romeo and Juliet เวอร์ชัน 1968 มักถูกนำไปฉายประกอบการสอน ดนตรีประกอบก็ฮิตติดหู นับว่าเป็นงานที่สำเร็จมากชิ้นหนึ่ง
แต่อีก 55 ปีต่อมา Romeo and Juliet เวอร์ชันดังกล่าวก็ถูกพูดถึงอีกครั้ง ไม่ใช่เพราะมันกลายเป็นหนังคลาสสิกที่มีคนนำมาฉายใหม่ ไม่ใช่เพราะมีผู้กำกับชื่อดังแนะนำว่าเป็นหนังเรื่องโปรด หรือไม่ใช่เพราะมันถูกรีมาสเตอร์และนำมาฉายอีกครั้ง แต่เพราะมีประเด็นการฟ้องร้องเกิดขึ้น
ในวันที่ 4 มกราคม 2023 มีรายงานออกมาว่า ลีโอนาร์ด วิตติ้ง (Leonard Whiting) และ โอลิเวีย ฮัซซีย์ (Olivia Hussey) ดารานำคู่พระ - นางจากภาพยนตร์เรื่อง Romeo and Juliet (1968) ได้ออกมายื่นฟ้อง Paramount Pictures ในฐานะผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์ ในข้อหาว่าลวงให้ถ่ายฉากเปลือยโดยที่ทั้งคู่ - ในตอนนั้นอายุราว 17 และ 16 ตามลำดับ ซึ่งขณะนี้ทั้งคู่อายุ 72 และ 71 ปี - ยังไม่บรรลุนิติภาวะ และส่งผลกระทบต่อจิตใจของทั้งคู่นับตั้งแต่ตอนนั้น โดยคำนวณเป็นค่าเสียหายรวมได้ 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฉากเจ้าปัญหาที่กำลังเป็นประเด็นการฟ้องอยู่นี้เป็นฉากที่วิตติ้งและฮัซซีย์ในบทโรมิโอและจูเลียตกำลังนอนเปลือยอยู่บนเตียง และเผยให้เห็นผืนหลังจรดบั้นท้ายของวิตติ้งขณะนอนคว่ำ ในส่วนของฮัซซีย์นั้นมีผ้าห่มคลุมตัวอยู่ แต่เมื่อกล้องตัดสลับไปอีกมุม หน้าอกของฮัซซีย์ก็ปรากฏอยู่ในฉากอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
และมันไม่ใช่สิ่งที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่ทีแรก…
อ้างอิงตามที่วิตติ้งและฮัซซีย์ยื่นฟ้องต่อศาล เดิมทีนั้น ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอิตาลี แฟรนโก เซฟฟีเรลลี่ (Franco Zeffirelli) ได้แจ้งกับนักแสดงวัยรุ่นทั้งสองว่าการถ่ายทำฉากที่ทั้งคู่นอนอยู่บนเตียงจะไม่มีการเปลือยกายเกิดขึ้น เพราะทางทีมงานจะมีชุดชั้นในสีเนื้อที่จะคลุมตัว ดังนั้นพวกเขาไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้าจริง ๆ เพื่อแสดง แต่พอมาถึงหน้างาน กลับไม่เหมือนที่คุยกันไว้
แต่ในเช้าเดือนกันยายนปี 1967 วันที่ทั้งคู่ต้องถ่ายทำซีนดังกล่าว แทนที่ทีมงานจะนำชุดชั้นในสีเนื้อที่คุยกันไว้มาให้ทั้งคู่ กลับกลายเป็นว่าบุคคลที่เดินเข้ามาในห้องคือช่างแต่งหน้า ไม่น่าใช่เรื่องแปลกที่จะมีช่างแต่งหน้าเดินเข้ามา เพราะไม่ว่าจะอย่างไร นักแสดงต้องมีการแต่งหน้าก่อนการแสดงอยู่แล้ว แต่ช่างแต่งหน้าคนนั้นไม่ได้มาแค่แต่งหน้า กลับเดินเข้ามาหาทั้งคู่เพื่อที่จะมาเมคอัพทั้งตัว (Full Body Makeup)
ด้วยความตกใจและไม่เข้าใจ ฮัซซีย์รีบเดินไปหาเซฟฟีเรลลี่ ผู้เป็นผู้กำกับเพื่อถามไถ่ว่ามันเกิดอะไรขึ้น จะเมคอัพทั้งตัวไปทำไม แล้วไหนชุดชั้นในสีเนื้อเหมือนที่คุยกันไว้ แต่เซฟฟีเรลลี่ก็ยืนยันกลับมากับเธอว่า เดี๋ยวฉากนี้ฮัซซีย์จะใส่เป็นชุดนอนแทน ก่อนจะทิ้งท้ายด้วยประโยคว่า
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ แต่ถ้าบางสิ่งบางอย่างมันจำเป็นต้องทำจริง ๆ เธอก็ต้องเตรียมใจไว้ด้วยนะ”
แต่พอมาถึงการถ่ายทำฉากดังกล่าวจริง ๆ แม้ว่าจะเป็นกองถ่ายแบบปิดที่มีเพียงทีมงานสำคัญ ๆ ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามา แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้เป็นเหมือนที่ตกลงกันไว้ เพราะนักแสดงทั้งสองถูกเซฟฟีเรลลี่บีบให้ต้องแสดงโดยการเปลือย ‘จริง ๆ’ โดยเขาได้ใช้ไม้ตายโดยการบอกกับทั้งสองคนว่า
