“พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง” ประโยคเด็ดที่แฟน ๆ สไปเดอร์แมนรู้จักกัน ประโยคนี้พูดโดย “ลุงเบน” เวอร์ชันภาพยนตร์ปี 2002 แสดงโดย คลิฟฟ์ รอเบิร์ตสัน (Cliff Robertson) หลังจากนั้นในการรีเมกครั้งต่อมาก็ได้มีลุงเบนคนใหม่มาพูดประโยคคล้าย ๆ กันนี้ใน The Amazing Spider-Man (2012) และล่าสุดก็กลายเป็นลุง “โทนี สตาร์ค” ที่พูดประโยคนี้ในสไตล์ตัวเองกับ Spider-Man: Homecoming (2017)
ทว่าลุงเบนฉบับดั้งเดิมในหนังสือการ์ตูนนั้น ไม่ได้เป็นคนพูดประโยคนี้แต่อย่างใด
ย้อนกลับไปก่อนการปรากฏตัวครั้งแรกของ สไปเดอร์แมน (Spider-Man) หลังจาก สแตน ลี (Stan Lee) และ Timely Comics ที่เพิ่งจะรีแบรนด์ตัวเองใหม่เป็น Marvel Comics สแตนลีเริ่มหมดแพสชันในการ์ตูน แต่ด้วยแรงกระตุ้นของ โจน บูค็อก ลี (Joan B. Lee) ภรรยาของเขา ทำให้เกิดซูเปอร์ฮีโรที่มีมุมของความเป็นคน มีปัญหาเฉพาะตัว และเข้าถึงได้ ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมคอมิกส์ในสมัยนั้นอย่างสิ้นเชิง
สแตน ลี เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า Spider-Man เป็นหนึ่งในความพยายามของเขาที่อยากทำบางสิ่งที่แตกต่างไปมากกว่า Fantastic Four และ The Hulk ด้วยความที่เขาเกลียดผู้ช่วย (side kick) วัยรุ่น จึงถามว่าทำไมไม่สร้างตัวละครวัยรุ่นที่เป็นฮีโรไปเลยล่ะ ทำไมไม่ลืมพวก side kick ไป ทำไมวัยรุ่นจะมีพลังพิเศษไม่ได้ล่ะ ซึ่งเขาก็ชอบไอเดียนี้มาก
[caption id="attachment_9398" align="aligncenter" width="715"]
Amazing Fantasy #15[/caption]
Amazing Fantasy #15 ถูกพิมพ์ขึ้นในช่วงที่หัวเรื่องนี้ใกล้จะถูกยุบ เมื่อไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ฉบับนี้ สแตน ลี จึงขอ มาร์ติน กูดแมน (Martin Goodman) เจ้าของค่ายนำเสนอตัวละครใหม่ในฉบับนี้ เรื่องราวของ “ปีเตอร์ พาร์กเกอร์” ที่ได้รับพลังจากแมงมุมที่โดนรังสีกัดก่อนมันจะตาย เขาเรียนรู้ที่จะใช้พลังนั้นเพื่อตัวเอง และเขาก็ทำไม่รู้ไม่เห็นกับการหยุดอาชญากรที่จะเป็นคนปลิดชีพลุงเบน และการกระทำนี้ก็กลายเป็นบทเรียนที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเขา
เมื่อปีเตอร์จับชายผู้สังหารลุงเบนสำเร็จและตระหนักได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเขา ขณะที่เขาเดินหันหลังให้คนอ่าน เข้าไปในความมืดของนครนิวยอร์ก ผู้บรรยายได้เขียนว่า “ภายใต้ความมืดมิดที่ย่ำกราย ชายผู้หนึ่งเดินเงียบ ๆ เข้าไปในความมืดและตระหนักได้ว่าในโลกนี้พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง” มันไม่ใช่คำที่ออกจากปากของตัวละครใดในคอมิกส์นี้ แต่มันออกมาจากปลายปากกาของคนเขียนเรื่องนี้ที่ชื่อว่า สแตน ลี
[caption id="attachment_9393" align="aligncenter" width="1600"]
ประโยคดังกล่าว[/caption]
และเมื่อคอมิกส์ฉบับนี้ออกวางขาย Spider-Man ก็ได้ทำให้ Amazing Fantasy #15 กลายเป็นหนึ่งในฉบับที่ขายดีที่สุดของ Marvel Comics ในยุคนั้น
การปรากฏตัวครั้งที่ 2 ในฉบับคอมิกส์หลังจากประสบความสำเร็จในการขายก็ทำให้เขาได้หัวเรื่องเป็นของตัวเองใน The Amazing Spider-Man #1 ซึ่งออกวางขายในเดือนมีนาคม ค.ศ.1963 หลังจาก Amazing Fantasy #15 วางขายได้ 10 เดือน โดยในฉบับนี้ก็ได้ปรากฏหนึ่งในตัวละครที่ทำให้ Spider-man ปวดหัวได้มากที่สุดตลอดกาล คือ “เจ. โจนาห์ เจมส์สัน” บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ Daily Bugle
เนื้อเรื่องฉบับนี้ต่อเนื่องกับ Amazing Fantasy#15 เมื่อ ปีเตอร์ พาร์กเกอร์ ต้องตกอยู่ในสถานะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับหนี้ที่เพิ่มขึ้นหลังจากขาดเสาหลักของบ้านอย่างลุงเบน มีวูบหนึ่งที่ปีเตอร์หลุดไปคิดจะใช้พลังของตัวเองในการก่ออาชญากรรมเพื่อหางาน ทว่าเขาก็คิดได้ว่าเขาไม่ใช่อาชญากร และถ้าเขาถูกจับได้ “ป้าเมย์” คงจะอยู่ไม่ได้แน่นอน ทำให้ปีเตอร์ต้องทั้งใช้ชีวิตปกติในโรงเรียนและหางานทำพาร์ทไทม์ไปด้วย ซึ่งก่อนหน้านี้เขามีงานแสดงรายการทีวีแต่ก็ต้องมาพังเพราะ เจ. โจนาห์ เจมส์สัน ที่ออกมาทำให้ประชาชนเชื่อว่า Spider-Man เป็นภัยต่อสังคม
แต่ต่อมาใน The Amazing Spider-Man #2 เมื่อ “วัลเจอร์” ออกบินก่ออาชญากรรม นิตยสาร Now หนึ่งในงานของ เจ. โจนาห์ เจมส์สัน กลับหารูปของเขาไม่ได้เลย นั่นจึงเป็นโอกาสที่ปีเตอร์ได้กลายมาเป็นช่างภาพฟรีแลนซ์ด้วยกล้องขนาดเล็กที่ลุงเบนเคยซื้อไว้
The Amazing Spider-Man ได้ตีพิมพ์คอมิกส์รายเดือนอย่างไม่ขาดสายตั้งแต่ปี 1963 และมีขาดช่วงเล็กน้อยในปี 1995 จนกระทั่งถูก relaunch ใหม่ในปี 1999 หลังจากนั้นก็มีการ relaunch ใหม่ จนกระทั่งในปี 2012 ที่มีการพิมพ์แนวเรื่อง Dying Wish กับการตายของปีเตอร์ พาร์กเกอร์ และ “ด็อกเตอร์ อ็อกโทปุส” ที่มารับหน้าที่ต่อ ปิดฉากคอมิกส์ที่ถูกพิมพ์มาอย่างยาวนานมากกว่า 50 ปี
