สครับบ์ กับเบื้องหลังความฝัน บนเงื่อนไขที่ว่า หากไม่ดัง ก็อาจไม่มีวันนี้

สครับบ์ กับเบื้องหลังความฝัน บนเงื่อนไขที่ว่า หากไม่ดัง ก็อาจไม่มีวันนี้
สครับบ์ เกิดจากการรวมตัวกันของนักศึกษาจากรั้วศิลปากร “บอล” ต่อพงศ์ จันทบุบผา และ “เมื่อย” ธวัชพนธ์ วงศ์บุญศิริ สครับบ์ ถือเป็นวงขวัญใจเด็กแนวที่มีผลงานออกมากว่าเจ็ดชุดแล้ว มีเพลงดัง ๆ อย่าง ใกล้, ทุกอย่าง หรือเพลงจากอัลบั้มใหม่อย่าง ฤดู หลายคนอาจจะทราบว่าทั้งคู่พบกันครั้งแรกสมัยเรียนอยู่ที่คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทับแก้ว และเรื่องราวของสครับบ์ ก็มีเบื้องหลังที่น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายต่อหลายคนได้ เร็ว ๆ นี้สองหนุ่มเมื่อย บอล มีคิวขึ้นเวทีในเทศกาลดนตรี Season of Love Song ครั้งที่ 9 ซึ่งจะจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคมนี้ ที่เวเนโต้ สวนผึ้ง ราชบุรี วันนี้ The People ขอหยิบเรื่องราวของสองหนุ่มคนนี้มาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง หลังจากที่ โมเดิร์นด็อก มีชื่อเสียงและโด่งดังจนกลายเป็นไอดอลผู้บุกเบิกดนตรีแนวอัลเทอร์เนทีฟร็อกในบ้านเรา มีเด็กมัธยมอยู่คนหนึ่งที่ชื่อว่า เมื่อย กำลังตระเวนไปตามสถานที่ต่าง ๆ และเล่นเพลงของพวกเขา พร้อมกับความฝันที่ว่าสักวันหนึ่งเขาจะต้องเป็นศิลปินให้ได้เหมือนกัน เมื่อย คือเด็กกรุงเทพธรรมดาคนหนึ่งที่หลงใหลในดนตรี เขาฝันเสมอว่าอยากจะเล่นดนตรีเป็นอาชีพ แต่ฝันครั้งนี้กับต้องมาหยุดชะงักลง อันเนื่องมาจากครอบครัวของเขาไม่เห็นด้วย แน่นอนย้อนกลับไปเมื่อช่วงต้นยุค 00s หลังวิกฤตเศรษฐกิจยุคต้มยำกุ้งไม่กี่ปี คงไม่มีพ่อแม่คนไหนอยากให้ลูกชายของตัวเองทำอาชีพเป็นนักดนตรี ซึ่งในตอนนั้นสังคมก็มักจะเปรียบอาชีพเหล่านี้เป็นงานเต้นกินรำกิน หาเลี้ยงชีพไม่ได้ ซึ่งเมื่อย ก็ต้องอยู่ในสถานการณ์ตรงนั้นเช่นกัน แต่ด้วยความดันทุรังของเมื่อย เขายืนยันที่จะทำให้สิ่งที่รักต่อไป โดยการขอเวลาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ว่าสามารถจะประสบความสำเร็จกับสิ่งนี้ได้ ซึ่งถ้าไม่ได้ เขาก็พร้อมจะยอมทิ้งฝันและกลับไปช่วยงานที่บ้าน ต่อมาเมื่อยได้มาเจอกับบอลที่ศิลปากร ย้อนไปในวันแรกที่เมื่อยเข้าเรียนที่นั่น เฟรชชีหนุ่ม