30 ก.ย. 2562 | 18:37 น.
ทวิตเตอร์ของแซม สมิธ ที่อวดรอยสักใหม่ด้วยความภูมิใจ ภาพอันอื้อฉาวที่ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่า เจมส์ ดีน และ มาร์ลอน แบรนโด จูบกันจริง ๆ ทั้งที่จริงมีที่มาที่ไปจากภาพ เจมส์ ดีน จูบกับ จูลี แฮร์ริส ในภาพยนตร์เรื่อง East of Eden (1955) และภาพมาร์ลอน แบรนโด จุ๊บแมวของเขาที่บ้าน ในช่วงปี 1950s คลิกชมภาพต้นฉบับได้ที่นี่ เจมส์ ดีน ไม่เคยระบุรสนิยมทางเพศของตัวเองอย่างแน่ชัด แต่เขามีข่าวพัวพันกับผู้ชายในวงการมากมายหลายคนนับตั้งแต่เริ่มเข้าวงการ โดยถูกมองว่าใช้ร่างกายและเสน่ห์ในรูปร่างหน้าตาอันหล่อเหลาแลกเปลี่ยนกับความก้าวหน้าทางอาชีพนักแสดง อย่างเช่นการยอมเป็น “เด็กป๋า” ของ ร็อดเจอร์ แบรคเคตต์ (Rodgers Brackett) ผู้มีอิทธิพลในวงการโฆษณา ซึ่งทุกคนรู้กันทั่วว่าเป็นเกย์ เพื่อที่เขาจะได้อยู่บ้านพักสุดหรู และได้ทำความรู้จักกับเหล่าคนดัง ชื่อเสียงในแง่นี้ของเขาดังไปเข้าหู เอลิซาเบธ เทย์เลอร์ (Elizabeth Taylor) นักแสดงหญิงอันดับหนึ่งของวงการ และมีข่าวเมาธ์กันว่าเธอเคยพนันกับ ร็อค ฮัดสัน (Rock Hudson) นักแสดงที่เปิดเผยตัวว่าเป็นเกย์ ว่าใครจะได้เผด็จศึกนักแสดงรูปหล่อก่อนกัน สุดท้ายเอลิซาเบ็ธเป็นฝ่ายแพ้ เนื่องจากว่ากันว่า ร็อค ฮัดสัน ได้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ เจมส์ ดีน ก่อนเธอ อลิซาเบธ เทย์เลอร์ เคยพูดอย่างชัดเจนว่า เจมส์ ดีน เป็นเกย์ ในงาน GLAAD Media Awards (นาทีที่ 3.00 เป็นต้นไป) แม้ในช่วงที่ เจมส์ ดีน กำลังดังสุดขีด ข่าวเรื่องรสนิยมชอบเพศเดียวกันของเขาก็ยังถูกพูดถึงอยู่เสมอ โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับ มาร์ลอน แบรนโด ที่ลือกันว่า เจมส์ ดีน เป็นฝ่ายตกหลุมรักนักแสดงรุ่นพี่อย่างหัวปักหัวปำ พวกเขาเจอกันครั้งแรกปี 1954 ที่ Actors Studio โรงเรียนสอนการแสดงของ ลี สตราสเบิร์ก (Lee Strasberg) ครูสอนการแสดงที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น มาร์ลอน เผยถึงความทรงจำที่ได้พบกับ เจมส์ ในหนังสือ Songs My Mother Taught Me ว่า หากใครที่อยู่ตรงนั้นคงจะรู้สึกได้ว่าผิวหนังของเขากำลังมอดไหม้จากสายตาของ เจมส์ ดีน ที่มองเขาอย่างลุ่มหลง ไม่มีใครยืนยันได้ว่าตกลงแล้วเขามีความชอบแบบไหน แต่จากหนังสือ The unabridged James Dean: his life and legacy from A to Z ของ แรนดัล รีส (Randall Riese)ได้อ้างว่าเขาได้พูดว่า “ไม่ ผมไม่ได้เป็นโฮโม แต่ว่าผมจะไม่ใช้ชีวิตโดยไม่ลองอะไรใหม่ ๆ เลย” การไม่ยอมให้ใครมาจำกัดความด้วยเรื่องรสนิยมทางเพศ และใช้ชีวิตแบบไม่แคร์สายตาใคร จึงทำให้เขาได้รับความนิยมชมชอบจากผู้คนทุกเพศตลอดมา เจมส์ ดีน ในความทรงจำ ทุกวันนี้แม้ว่า เจมส์ ดีน จะเป็นไอคอนสุดอมตะ ทว่าถ้านับกันจริง ๆ แล้วมีการสร้างหนังแนวชีวประวัติแบบที่นักแสดงชายคนอื่นรับบทเป็นตัวเขานั้นมีไม่มากนัก เรื่องที่นำเสนอชีวิตของเขาแบบเต็ม ๆ คือ James Dean (2001) หนังโทรทัศน์ที่ฉายทางช่อง TNT บทนี้เคยเกือบเป็นของ ลีโอนาร์โด ดิคาพรีโอ (Leonardo DiCaprio) มาก่อน แต่ตอนนั้นลีโอกำลังพุ่งสุดขีดจากภาพยนตร์เรื่อง Romeo + Juliet (1996) และ Titanic (1997) และเงินค่าตัวที่เรียกมานั้นสูงเกิน ทำให้ต้องประกาศรับนักแสดงชายคนอื่น จนได้ เจมส์ ฟรังโก (James Franco) นักแสดงหนุ่มที่มีผลงานในซีรีส์ Freaks and Geeks เป็นผู้เอาชนะนักแสดงชายทั้งวงการที่ว่ากันว่ามาออดิชันบทนี้มากถึง 500 คน ฟรังโกทำให้ทีมโปรดิวเซอร์ตะลึงกับใบหน้าที่มีความละม้ายคล้ายคลึงกับดีน อีกทั้งยังทุ่มเทกับบทและทำการบ้านค้นคว้าข้อมูลมาอย่างหนัก บทบาทนี้เองที่ทำให้ฟรังโกเริ่มได้รับการจับตาในฐานะนักแสดงขายฝีมือ และคว้ารางวัล Golden Globe Award สาขานักแสดงนำชายในหมวด Miniseries or Television Film [caption id="attachment_12515" align="alignnone" width="480"] เจมส์ ฟรังโก[/caption] เจมส์ ฟรังโก ศึกษาหนังสือชีวประวัติของ เจมส์ ดีน แบบนับไม่ถ้วน และขอคำปรึกษาจากคนใกล้ตัวของ เจมส์ ดีน อีกทั้งยังพยายามจำลองท่าทางและบุคลิกของเขาให้มากที่สุด ทั้งการสูบบุหรี่ ขี่มอเตอร์ไซค์ เล่นกีตาร์ ไปจนถึงการตีกลองคองก้าและบองโก้ ระหว่างการถ่ายทำ เจมส์ ฟรังโก ยังพยายามแยกจากคนอื่น ๆ เพื่อให้เข้าถึงความเป็นเจมส์ ดีน และนำเสนอความโดดเดี่ยวสไตล์ในแบบของเขา “ผมแยกตัวเองออกจากคนอื่นในช่วงถ่ายทำ ผมทำไปเพราะคิดว่าเขามีชีวิตที่โดดเดี่ยวตลอดช่วงชีวิตของเขา ผมอยากที่จะรู้สึกแบบนั้น การที่ไม่คุยกับครอบครัวหรือคนรักมันส่งผลต่ออารมณ์ของผมมาก” และเมื่อถามถึงความ เจมส์ ดีน ที่ เจมส์ ฟรังโก นึกถึงว่าเหตุใดเขาถึงเป็นสัญลักษณ์ของความ “ขบถ” ในยุคนั้น ฟรังโกได้ให้สัมภาษณ์กับ Channel Guide Magazine ในปี 2001 ว่า เป็นเพราะเขาเป็นวัยรุ่นในยุคหลังสงครามโลกที่ความสงบมาเยือน แต่การถูกผู้ใหญ่มาขีดบังคับให้ทำอะไรได้หรือไม่ได้ มันทำให้เป็นสิ่งที่อึดอัด “ในยุค 50s ผู้ใหญ่มักบอกกับเด็ก ๆ ว่าอย่าไปทำตัววุ่นวาย ตอนนี้ทุกอย่างดีแล้ว ในที่สุดเราก็มีความสุขและเศรษฐกิจที่มั่นคง และพวกวัยรุ่นก็ถูกคาดหวังให้ทำตามคำสั่งนั้น ซึ่งมันทำให้อึดอัดมาก และในตอนนั้นดีนก็เข้ามาเป็นคนที่แสดงออกอย่างเต็มที่ เขาเป็นตัวแทนของเสียงที่ถูกสั่งให้เงียบ และความอึดอัดของวัยรุ่น คุณสังเกตการพูดของเขาสิ เขาตะโกนมันออกมา เขาเปล่งเสียงตะโกนออกมาจากลำคอ เขาทั้งกู่ร้องและงึมงำ การแสดงของเขาเป็นตัวแทนของสิ่งที่วัยรุ่นในยุคนั้นต้องประสบพบเจอกับความอัดอั้น