[caption id="attachment_9394" align="aligncenter" width="1194"]
meme ดังจาก Spider-Man เวอร์ชันแอนิเมชันโทรทัศน์[/caption]
เมื่อมนุษย์แมงมุมกระโจนเข้าสู่โลกทีวี
Spider-Man แบบการ์ตูนออกฉายในทีวีครั้งแรกปี 1967 4 ปีหลังจากมีหัวเรื่องคอมิกส์เป็นของตัวเอง ในเวอร์ชั่นแรกสุดนี้เป็นการ์ตูนอนิเมชันต้นทุนต่ำ ทว่ามันได้สร้าง 2 สิ่งที่สำคัญกับ Spider-Man ในยุคต่อ ๆ มาไว้ คือ หนึ่ง - เพลงธีมที่ทุกแฟน Spidey รู้จัก (Spider-Man, Spider-Man,Does whatever a spider can) และสอง - มีม (Meme) ที่ถึงกับได้ไปขึ้นจอภาพยนตร์กับ Spider-Man : Into the Spider-Verse (2018)
หลังจากนั้นมาก็ได้มีการสร้างการ์ตูน Spider-Man ออกมาอย่างสม่ำเสมอ ทั้ง Spider-Man (1981) ที่ Marvel สร้างเอง Spider-Man (1981) ที่สร้างสำหรับฉายลง FOX และ Ultimate Spider-Man (2012) ที่ฉายอย่างยาวนานถึง 5 ปี
สำหรับซีรีส์ทีวี Spider-Man ของเราได้ขึ้นจอแก้วเป็นครั้งแรกในฐานะซีรีส์คนแสดง กับ The Amazing Spider-Man (1977) ที่นำเสนอปีเตอร์ในฐานะนักศึกษามหาวิทยาลัย โดยออกฉายทั้งหมด 2 ซีซัน และเหตุผลที่ถูกยกเลิกพร้อม ๆ กับซีรีส์ Wonder Woman นั้น เพราะช่อง CBS เกรงกว่าตัวเองจะกลายเป็นช่องซูเปอร์ฮีโรเกินไป ต่อมาไอ้หนุ่มแมงมุมของเราก็ได้บินข้ามทวีปไปญี่ปุ่นกับซีรีส์ スパイダーマン หรือ Spider-Man นั่นเอง โดยทาง Marvel และ Toei ได้เซ็นสัญญากัน 3 ปีให้สามารถใช้ IP ของกันและกันอย่างไรก็ได้ ซึ่งทาง Toei ได้ปรับเปลี่ยนทุกอย่างจากเดิมไปหมด เหลือเพียงชุดที่คงความเหมือนกับต้นฉบับเอาไว้พอประมาณ Spider-Man
เวอร์ชั่นนี้แตกต่างจากต้นฉบับแค่ไหน? ให้ลองนึกภาพ Spider-Man ที่มีหุ่นยนต์ยักษ์เป็นของตัวเองชื่อ Leopardon ดูสิ
[caption id="attachment_9395" align="aligncenter" width="1200"]
Leopardon[/caption]
เมื่อ Spider-Man โหนใยไปอยู่บนจอภาพยนตร์
ก่อนหน้าที่ แซม ไรมี (Sam Raimi) จะได้มากำกับ Spider-Man ในปี 2002 เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) เกือบจะได้กำกับจากบทที่เขียนขึ้นครั้งแรกจากการผลักดันของสแตน ลี ทว่าโปรเจกต์นี้ถูกดองจนกระทั่งในปี 1992 ที่ Carolco Pictures ประกาศยกเลิกการทำ สาเหตุหลักเป็นเพราะขาดเงินทุนและปัญหาทางกฏหมาย