ไล่เดินเข้าไปถามทุกคนว่า “คนที่เล่นดนตรีเก่งสุดคือใคร” เขาไม่ได้ต้องการจะไปท้าดวลกับใครหรอก เขาแค่ต้องการหาคนมาร่วมเล่นดนตรีกับเขาด้วย ในตอนนั้นทุกคนชี้ไปที่ประธานชมรมปีสี่ ชายใส่แว่นที่ทาขอบตาให้ดำ ๆ เหมือนเคิร์ท โคเบน เมื่อยไม่รอช้าที่จะเข้าทักทายและแนะนำตัว “ผมอยากเล่นดนตรี ผมเลยไปถามพเพื่อน ๆ พี่ ๆ ว่าคนไหนที่นี่เล่นดนตรีเก่งสุด ทุกคนก็ชี้ไปที่พี่บอล ตอนนั้นพี่บอลทาขอบตาดำเหมือนเคิร์ท โคเบน เลย แถมใส่เสื้อเดฟ โกห์ล อีกต่างหาก (โกห์ล คืออดีตมือกลองของ Nirvana)” เมื่อย เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญในชีวิตเขา “เมื่อยเขาเข้ามาหาผมแล้วถามว่า พี่บอลใช่ไหมครับ ผมชื่อเมื่อยครับ อยากเล่นดนตรีครับ” บอลเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้น “ตอนนั้นผมก็ตีกลองอยู่ และกำลังจะหาวงที่จะทำให้ผมเล่นได้เล่นกีตาร์เหมือนเดิม เพราะตอนนั้นก็ใกล้จะเรียนจบแล้ว ผมก็เลยถามเมื่อยว่าตีกลองได้ไหม เขาก็บอกว่าตีไม่ได้ แต่หัดได้ แถมเล่นเพลงคนอื่นไม่ได้อีก แต่มีเพลงแต่งของตัวเอง” จากเหตุการณ์ในครั้งนั้นกลายเป็นจุดเริ่มต้นของ สครับบ์ อย่างไม่เป็นทางการ แม้ทั้งคู่จะต้องแยกกันในช่วงแรกก็ตาม หลังจากที่เรียนจบ บอลได้มีโอกาสเล่นดนตรีข้างนอกมากขึ้น และบังเอิญไปเล่นเข้าหูแมวมองจากแกรมมี่ที่กินข้าวหลบฝนอยู่ จนถูกชักชวนเข้าไปสู่โปรแกรมศิลปินฝึกหัดของแกรมมี่ บอลอยู่ในกระบวนการพัฒนาศิลปินอยู่กว่าสามปีก็ไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง ทุกครั้งที่เขาทำเพลงไปเสนอ ก็มักจะถูกตอบกลับมาแต่คำว่า “ดีนะ แต่ยังไม่ดีพอ” บวกกับแรงกดดันจากครอบครัวที่เริ่มมาถามว่า “กว่าสามปีมานี้ทำอะไรอยู่” “ผมอยู่ที่นั่นยาวสามปี ส่งเดโม่ให้ค่ายฟังทีไรก็เจอแต่คำว่า ดี แต่ยังไม่ดีพอ จนที่บ้านถามตลอดว่าสามปีที่ผ่านมาทำอะไร จะมีงานทำเป็นหลักแหล่งไหม” สุดท้ายบอลตัดสินใจลาออกวงเดิมเพราะความเห็นที่ไม่ตรงกัน ซึ่งจังหวะตรงกับที่ เมื่อย ใกล้เรียนจบพอดี บอลจึงได้มามาชวนเมื่อยให้มาทำเพลงด้วยกันต่อ ทั้งคู่และเพื่อนอีกสองคนตั้งโปรเจ็กต์ใหม่ร่วมกันภายใต้ชื่อวง Eye แต่ใช่ว่าทุกอย่างจะลงล็อก พวกเขาส่งไปเจ็ดแปดเพลงค่ายก็ไม่มีท่าทีให้โอกาสหรือตอบกลับมา “สิ่งที่เราเป็น อาจจะไม่เหมาะกับสิ่งที่เขาต้องการ” เมื่อยเล่าถึงความรู้สึกในตอนนั้น