เขาเลยเป็นตัวแทนของความรู้สึกของเด็ก ๆ มันไม่ใช่มุมมองของผู้ใหญ่ ไม่ใช่การตัดสินแบบฟันธงลงดาบ ไม่ได้มีแค่ขาวและดำ แต่มันเป็นสิ่งที่วัยรุ่นในยุคนั้นเชื่อมโยงถึงได้ และเขาก็เสียชีวิตเพียงแค่ 2 สัปดาห์ก่อนที่ Rebel Without A Cause จะออกฉาย วัยรุ่นยุคนั้นได้มีคนที่เป็นตัวแทนแล้วเขาก็จากไป สิ่งเหล่านั้นจึงผสมผสานเป็นเอกลักษณ์ที่ทำให้เขายิ่งใหญ่กว่ามนุษย์คนอื่น ๆ” [caption id="attachment_12514" align="alignnone" width="700"] เดน เดอฮาน[/caption] ชีวิตของ เจมส์ ดีน ยังได้รับการนำเสนอในมุมอื่น ๆ ในเรื่อง Life (2015) ซึ่ง เดน เดอฮาน (Dane DeHaan) รับบทเป็นเขา เรื่องนี้สำรวจลึกถึงความเป็น เจมส์ ดีน ในเวอร์ชันที่ไม่ได้แสดงหนัง แต่เป็นตัวตนของเขาในชีวิตประจำวันผ่านการถ่ายภาพกับนิตยสาร Life เดอฮานไม่ได้มีใบหน้าที่คล้ายคลึงกับ เจมส์ ดีน เขาต้องปรับลุคตัวเอง ทั้งใส่วิก ใส่คอนแทคท์เลนส์ ไปจนถึงใส่หูปลอม เพิ่มน้ำหนักตัว 25 ปอนด์ อีกทั้งฝึกการออกเสียงกับ Dialect Coach นาเดีย แวเนส (Nadia Venesse) ซึ่งมีเทปเสียงของ เจมส์ ดีน ของแท้ที่เขาเคยอัดเอาไว้ตอนไปเยี่ยมครอบครัวของเขาที่อินเดียนา มันเป็นเทปเสียงที่ไม่ใช่การพูดบทในหนัง แต่เป็นเสียงของเขาในยามปกติ เดอฮานได้ฟังเสียงนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก และเลือกที่จะนำเสนอ เจมส์ ดีน ในความเป็นตัวตนของเขาแบบที่ไม่ได้เป็นผู้ชายสุดเท่หรือขบถตามที่เขาถูกมอง เมื่อเปรียบเทียบความโด่งดังของเจมส์ ดีนในยุคนั้นกับยุคนี้ เดอฮานเผยว่า เจมส์ ดีน อยู่ในยุคที่ภาพลักษณ์ของเขาถูกควบคุมโดยสตูดิโอ เขาเลือกไม่ได้ว่าจะไม่เป็นหนุ่มขบถตามบทบาทที่เขาได้รับ แต่สิ่งที่เหลืออยู่ให้กับคนยุคหลังคือฝีมือการแสดงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักแสดงรุ่นหลังอย่างเขามากกว่าภาพลักษณ์ไอคอนที่ใครยิบยื่นให้ “ทุกคนรู้จัก เจมส์ ดีน จากหนังหรือภาพถ่ายของเขาแล้วคิดว่าเขาเป็นคนเท่ เป็นคนหัวขบถ แต่เขาเป็นอะไรที่มากกว่านั้นเยอะเลย” เรื่องโดย: เพจผู้ชายคนนั้นจากหนังเรื่องนี้ อ้างอิง https://www.huffpost.com/entry/dane-dehaan-life-fame_n_5665e45fe4b08e945ff0594c https://www.channelguidemag.com/tv-news/2014/10/16/tbt-tv-james-franco-finds-cause-james-dean-2001/ http://www.homohistory.com/2012/12/james-deans-gay-lovers.html https://www.queerty.com/marlon-brando-and-james-dean-had-secret-sm-relationship-trashy-new-book-claims-20160317James Dean kissing Marlon Brando by https://t.co/ChzrsUr1Qs pic.twitter.com/4Vc6MfepMg
— Sam Smith (@samsmith) August 3, 2019