ไมค์ มอย: อดีตมาเฟียไชน่าทาวน์ ผันตัวเป็นตำรวจ-ทำช่อง YouTube คุยกับอดีตอาชญากร

ไมค์ มอย: อดีตมาเฟียไชน่าทาวน์ ผันตัวเป็นตำรวจ-ทำช่อง YouTube คุยกับอดีตอาชญากร

'ไมค์ มอย' (Mike Moy) เจ้าของช่อง 'Chinatown Gang Stories' ใน YouTube ที่ตีแผ่ประวัติศาสตร์ใต้ดินของอาชญากรไชน่าทาวน์ในสหรัฐฯ ในอดีต เขาเคยเป็นสมาชิกมาเฟียจีน จนเรื่องราวพลิกผันเปลี่ยนสายมาเป็นตำรวจนิวยอร์ก

  • ชีวิตของ ไมค์ มอย (Mike Moy) อดีตวัยรุ่นสมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่ผันตัวเป็นตำรวจในวัยเด็ก ท่ามกลางความดิบเถื่อนอันตรายของย่าน Chinatown ในเมือง Manhattan
  • จังหวะชีวิตที่เปราะบางสู่การถูกทาบทามเข้าเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊ง
  • กรณี สตีเวน แมคโดนัลด์ (Steven McDonald) ตำรวจที่พลิกมุมมองของมอยจนผลักดันให้เขาถอนตัวจากอาชญากรรมและก้าวเข้าสู่เส้นทางการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์
  • เขายังเป็นนักประวัติศาสตร์มือสมัครเล่นผู้มุ่งจารึกเรื่องราวของอาชญากรรมเอเชียในประวัติศาสตร์อเมริกัน

ถ้าจะให้นึกถึงเรื่องราวขององค์กรอาชญากรรมในสหรัฐอเมริกา มาเฟียอิตาเลียนก็คงจะเป็นเรื่องราวที่คุ้นหูกันมากที่สุด เพราะภาพยนตร์ชั้นเลิศหลายเรื่องไม่ว่าจะจากฝีมือของ ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) หรือ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ก็ล้วนหยิบเรื่องของพวกเขาเหล่านั้นมาเล่าอย่างถึงรส นอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องราวของ แอล คาโปน (Al Capone) มาเฟียตัวพ่อผู้แหกทุกกฎที่ทางการสหรัฐอเมริกาได้ตั้งเอาไว้

นอกจากนั้นเรื่องราวที่มักถูกตีแผ่ในสารคดีประวัติศาสตร์แก๊งอาชญากรรมก็ยังมีเรื่องราวขององค์กรอาชญากรรมชาวแอฟริกัน-อเมริกัน หรือเม็กซิกันกันมาบ้าง แต่ที่เราเห็นน้อยมาก ๆ ก็คงเป็นมาเฟียชาวเอเชียในสหรัฐอเมริกาที่ไม่ค่อยได้ถูกกล่าวถึงเท่าไหร่นัก แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องราวของเขาเหล่านั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีอยู่เลย

ไมค์ มอย (Mike Moy) อดีตสมาชิกจากแก๊งอาชญากรเอเชียในสหรัฐอเมริกาผู้ที่ผันตัวเป็นตำรวจในวัย 53 ปี ก็ตัดสินใจที่จะหยิบโทรศัพท์ไอโฟนของตัวเองพร้อมไมค์แบบง่าย ๆ และบันทึกการสัมภาษณ์พูดคุยถึงเรื่องราวในวันวานกับอดีตมาเฟียไชน่าทาวน์ ‘ตัวจริง’ เพื่อจารึกไม่ให้เรื่องราวนี้หายไป

ในบทความนี้เราจะพาไปรู้จักกับเรื่องราวของเขา จากเด็กที่เติบโตมาท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความรุนแรง สู่การถูกทาบทามเป็นหนึ่งในแก๊งอาชญากรรม จนชีวิตพลิกผันมุมมองเปลี่ยนแปรจนได้ไปเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ประสบการณ์สุดโลดโผนของเขาแปรเปลี่ยเป็นประสบการณ์เรื่องเล่าและคอนเนคชั่นที่จะพาเขาไปรู้จักคนอีกมากมาย และบันดาลให้เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังผ่านช่องยูทูปที่ทำออกมาแบบง่าย ๆ แต่เนื้อหาสุดเรียลจากผู้มีประสบการณ์ตรง