ต่อมาลิขสิทธิ์ของ Spider-Man ถูกโยนไปมาเรื่อย ๆ จาก 21st Century มายัง Carolco ต่อมา MGM ก็ได้เข้าไปซื้อลิขสิทธิ์ทั้งหมดของ 21st Century มาอยู่ในมือ นั่นรวมถึงบทมนุษย์แมงมุมของคาเมรอนด้วย ต่อมาในปี 1996 21st Century, Carolco และ Marvel ล้มละลาย
ปี 1999 ได้เกิดปัญหาขึ้นเมื่อ Marvel ขายลิขสิทธิ์ให้ Columbia Picture ที่อยู่ใต้ Sony อีกที ทั้งคู่ก็ตกลงกันได้ดีจน Columbia ได้สิทธิ์สร้าง Spider-Man พ่วงกับบทของคาเมรอนมาอยู่ในมือ
น่าเสียดาย, บทก็ทิ้ง ผู้กำกับก็ไม่เอา
Sony ประกาศว่าจะไม่ใช้บทของคาเมรอน และไม่จ้างเขามากำกับ สตูดิโอได้เล็งผู้กำกับไว้มากหน้าหลายตา และในปี 2000 ก็ได้คว้า แซม ไรมี มาโดยเขาใช้ความรักในตัวสไปดี้และการที่เป็นแฟนคอมิกส์ตั้งแต่เด็กเป็นตัวกรุยทาง
[caption id="attachment_9399" align="alignnone" width="2500"]
โทบี้ แม็กไกวร์[/caption]
ในบทแรกของ Spider-Man (2002) นั้นเขียนขึ้นมาจากบทของคาเมรอนเป็นหลัก แต่ไรมีคิดว่ามันซับซ้อนเกินไปจึงเอา ด็อกเตอร์ ออกโทปุส ออกแล้วใช้ “กรีน ก็อบลิน” ที่มีความสัมพันธ์เหมือนพ่อกับลูกระหว่างปีเตอร์แทน บทที่ถูกเปลี่ยนไปมาของคาเมรอนนั้น มีเพียงสิ่งเดียวที่อยู่กับบทมาตลอดคือ เครื่องยิงใยที่ปีเตอร์สร้างขึ้นเอง ไรมีคิดว่าตรงนี้อาจจะทำให้คนดูไม่เชื่อว่าปีเตอร์จะคิดค้นได้เอง เราจึงได้เห็นปีเตอร์ยิงใยออกมาจากข้อมือของตัวเอง
ปี 2002 ที่ Spider-Man ออกฉาย ภาพยนตร์พุ่งขึ้นไปสู่หนังทำเงินอันดับ 3 ประจำปี และทำสถิติหนังที่สร้างจากคอมิกส์ที่ขายตั๋วได้เยอะที่สุดจน The Dark Knight (2008) ได้ทำลายสถิติลงในอีก 6 ปีต่อมา
9 เดือนหลังจาก Spider-Man เปิดตัวในโรงภาพยนตร์ Sony ได้ประกาศภาคต่อ และมี แซม ไรมี นั่งแท่นกำกับเหมือนเดิม ซึ่งในคราวนี้เขามีแนวคิดที่จะให้ปีเตอร์ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเลือกระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับความรับผิดชอบ เนื้อเรื่องของภาคต่อนั้นหยิบมาจาก The Amazing Spider-Man #50 "Spider-Man No More!" เป็นหลัก และมี ด็อกเตอร์ อ็อกโทปุส เป็นตัวร้ายหลักซึ่งเขาได้อยู่ในสถานะนี้ในบทเวอร์ชันก่อนหน้านี้มาแล้วร่วม 15 ปี
มีการวางแผนสร้าง Spider-Man 3 นับตั้งแต่ภาค 2 ออกฉาย และวางเป้าไว้ว่าจะฉายในปี 2007 โดยในภาคนี้ แซมตัดสินใจให้หนังสื่อว่า ปีเตอร์ไม่ใช่ฮีโรพ่อพระ และเขาก็อาจจะทำอะไรแย่ ๆ ก็ได้ ขณะเดียวกันหนึ่งในหมู่อาชญากรอาจจะมีความเป็นมนุษยธรรมอยู่ก็เป็นได้