“พวกเขาต้องแสดงแบบเปลือยจริง ๆ ไม่งั้นหนังเรื่องนี้พัง”
วิตติ้งและฮัซซีย์ผู้ไร้ทางเลือกจำต้องแสดงฉากดังกล่าวแบบเปลือยจริง ๆ แต่ทางผู้กำกับภาพยนตร์ก็ชี้แจงอย่างชัดเจนให้ทั้งสองได้สบายใจว่ากล้องจะอยู่ตรงไหนและถ่ายตรงไหน และยืนยันว่าแม้จะเปลือยกายถ่ายจริง ๆ ร่างกายของทั้งสองจะไม่ไปปรากฏในภาพยนตร์อย่างแน่นอน หมายความว่าแค่เปลือยกายถ่ายเพื่อความสมจริง แต่จะใช้มุมกล้องบังให้
และเป็นอีกครั้งที่ไม่เหมือนที่คุยกันไว้ เพราะดังที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้าว่าผืนหลังกับบั้นท้ายของวิตติ้งกับหน้าอกของฮัซซีย์กลับไปปรากฏบนภาพยนตร์ไม่เหมือนที่เซฟฟีเรลลี่ได้ยืนยันกับทั้งคู่ว่าจะไม่มีเนื้อหาส่วนดังกล่าวเผยแพร่ออกไป… จนกระทั่ง 55 ปีถัดมา ทั้งสองจึงได้ตัดสินใจยื่นฟ้องอีกครั้ง
คงไม่ใช่ครั้งแรกที่สังคมได้ยินการฟ้องย้อนหลังทำนองนี้ เพราะหากย้อนกลับไปไม่นาน ก็ได้มีกรณีคล้ายกันเกิดขึ้นมาก่อน อย่างกรณีของ สเปนเซอร์ เอลเดน (Spencer Elden) เด็กทารกจากปกอัลบั้ม Nevermind ของวง Nirvana ที่ออกมายื่นฟ้องกับวงในข้อหาทำนองเดียวกันหลังจากผ่านไปหลายปี
แต่เสียงสะท้อนก็อาจจะไม่ได้เอนเอียงไปในทางเห็นด้วยกับฝั่งผู้ยื่นฟ้องอย่างเดียว เพราะก็มีคนหลายคนแสดงความเห็นและตั้งคำถามว่าผู้ฟ้องขุดเอาอะไรเก่า ๆ ขึ้นมาเพื่ออยากจะขูดรีดเงินหรือเปล่า?
เฉกเช่นเดียวกับกรณีของ ลีโอนาร์ด วิตติ้ง และ โอลิเวีย ฮัซซีย์ ก็มีคนอีกไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงตัดสินใจฟ้องหลังจากที่เวลาผ่านมาเกินครึ่งศตวรรษแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าจะไปตีความว่าฟ้องช้าเพราะเพิ่งมาอยากได้เงินตอนหลังก็คงไม่แฟร์เอามาก ๆ สำหรับพระ - นางทั้งคู่
แต่หลักฐานสำคัญที่ทำให้คนตั้งคำถามกับการออกมายื่นฟ้องก็คือบทสัมภาษณ์ของ โอลิเวีย ฮัซซีย์ ที่เคยออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อ Variety ในปี 2018 ถึงฉากเปลือยดังกล่าว ซึ่งแนวทางที่เธอเลือกตอบก็แตกต่างกับปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เพราะฮัซซีย์ดูเหมือนจะปกป้องฉากดังกล่าวมากกว่าโจมตี
“หลายคนก็คงคิดว่าเรายังเด็กอยู่ คงไม่รู้ว่าพวกเรากำลังทำอะไรกันอยู่ แต่เอาจริง ๆ นะ พวกเราตระหนักกันอย่างดีเลยว่าพวกเรากำลังทำอะไร เราทั้งคู่จบมาจากโรงเรียนการละคร เพราะฉะนั้นเวลาเราทำงาน เราจะลงมืออย่างจริงจังกันมาก ๆ
“ฉันคิดว่าฉากนั้นมันถูกถ่ายทำออกมาอย่างมีรสนิยมมาก ๆ เลยนะ คือในยุโรปมันจะค่อนข้างแตกต่างออกไปหน่อย ในสหรัฐอเมริกาเขาอาจจะมองกันว่า (การเปลือยในภาพยนตร์) เป็นเรื่องต้องห้าม แต่ในยุโรปคือการเปลือยมันเป็นเรื่องปกติมาก ๆ ไม่มีใครเขาคิดมากเลย”
แต่ปัจจุบันเธอก็ได้เปลี่ยนแปลงจุดยืนในเรื่องดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง จึงทำให้คนหลายคนหยิบบทสัมภาษณ์กันขึ้นมาตั้งคำถามว่า แท้จริงแล้วทั้งคู่คิดอย่างไรถึงตัดสินใจยื่นฟ้องกันแน่ ท้ายที่สุดแล้วทางศาลจะตัดสินใจเกี่ยวกับคดีนี้อย่างไรก็คงต้องติดตามกันต่อไป
ภาพ :
Bettmann / Contributor - Getty Images
IMDb
อ้างอิง :
Teen Stars of ‘Romeo and Juliet’ Sue Over Nudity in 1968 Film - The New York Times
The underage stars of a hit 1968 version of ‘Romeo & Juliet’ sue over their nude scene - npr