ชีวิตไม่ง่าย จาก Manhattan สู่ Brooklyn

ไมค์ มอย เกิดในครอบครัวชาวจีนที่อาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เล็ก ๆ ใกล้ ๆ กับย่านไชน่าทาวน์ของตัวเมืองแมนฮัตตันในปี 1969 ความสะดวกสบายภายในบ้านอาจจะไม่ได้มีมากเท่าไหร่นัก เพราะนอกจากจะต้องอาศัยกันอยู่ในห้องเล็ก ๆ กับสมาชิกครอยครัวอื่น ๆ อีกกว่า 11 คนแล้ว พวกเขาก็ยังต้องนอนบนที่นอนที่ทำจากไม่ไผ่ แต่ความแออัดเหล่านี้ก็เทียบกันไม่ได้เลยกับสภาพแวดล้อมภายนอก

เสียงปืนดังลั่น เสียงผู้คนโหวกเหวกโวยวาย ความรุนแรงแฝงตัวอยู่ทั่วทุกมุมถนน คือบรรยากาศในย่านที่มอยอาศัยอยู่ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพชัดขึ้นกว่าเดิม ในปี 1972 ในตอนที่มอยอายุเพียง 3 ขวบเท่านั้น ย่านที่เขาอาศัยอยู่มีเหตุยิงกันกว่า 4 ครั้งในปี ๆ เดียว แถมเด็กหลายคนในย่านนั้นก็เติบโตไปเป็นหนึ่งในแก๊งอาชญากรรม

เห็นได้ชัดว่าเส้นทางชีวิตในย่านไชน่าทาวน์ของแมนฮัตตันดูจะไม่เหมาะสมกับเด็กคนหนึ่งที่จะเติบโตไปอย่างปลอดภัยนัก

             

เปิดประตูสู่ชีวิตอาชญากรรม

แม้จะย้ายจากบ้านเกิดไปเมืองอื่นเพื่อหลีกหนีภัยอันตราย ชีวิตของไมค์ มอยก็ไม่ได้สามารถหลีกหนีปัญหาและความทุกข์ได้ แม้จะเกิด ณ สหรัฐอเมริกา แต่เชื้อสายของมอยเรียกได้ว่าเป็นจีนแท้ และท่ามกลางเด็กอเมริกันหรือจีน-อเมริกัน มอยถูกแบ่งแยกและกลั่นแกล้งโดยสังคมโดยรอบ ทำให้เขารู้สึกว่าที่แห่งนี้ แม้จะห่างไกลจากอันตรายที่จากมาจากบ้านเดิม ก็ไม่ได้ดีขนาดนั้น

มอยเล่าว่าเขาต้องเผชิญกับการถูกรังแกสารพัดจนมันกลายเป็นแผลใจของเขา คุณครูผู้สอนก็ดูจะเพิกเฉยกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา ผู้ปกครองของมอยก็งานยุ่งเสียจนไม่มีเวลากลับบ้านมาเจอเขาเลยด้วยซ้ำ ในช่วงเวลานั้น มอยมีเพื่อนสนิทเพียงหนึ่งคนที่สามารถไปทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเขาได้เพียงเท่านั้น

ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ภายในใจของ ไมค์ มอย ได้ล้นเกินออกมาภายนอกจนสมาชิกแก๊งอาชญากรรมที่มองหาเด็กรุ่นใหม่ไปเป็นหนึ่งในสมาชิกก็กวาดสายตาไปเห็นมอยเข้า เขาได้จับตามองเด็กคนนี้อยู่พักหนึ่งจนคิดว่ามอยน่าจะเป็นคนที่เหมาะสมที่เขาจะทาบทามมาเป็นส่วนหนึ่งของแก็งค์