Spider-Man เกือบจะมีภาค 4 5 6 แต่หลังจากผลลัพธ์ของภาค 3 และการไม่ลงรอยกันระหว่างไรมีและ Sony ทำให้มันถูกแคนเซิลไปในช่วงปี 2010
[caption id="attachment_9400" align="aligncenter" width="1219"]
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์[/caption]
Spidey Reboot กับผู้กำกับมือใหม่
หลังจากประกาศแยกทางกับ แซม ไรมี ได้วันเดียว Sony ก็ประกาศผู้กำกับที่จะมายกเครื่อง Spider-Man ใหม่ และเขาคนนั้นก็คือ มาร์ค เว็บบ์ (Marc Webb) ที่เพิ่งเปิดตัวผลงานกำกับเรื่องแรกไปกับ (500) Days of Summer (2009) เขาประกาศว่ามันจะไม่ใช่การรีเมก มันจะเป็นเหมือนจักรวาลใหม่ ซึ่งในภาครีบูทนี้ ปีเตอร์ พาร์กเกอร์ รับบทโดย แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) ก็ได้มาคู่กับ “เกว็น สแตซี” ของ เอมมา สโตน (Emma Stone) และตัวร้ายในภาคแรกนี้ก็เป็น “ลิซาร์ด” โดยในภาคนี้ปีเตอร์ของเราได้กลับมามีเครื่องยิงใยที่สร้างด้วยตัวเองแล้ว
The Amazing Spider Man เปิดตัวด้วยรายได้สุดสัปดาห์ไป 62 ล้านเหรียญสหรัฐ และจบที่ 202 ล้านเหรียญสหรัฐ น้อยกว่า Spider-Man (2002) เกือบครึ่ง แต่คำวิจารณ์จากหลายสื่อก็ออกมาในแง่ดีและได้รับคำชมในส่วนการแสดง และด้านใหม่ของภาพยนตร์
ในปี 2013 Sony เตรียมขยายจักรวาลแข่งกับ MCU ด้วย The Amazing Spider Man 2 (2014) ที่ขนวายร้ายมาเต็มสูบทั้ง กรีน ก็อบลิน, “ไรโน” และ “อิเล็กโทร” วายร้ายตัวหลักที่รับบทโดย เจมี ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) พร้อมจบแบบปลายเปิดกับการยั่วคนดูด้วยทีมรวมดาววายร้ายอย่าง The Sinister Six แต่โปรเจกต์นี้ก็ต้องถูกพับไปพร้อมกับ The Amazing Spider Man 3 เมื่อรายได้ของภาค 2 ไม่เข้าเป้า และ มาร์ค เว็บบ์ ประกาศไม่กลับมาทำภาคต่อ ทำให้ภาคแยกที่เริ่มโปรเจกต์ไปในปี 2013 ทั้งหมดต้องหยุดไปด้วย แต่หลังจากประสบความสำเร็จกับการปล่อยให้ Spider-Man ได้ไปโลดแล่นใน Marvel Cinematic Universe ก็ได้ส่งผลให้ Sony เข็น Venom (2018) ออกมาจนมีผลงานที่น่าพอใจในปี 2018 ต่อมาโปรเจกต์ Mobius ก็ได้เริ่มถ่ายทำด้วย รับบทโดย จาเร็ด เลโต (Jared Leto)
[caption id="attachment_9396" align="aligncenter" width="1200"]
ทอม ฮอล์แลนด์[/caption]
Spidey ได้กลับบ้าน!