เฮือกสุดท้ายของความฝัน เมื่อเมื่อยและบอลเลือกจะสู้ด้วยกันต่อ เมื่อยทิ้งงานประจำ และตัดสินใจออกมาทำเทปขายเองภายใต้ชื่อ “สครับบ์” พวกเขาส่งเพลงเข้าไปที่แฟต เรดิโอ เพื่อหวังจะเป็นพื้นที่ประชาสัมพันธ์วง เดโม่ชุดแรกกว่า 500 ม้วนถูกวางขายหมดในงานแฟตเฟสติวัลครั้งที่สอง ทั้งคู่ตัดสินใจส่งเดโม่ไปที่ค่ายแบล็กชีพ และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความฝันที่เป็นจริง “เราทั้งคู่มักจะตัดสินใจทำอะไรและไม่คิดเยอะเกินไป เราทำเลย โดยที่ตัวงานอาจจะเป็นสมบูรณ์มากนัก แต่เราเลือกที่จะทำมัน และเราก็มีกันแค่สองคน จบกันแค่สองคน” สุดท้าย เมื่อย ก็ได้พิสูจน์ให้ครอบครัวเห็นว่าการเล่นดนตรีสามารถเป็นอาชีพที่มั่นคงได้ เช่นเดียวกับบอล ที่รู้สึกดีใจมาก ๆ ที่สิ่งที่เขารักสามารถมาเลี้ยงชีพเขาได้ “ผมใช้เวลานานกว่าจะมองหน้าพ่อแม่ได้ว่า ตัวเองเป็นนักดนตรีอย่างเดียว” เมื่อย พูดในวันที่เขากลายเป็นที่ยอมรับแล้ว “เราไม่รู้ว่าโชคชะตาจะพาเราไปแบบไหน แต่ผมว่าสติ ทำให้เราไตร่ตรองได้ ว่าเราควรจะตัดสินใจกับจุดเปลี่ยนตรงนั้นอย่างไร ผมรู้สึกโชคดีที่ได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบ และเลี้ยงตัวเองได้” สครับบ์ กลายเป็นคู่หูอินดี้ที่ประสบความสำเร็จที่สุดวงหนึ่ง ในอุตสาหกรรมดนตรีบ้านเรา การมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักอาจจะเป็นสิ่งที่หลายคนต้องการเมื่อเข้ามาสู่วงการบันเทิง แต่สำหรับเขาทั้งคู่ พวกเขาต้องการเพียงจะถูกจดจำด้วยเนื้องานเท่านั้น
“รู้จักผมจากแค่เพลงก็พอ เพลงมันอยู่ตลอดไป แต่ผมเดี๋ยวก็ตาย ไม่ต้องสนเลยว่าผมจะอยู่อย่างไร” เมื่อย สครับบ์
สครับบ์ กำลังจะขึ้นคอนเสิร์ตบนเวทีใหญ่อย่าง “Chang Music Connection Presents Season of Love Song Music Festival ครั้งที่ 9 Cloud 9” เทศกาลดนตรีเริ่มต้นฤดูหนาวอันดับหนึ่งของสวนผึ้งที่ทุกคนรอคอย ซึ่งจะจัดขึ้นวันเสาร์ที่ 1 ธันวาคมนี้ ที่เวเนโต้ สวนผึ้ง ราชบุรี และนอกจากสองหนุ่มแล้ว งานนี้ยังมีศิลปินระดับท็อปอีกมาก เช่น เบน ชลาทิศ ตู่ ภพธร, วิน ศิริวงศ์, วี ไวโอเล็ต และการกลับมาจับไมค์อีกครั้งของสาว ทาทา ยัง   บทสัมภาษณ์ส่วนหนึ่งจากรายการ the IDOL คนบันดาลใจ ออกอากาศ วันที่ 17 มกราคม 2555