ในวันหนึ่ง ขณะที่มอยกำลังเดินอยู่ ณ ริมถนน สมาชิกแก๊งคนนั้นก็ได้เดินเข้ามาหามอย และยื่นข้อเสนอชักชวนให้เขาเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มของเขา พวกเขาบอกว่าการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง มอยจะได้รับการปกป้องดูแล ได้รับความเคารพจากคนรอบข้าง และได้เป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว

ข้อเสนอเหล่านั้นล้วนเป็นเศษจิกซอว์ที่หายไปในชีวิตของมอย และ ณ จุดนั้นเองที่เป็นหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตของมอย ที่พาเขาให้ย้ายจากเส้นทางชีวิตของเด็กธรรมดาสู่การเป็นหนึ่งในสมาชิกของแก๊งอาชญากรไปเป็นเวลานานถึง 9 ปี

 

ถอนตัวจากชีวิตเดิมเพราะนายตำรวจนามว่า ‘สตีเวน แมคโดนัลด์’

ครรลองชีวิตแบบสมาชิกแก๊งอาชญากรรมดำเนินไปอย่างไม่สวยหรูนัก เพื่อนที่เคยเห็นหน้าคร่าตากันตามปกติได้ทะยอยเสียชีวิตและถูกจับกุมอยู่เรื่อย ๆ แถมทางการก็ยิ่งยกระดับเล่นไม้แข็งกับเหล่ากลุ่มอาชญากรด้วยข้อกฎหมายใหม่ (RICO) ที่อนุญาตให้ลงโทษกลุ่มอาชญากรขนานหนักได้ทันที

ในขณะเดียวกันกับที่สภาพแวดล้อมของการดำเนินชีวิตแบบอาชญากรได้แปลงเปลี่ยนไป ไมค์ มอย ก็เติบโตขึ้นทุก ๆ วัน จากเด็กคนเดิมที่ถวิลหาความยอมรับ แสวงหาผู้ปกป้อง และมุ่งหาเพื่อนสักคนในชีวิต ในตอนนี้ ชีวิตปัจจุบันและอนาคตก็เริ่มสะกิดให้เขาทบทวนหางเสือเรือชีวิตของเขาอีกครั้ง

แต่เหตุการณ์ที่นับเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เปรียบเสมือนถังน้ำที่สาดเข้าไปที่หน้าเขาอย่างจังจนต้องตื่นจากภาวะง่วงงัวเงียคือเรื่องราวของนายตำรวจนายหนึ่ง

วันธรรมดาวันหนึ่งในปี 1986 ไมค์ มอยเปิดหนังสือพิมพ์รายวันอ่าน สายตาของเขาได้กวาดไปเห็นข่าว ๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นเรื่องราวของตำรวจนามว่า สตีเวน แมคโดนัลด์ (Steven McDonald) เมื่อหลายเดือนก่อนหน้า เขาเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ที่ถูกวัยรุ่นอายุเพียง 15 ปี ยิงเข้าใส่สามนัดระหว่างที่เขากำลังลาดตระเวนอยู่จนบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของแมคโดนัลด์เปลี่ยนไปตลอดกาล แม้รักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ได้ แต่ไม่ใช่กับร่างกายของเขา เพราะเขาต้องเป็นอัมพาตตั้งแต่คอจรดเท้านับตั้งแต่เหตุการณ์ในวันนั้น

แต่ข่าวที่สายตาของมอยกวาดไปเห็นไม่ใช่การรายงานว่าวัยรุ่นรายนั้นถูกจับหรือรายละเอียดเกี่ยวกับการดำเนินคดี แต่เป็นข่าวจากนายตำรวจผู้เป็นอัมพาตคนเดิมที่ออกมา ‘ให้อภัย’ วัยรุ่นคนเดิมที่พรากเอาชีวิตแบบเดิมของเขาไปตลอดกาล วัยรุ่นเดิมที่เกือบทำให้ชีวิตของเขาต้องสูญเสียไปแบบไม่กลับคืน

