28 ต.ค. 2565 | 13:15 น.
ถ้าถามว่า มีเครื่องดื่มกลิ่นโกโก้ยี่ห้อหนึ่งที่มีอายุเก่าแก่ถึง 157 ปี! เครื่องดื่มนั้นคือยี่ห้อใด? หลายคนคงจะตอบไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่หลายคนน่าจะเคยผ่านปากลิ้มรสมาบ้างแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็ในวัยเด็ก เครื่องดื่มนั้นคือยี่ห้อ ‘โอวัลติน’
และผู้วางรากฐานสู่โอวัลติน ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ ‘ดร.จอร์จ วานเดอร์’ (Georg Wander)
เด็กน้อยผู้หมกมุ่นกับส่วนผสม
ปี 1841 ณ เมืองออสโธเฟน (Osthofen) ประเทศเยอรมนี โลกได้ให้กำเนิดเด็กน้อยคนหนึ่งที่ในอนาคตเขาจะสร้างสรรค์เครื่องดื่มชนิดหนึ่งที่จะย้อนกลับมาทำให้เด็กน้อยทั่วโลกได้ดื่มด่ำกันจนถึงทุกวันนี้ เด็กคนนั้นชื่อว่า จอร์จ วานเดอร์
จอร์จ วานเดอร์ มีความสนใจและพิศวงต่อส่วนผสมของสารต่าง ๆ (ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า) ในเครื่องดื่มและอาหารที่ผู้คนกินกันมาตั้งแต่ยังเด็ก ทำไมเครื่องดื่มบางประเภทดื่มแล้วมีเรี่ยวแรงมีพลัง ทำไมอาหารนี้กินแล้วจะรู้สึกย่อยง่าย ทำไมอาหารบางประเภทเหมาะกับผู้ใช้แรงงาน ทำไมเครื่องดื่มบางอย่างเหมาะกับงานสังสรรค์ เส้นทางการศึกษาของเขาจึงร่ำเรียนมาทางด้าน ‘เคมีศาสตร์’ โดยเฉพาะ
งานแรกปูทางสู่นวัตกรรมเครื่องดื่ม
หลังจบการศึกษาปริญญาเอก บัดนี้ จอร์จกลายเป็นดอกเตอร์เต็มตัว ในปี 1863 เขาเริ่มงานแรกด้วยการเป็นผู้ช่วยด้านเคมีภัณฑ์ที่มหาวิทยาลัยเบิร์น (University of Bern) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ก่อนที่ในปี 1985 เขามีโอกาสได้เข้าไปเป็นหุ้นส่วนโรงงานผลิตน้ำแร่ในกรุงเบิร์น เขาไต่ระดับจนสามารถมีอำนาจตัดสินใจและผลักดันให้โรงงานเปลี่ยนไปเป็นห้องแล็บวิจัยด้านเคมีภัณฑ์
อยู่มาช่วงหนึ่งในปี 1865 ดร.จอร์จกำลังวุ่นอยู่กับโจทย์หาวิธีช่วยเหลือคนไข้ที่กินอาหารปกติไม่ค่อยได้ ไม่อยากอาหาร และอิริยาบถลำบากในการกินอาหารจากบนเตียงคนไข้ รวมไปถึงเด็กที่ขาดโภชนาการที่ดี (จนไปถึงขาดสารอาหาร) ได้รับโภชนาการครบถ้วนมากขึ้น
เขาได้ทดลองนำเมล็ดข้าวบาร์เลย์มาแช่น้ำจนรากอ่อนงอกออกมา ก่อนนำมากลั่นด้วยความร้อนต่ำจนกลายเป็น มอลต์สกัด (Malt extract) และนำไปผสมกับไข่ไก่เพื่อเสริมโปรตีนต่อ โดยกรรมวิธีการผสมจะชงแบบ ‘ร้อน’ เท่านั้นในตอนแรก เพื่อให้ส่วนผสมคลุกเคล้ากันได้ละเอียด และเวลาดื่มอะไรร้อน ๆ ย่อมรู้สึกมีแรงมีพลังมากกว่า (แถมเหมาะกับภูมิอากาศหนาว ๆ ของประเทศด้วย)
ปรากฏว่าผลลัพธ์เครื่องดื่มเป็นที่น่าพอใจ คนไข้ชอบ เด็กชอบ รสชาติผ่าน ดื่มง่าย ดื่มแล้วมีแรง แถมขั้นตอนการทำก็ไม่มีอะไรซับซ้อน
หลังจากนั้น ดร.จอร์จจึงตัดสินใจวางขายในเชิงพาณิชย์ทำเป็นธุรกิจเลี้ยงชีพซะเลย
นวัตกรรมเครื่องดื่มใหม่
การคิดค้นครั้งนี้ของ ดร.จอร์จอาจจัดได้ว่าเป็น ‘นวัตกรรม’ ทางเครื่องดื่ม เพราะไม่เคยมีใครคิดค้นมาก่อน มันปฏิวัติและช่วยให้คุณภาพชีวิตผู้คนดีขึ้นได้จริง ๆ โดยเฉพาะเด็กที่เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักในตอนนั้น