ในช่วงธันวาคม ปี 2014 Sony ถูกแฮ็กข้อมูลซึ่งคาดกันว่ามาจากเรื่อง The Interview (2014) ของ เซท โรเกน (Seth Rogen) เกี่ยวกับการลอบสังหารประธานธิบดีของเกาหลีเหนือ สิ่งที่ถูกเผยแพร่ออกมานั้นมีอีเมลการพูดคุยกันระหว่าง Sony และ Marvel ที่จะให้ Spider-Man ได้ไปปรากฏตัวใน MCU แต่ก็ถูกพับไป
แต่แล้วฝันของแฟน ๆ Marvel ก็กลายเป็นจริงในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ.2015 Marvel และ Sony ได้ประกาศว่า Spider-Man จะได้มาปรากฏตัวบน MCU และจะมีการสร้างหนัง Spider-Man ที่จะร่วมอำนวยการสร้างโดยหัวเรือใหญ่ของ Marvel อย่าง เควิน ไฟกี (Kevin Feige) และ เอมี ปาสคาล (Amy Pascal) ที่ดูแลการผลิตและถ่ายทำภาพยนตร์ของ Sony จำนวนมากนับตั้งแต่ปี 1988 รวมถึง Spider-Man ทุกภาคที่ผ่านมาด้วย แต่ว่าลิขสิทธิ์ของ Spider-Man นั้นยังคงอยู่ที่ Sony ภาพยนตร์ของ Spidey นั้นจะเป็นคนลงทุน ขาย และเป็นผู้กำหนดของทิศทางหนัง
มิถุนายนของปี 2015 หลังการทดสอบหน้ากล้องจากนักแสดง 1,500 คนก็ได้มีการประกาศตัว Spider-Man คนใหม่ ชื่อ ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) ที่จะมารับบทปีเตอร์ พาร์กเกอร์ เวอร์ชันใหม่เป็นเด็กวัยรุ่น เขากลายเป็นดาราจากเกาะอังกฤษคนที่สองที่ได้รับบทมนุษย์แมงมุมต่อจากแอนดรูว์ การ์ฟิลด์
เควิน ไฟกี บอกว่าทาง Marvel ได้พยายามนำ Spider-Man มาใส่ในจักรวาลภาพยนตร์ของตัวเองตั้งแต่ปี 2014 แล้ว นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ปีต่อมา ทอม ฮอลแลนด์, ผู้กำกับ จอน วัตตส์ (Jon Watts) และตัวไฟกีเองออกมายืนยันว่า เด็กที่ถูกช่วยจาก Drone ไว้ใน Iron Man 2 คือ ปีเตอร์ พาร์กเกอร์
Spider-Man ของน้องทอมปรากฏตัวต่อสาธารณะชนในโรงภาพยนตร์เป็นครั้งแรกกับ Captain America: Civil War (2016) ในฐานะเด็กใหม่ในทีมฝั่ง Iron Man ภายใต้สงครามเล็ก ๆ ที่ฉีกทีม Avengers ออกเป็นสองฝั่งเพราะสนธิสัญญาโซโคเวีย มีการเกริ่นถึงที่มาของปีเตอร์ในเรื่องนี้ไม่มาก เมื่อ โทนี สตาร์ค ถามว่าทำไมเขาถึงปีนกำแพงได้ ปีเตอร์ตอบเพียงแค่ว่า “เรื่องมันยาว”
ในเวอร์ชันนี้เขามีชุดแบบบ้าน ๆ ที่ทำขึ้นมาเอง ซึ่งดูแล้วเหมือนเด็กทำขึ้นมาเองมากกว่าเวอร์ชันอื่น ในขณะที่เขาได้คิดค้นเครื่องยิงใย และใยขึ้นมาเอง ก่อนหน้าที่จะได้พบกับ โทนี สตาร์ก เขาก็ได้ออกไปช่วยผู้คนในย่าน Queens มาก่อนด้วย หลังจากถูกโทนีจับเข้าทีม Spider-Man ของเราก็ได้เข้าไปร่วมรบสงครามกลางทีมที่พาเขาไปพบกับเกือบทุกตัวละครในจักรวาล MCU