ระหว่างที่มอยกำลังอ่านเนื้อข่าวนั้นอย่างสนใจ เขาก็ได้เห็นคำ ๆ หนึ่งที่ทิ่มแทงใจของเขาเป็นอย่างมาก ซึ่งคำดังกล่าวระบุเอาไว้ว่าวัยรุ่นคนนั้นคือผลผลิตจากสภาพแวดล้อมของเขา มอยให้สัมภาษณ์บรรยายความรู้สึกเมื่อแรกเห็นคำ ๆ นั้นว่าเขาไม่เข้าใจ แต่ในขณะเดียวกันมันทำให้เขาหยุดคิด มันเปรียบเหมือนกระจกสะท้อนที่ทำให้เขาชะงักและย้อนมองกลับมาที่ตัวเอง ว่าขณะนี้เขากำลังทำอะไรอยู่…

คือตอนนั้นผมก็ยังเด็กแหละนะ ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้หรอกว่าคำ ๆ นั้นมันหมายความว่าอะไร แต่ผมก็พยายามวิเคราะห์ทีละคำของบทความนั้นเลยนะ ว่าผู้เขียนเขาหมายถึงอะไรกัน แล้วมันก็ทำให้ผมมองย้อนกลับมาที่ตัวเองแล้วตั้งคำถาม…

ว่าผมก็เป็นหนึ่งในผลผลิตของสภาพแวดล้อมแบบนี้ด้วยหรือเปล่า?

เหตุการณ์ ๆ นี้เปรียบเหมือนประกายไฟที่จุดไปที่เชื้อเพลิงแห่งความคิดที่ก่อตัวมานานตั้งแต่เขาเติบโตขึ้นมาแล้วเริ่มตั้งคำถาม ไฟแห่งความรู้สึกผิดในตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นวนเวียนอยู่ในหัวเขาไม่มอดมลายหายไป ทุกวันเขาวนคิดอยู่แต่กับคำถามที่ว่าตัวเขาเป็นผลผลิตของสภาพแวดล้อมแบบนั้นใช่หรือไม่ และในขณะเดียวกันที่ความคิดและคำถามเหล่านั้นหมุนเวียนอยู่ในหัวของมอย เขาก็ค่อย ๆ ก้าวขาถอยหลังจากชีวิตความเป็นอาชญากรรม

คำ ๆ นั้นมันติดอยู่ในหัวผมจริง ๆ นะ มันกระซิบอยู่ข้างหูผมในทุก ๆ วันเลย ว่าผมเองก็เป็นดอกผลจากสภาพแวดล้อมแบบนี้เช่นเดียวกัน… ผมเลยคิดว่าผมต้องถอยออกมา

ความคิดเหล่านี้ที่วนเวียนจนได้ข้อสรุปได้ทำให้มอยค่อย ๆ เฟดตัวเองออกจากสังคมอาชญากรและการเป็นหนึ่งในสมาชิกแก๊งของเขา ค่อย ๆ หายไปทีละนิด ทีละหน่อย ในขณะเดียวกันเส้นทางใหม่ที่เขามุ่งหวังอยากจะเดินก็คือการเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ ในปี 1989 เขาก็ได้ยื่นสมัครเข้าสอบเข้าเป็นตำรวจ จนกระทั่งได้เข้าฝึกเตรียมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ๆ ก็ช่วงกลางยุคทศวรรษที่ 1990

แม้ว่าก่อนจะได้เข้าฝึกเตรียมเป็นตำรวจมอยจะมีปฏิสัมพันธ์กับทางแก๊งของเขาบ้างเล็กน้อย แต่พอได้รับตราตำรวจและทำหน้าที่อย่างเต็มตัวแล้ว เขาก็ได้ย้ายไปทำงาน ณ ย่านอื่นและทิ้งโลกอาชญากรรมไว้ข้างหลัง และเดินหน้าสู่อนาคตที่ตัวเขาจะไม่ใช่ผลผลิตของสังคมอาชญากรรม

 