ตอนแรกเครื่องดื่มยี่ห้อนี้ถูกตั้งชื่อเรียกว่า‘โอโว-มอลติน’(Ovo-Maltine) เกิดจากการฟิวชันคำระหว่างไข่ (Ovum) และ มอลต์ (Malt)
เราจะเห็นว่ามันยังไม่ใช่ ‘โอวัลติน’ ซะทีเดียว ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะโอโว-มอลตินดำเนินการขายมาต่อเนื่องเกือบ 40 ปี จนเมื่อถึงปี 1904 ลูกชายแท้ ๆ ของเขาชื่อว่า ‘อัลเบิร์ต วานเดอร์’ (Albert Wander) ได้สานต่อธุรกิจ พร้อมกับต่อยอดพัฒนาสูตรโอโว-มอลติน โดยเพิ่มส่วนผสมอื่น ๆ เช่น โกโก้ นมผง และวิตามินอื่น ๆ จนหน้าตาเป็นแบบโอวัลตินที่เราเห็นกันในปัจจุบัน
อัลเบิร์ต วานเดอร์นำธุรกิจโกอินเตอร์ไปยังประเทศอังกฤษ แต่ด้วยข้อถกเถียงด้านกฎหมายการค้าต่าง ๆ ทำให้ต้องเปลี่ยนชื่อจากโอโว-มอลติน มาเป็น ‘โอวัลติน’ (Ovaltine) ในที่สุด! และนี่เองคือต้นกำเนิดอย่างเป็นทางการของแบรนด์โอวัลตินแบบที่โลกรู้จักกันในปัจจุบัน
อย่างที่เราพอจะเดาได้ โอวัลตินประสบความสำเร็จล้นหลาม ถูกปากเด็กเล็ก - เด็กโตทั่วโลก กลายเป็นวัฒนธรรมเครื่องดื่มของใครหลายคนไปแล้ว
อัตลักษณ์แบรนด์โดดเด่น
การเลือกใช้ ‘สีแดง’ แทรกไปอยู่ในทุกอณูของการสื่อสาร ทั้งแพ็กเกจจิ้ง ป้าย โลโก้ ภาพนิ่ง ยานพาหนะ เสื้อ ถ้วย
ในเชิงจิตวิทยา การใช้สีแดงสื่อถึงสีที่ให้พลังงาน ความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น กระฉับกระเฉง หรือความทรงพลัง ซึ่งล้วนสอดคล้องกับสิ่งที่โอวัลตินต้องการนำเสนอทั้งสิ้น
ในมิติการตั้งชื่อแบรนด์ เป็นการตัดสินใจที่มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ‘โอวัลติน’ เป็นชื่อเฉพาะที่ไม่มีความหมายในตัวเอง (แต่มีสตอรี่เรื่องเล่า) ซึ่งเหมาะกับผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างหรือยังไม่มีใครทำ และที่สำคัญ อ่านง่ายขึ้น มีส่วนผสมของเสียงที่ต่างระดับกัน และเขียนออกมาดูสวยลงตัว
ในมุมการสร้างแบรนด์ โอวัลตินคืออีกหนึ่งแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในระดับที่ ‘ชื่อแบรนด์’ ถูกเรียกแทนที่ ‘ชื่อผลิตภัณฑ์’ ไปแล้ว (เฉกเช่น ‘มาม่า’ และ ‘ซีร็อกซ์’) เพราะพวกเราไม่ได้พูดว่าดื่ม ‘มอลต์สกัดร้อน ๆ’ หรือดื่ม ‘โกโก้ร้อน’ แต่พวกเราพูดว่าดื่ม ‘โอวัลติน’
เวลาล่วงเลยมากว่าศตวรรษแล้ว โอวัลตินได้ถูกขายกิจการหลายต่อหลายครั้ง โดยปี 2002 ได้ถูกขายกิจการให้กับบริษัท Associated British Foods จากประเทศอังกฤษ
และได้มีการพัฒนาต่อยอดเครื่องดื่มใหม่ ๆ อย่างสม่ำเสมอ เช่น โอวัลติน UHT โอวัลตินแบบเย็น หรือโอวัลตินไวท์มอลต์ไขมันต่ำ
ไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างไรในเชิงธุรกิจ แต่โอวัลตินยังคงส่งมอบความสุขและโภชนาการที่ดี เพื่อให้ผู้ดื่มได้รับโภชนาการที่ดี ร่างกายแข็งแรง และมีรสชาติอร่อยที่ดื่มได้ในชีวิตประจำวัน…เป็นไปตามความใฝ่ฝันที่เรียบง่ายของ ดร.จอร์จ วานเดอร์
ภาพ: wander.ch
อ้างอิง:
https://www.wander.ch/en/company/history