ในการนำเอา Spidey เข้ามาใน Civil War นั้นมีความเสี่ยงอยู่พอสมควรจนทาง Marvel ได้บอกให้ผู้กำกับ โจ และ แอนโทน รุสโซ (Joe and Anthony Russo) ให้สร้างแผนสำรองเอาไว้ ทว่าผู้กำกับไม่เคยได้วางแผนสำรองนี้ไว้เลย เพราะเขาสร้างหนังเรื่องนี้ขึ้นมาโดยมีภาพของ Spider-Man อยู่ในนั้นเรียบร้อย
Spider-Man: Homecoming เป็นภาพยนตร์มนุษย์แมงมุมเรื่องแรกในจักรวาลภาพยนตร์ Marvel ที่ไม่ได้เล่าที่มาของพลัง แต่ก็กวาดเงินจากทั่วโลกไปกว่า 880 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในเรื่องนี้หลังจากที่ผู้เขียนบททั้ง 2 คน โจนาธาน เอ็ม. โกลด์สตีน (Jonathan M. Goldstein) และ จอห์น ฟรานซิส เดลีย์ (John Francis Daley) ที่ได้รับคำสั่งให้สร้างตัวละคร Spider-Man ตรงกันข้ามกับทุก Spidey ที่เคยมีมา ทำให้พวกเขาต้องสร้างรายการที่ต้องหลีกเลี่ยง ไม่ให้ไปซ้ำกับเวอร์ชันก่อนหน้า พวกเขาจึงเลือกโฟกัสไปในชีวิตดรามาและน้ำหนักของการเป็นวัยรุ่นมากกว่าจะเป็นหนังที่มาของตัวละคร นักเขียนบทยังได้บอกอีกว่า ในเรื่องนี้จะเป็นการที่ปีเตอร์ พาร์กเกอร์ ต้องหาจุดยืนของเขาใน MCU และการพยายามปรับตัวเข้ากับพลังที่เขาได้รับมา กับการแบกรับความกลัวและจุดอ่อนของตนเองเหมือนมนุษย์ทั่วไป
ล่าสุดกับ Spider-Man: Far from Home (2019) เควิน ไฟกี บอกว่าไม่ต้องการจะใส่เลข 2 ไปในภาคนี้และต้องการให้ชื่อภาคเหมือนกันซีรีส์ Harry Potter ที่จะมีพล็อตหลักในทุก ๆ ปีของโรงเรียน
ในเดือนพฤศจิกายน ทอม ฮอลแลนด์ ประกาศไว้ว่าเขาได้เซ็นสัญญาเล่น Spider-Man 3 เรื่องและหนังเดี่ยวอีก 3 เรื่อง หลังจากหมด 3 เรื่องในหนังรวมไปแล้ว ทำให้ Far from Home นับเป็นหนังเดี่ยวเรื่องที่ 2 สำหรับเขา ซึ่งจะมีตัวละครจาก MCU กระโดดเข้ามาร่วมวงในรอบนี้ด้วย คือ “นิค ฟิวรี” และ “มาเรีย ฮิลล์”
เนื้อเรื่องที่ปล่อยออกมากับตัวอย่าง ทำให้เราพอจะสรุปได้ว่า ปีเตอร์ต้องการจะหยุดพักผ่อนหลังจากทำงานเป็น Spider-Man อย่างหนักหลังจากช่วง Endgame ซึ่งเขาก็ใช้โอกาสนั้นในทริปของโรงเรียนที่พานักเรียนไปเที่ยวยุโรป แต่ นิค ฟิวรี ก็เข้าถึงตัวแล้วพาเขาไปทำภารกิจ แสดงให้เห็นว่า ปีเตอร์ต้องเลือกระหว่างการพักร้อนและความรับผิดชอบ และเขาก็ยังต้องต่อสู้กับแรงกดดันที่โลกต้องการคนที่จะมาแทน Iron Man อีกด้วย
ทั้งหมดนี้คือ “พลังที่ยิ่งใหญ่ มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง” ที่ Spider-Man ต้องแบกรับตลอดมา
เรื่องโดย: Marvel Thailand Fanpage