เพราะเฉียดตายจาก 9/11

ไมค์ มอย ดำเนินชีวิตในบทบาทของตำรวจไปอีก 25 ปี โดย 9 ปีแรกเขาได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็มตัว ส่วนอีก 16 ปีหลังเขาได้เปลี่ยนสายไปเป็นนักสืบ บางครั้งบางคราวอดีตที่ทิ้งไว้ข้างหลังก็หวนกลับมาหลอกหลอนเขาอีกครั้ง เมื่อเขาได้ถูกมอบหมายให้ไปทำงานในพื้นที่เดิม ๆ ที่เขาเคยใช้ชีวิตในฐานะอาชญากร แต่แม้จะเจอมิตรสหายเก่าที่ทำให้เขาใจไม่ดี ก็ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเข้าใจดีว่ามอยตัดสินใจจะควบชีวิตไปทางไหน แม้เพื่อนเก่าหลายคนจะจำได้ แต่พวกเขาเหล่านั้นก็เลือกที่จะจำได้แบบเงียบ ๆ ไม่ได้มีการกระทำอะไรไปมากกว่านั้น

ในช่วงที่เป็นตำรวจ มอยก็ได้เห็นรายการสารคดีหลายชิ้นที่เล่าถึงกลุ่มแก๊งอาชญากรในอดีต ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี สเปน หรือแอฟริกัน นั่นจึงทำให้เขาสงสัยว่าเพราะอะไรถึงไม่มีใครเอาเรื่องราวของกลุ่มอาชญากรเอเชียในสหรัฐอเมริกามาเล่าบ้างเลย เพราะเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขาได้เผชิญมากับตัวเองก็เข้มข้นไม่แพ้สิ่งที่เขาเห็นบนจอเลยแม้แต่น้อย

แต่แม้ว่าเกิดความสงสัย มอยก็ยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะริเริ่มโปรเจกต์การตีแผ่ประวัติศาสตร์ที่ตัวเขาได้แอบคิดไว้คนเดียว

แต่ความคิดของเขาก็ต้องเปลี่ยนไปไม่กี่ปีหลังเหตุการณ์ก่อการร้าย 9/11 เกิดขึ้น…

ณ วันที่เครื่องบินก่อการร้ายพุ่งชนตึกอันเป็นเหตุการณ์ก่อการร้ายสุดสะเทือนขวัญอันลือลั่นสหรัฐอเมริกา มอยก็เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ที่รับเรื่องและเข้าไปดูแลสถานการณ์ในวันนั้นด้วย

นอกจากความเสียหายจนกลายเป็นแผลเป็นทางประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาอันเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ก่อการร้ายดังกล่าวแล้ว ก็มีประชาชนและเจ้าหน้าที่หลายคนต้องเจ็บป่วยหรือเป็นโรคจากฝุ่นจำนวนมหาศาลจากซากตึกที่พังทลายลงมา หลายคนเป็นโรคทางเดินหายใจ บ้างก็เป็นมะเร็ง มอยก็เป็นหนึ่งในคนที่ต้องเจ็บป่วยจากเหตุการณ์ดังกล่าว แต่โชคยังดีที่ความรุนแรงไม่ได้มากถึงชีวิต แต่ก็มีเพื่อนหลาย ๆ คนที่ไม่ได้โชคดีเหมือนเขา

ตอนนั้นมันทำให้ผมคิดได้ว่า ถ้าผมไม่ทำตอนนี้… แล้วผมจะไปทำตอนไหน?

และไอเดียในหัวจึงได้แปรเปลี่ยนเป็นช่อง Chinatown Gang Stories ช่องที่ตำรวจเกษียณผู้เคยที่อดีตเคยเด็กในแก๊งอาชญากรย่านไชน่าทาวน์มาจับคุยเรื่องราวในวันวานกับอดีตสมาชิกแก๊งคนอื่น ๆ ไม่ใช่เพื่อเชิดชูสนุบสนุนให้วีรกรรมต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้นและปลุกปั่นให้มันเกิดขึ้นอีกครั้ง แต่เพื่อจารึกเป็นประวัติศาสตร์ว่าครั้งหนึ่งเคยเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น

ก่อนที่เรื่องราวเหล่านั้นจะมลายหายไปเหลือเพียงความทรงจำอันเลือนลาง…

หน้าที่ของผมคือการอนุรักษ์เรื่องราวเหล่านี้เอาไว้… และผมก็หวังว่ามันจะเป็นประโยชน์กับใครสักคน

 

ภาพ: 

Chinatown Gang Stories

Getty Images

NYPD

 

อ้างอิง:

The gangster-turned-cop racing to save Chinatown’s underworld history - CNN