18 ธ.ค. 2561 | 17:12 น.
ทีมชาติโคลอมเบียเดินทางเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกปี 94 ด้วยความคาดหมายที่สูงมาก เพราะก่อนหน้านั้นหนึ่งปีพวกเขาเพิ่งคว้าตำแหน่งอันดับ 3 จากการแข่งขันโคปาอเมริกา (ถ้วยแชมป์ทีมชาติแห่งทวีปอเมริกา) หลังตกรอบรองชนะเลิศด้วยการแพ้จุดโทษให้กับอาร์เจนตินาซึ่งก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ในปีนั้น ด้วยสถิติพ่ายแพ้เพียงนัดเดียวจาก 41 นัดก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลก และนำทีมโดย คาร์ลอส วัลเดอร์รามา ยอดเพลย์เมกเกอร์ที่เยี่ยมที่สุดคนหนึ่งจากอเมริกาใต้ในยุคนั้น ใครๆ ก็คิดว่าโคลอมเบียจะต้องทำได้ดีกับการแข่งขันในคราวนี้ หนึ่งในนั้นก็คือ "เปเล่" ตำนานบราซิลที่ทำนายว่า โคลอมเบียน่าจะไปถึงรอบชิงชนะเลิศได้ (The New York Times) "เราต่างก็คิดว่าโคลอมเบียต้องทำได้ดี" อิไซ ซานเชส (Isai Sanchez) แฟนบอลโคลอมเบียกล่าวกับ FIFA TV "เราผ่านเข้ารอบมาได้ด้วยคุณภาพ สไตล์ และชั้นเชิงขั้นเทพ" "ตอนที่โคลอมเบียชนะอาร์เจนตินาได้ 5-0 ในบ้านอาร์เจนตินาเอง ทุกคนก็เชื่อแน่ว่าเราจะต้องชนะ นักฟุตบอลโคลอมเบียเองก็เช่นกัน" มิเกล อังเกล ราปาลิโน (Miguel Angel Rapalino) แฟนบอลอีกรายกล่าว แต่เมื่อการแข่งขันรอบสุดผ่านไปเพียงสองนัดโคลอมเบียก็ตกรอบไปแบบไม่เป็นทางการจากความพ่ายแพ้ต่อโรมาเนีย ตามด้วยสหรัฐฯ เจ้าภาพ แม้จะกลับมาชนะได้ในนัดสุดท้ายกับสวิตเซอร์แลนด์ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาหนีอันดับบ๊วยไปได้ และคนที่ถูกชี้นิ้วกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุที่ทำให้โคลอมเบียต้องตกรอบมากที่สุดก็คือ อันเดรส เอสโคบาร์ (Andrés Escobar) กองหลังที่เคยเป็นที่รักของแฟนๆ จนกระทั่งทำเข้าประตูตนเองจนทีมต้องแพ้ให้กับสหรัฐฯ ในเกมที่สองของทัวร์นาเมนต์ โคลอมเบียลงเล่นกับสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 1994 พวกเขาพลาดท่าโดนนำไปก่อนจากลูกสกัดเข้าประตูตัวเองโดยเอสโคบาร์ ซึ่งเขาเพียงพยายามจะตัดลูกจ่ายจากด้านข้างบริเวณหน้าประตูไม่ให้บอลไปถึงผู้เล่นสหรัฐฯ แต่มันกลับไม่พ้นกรอบ ทำให้นายประตูหลงทางจนกลายเป็นประตูขึ้นนำให้กับทีมลุงแซมในช่วงปลายครึ่งแรก การถูกขึ้นนำไปก่อนทำให้ทีมเล่นยากขึ้น และต้องมาเสียประตูที่สองอีกตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง กว่าจะทำประตูตีไข่แตกได้ก็จะจบเกมแล้ว การที่พวกเขาต้องตกรอบแรกอย่างเหนือความคาดหมาย (ของแฟนๆ) โดยเฉพาะการแพ้ให้กับสหรัฐฯ ซึ่งแม้จะเป็นเจ้าบ้านแต่ก็ไม่มีชื่อในเชิงฟุตบอลในสมัยนั้น ทำให้การเดินทางกลับโคลัมเบียคราวนี้ไม่เหมือนกับครั้งก่อนๆ ที่แฟนๆ จะมาคอยให้กำลังใจนักฟุตบอลกันอย่างอบอุ่น กลับกันหลายคนรู้สึกโกรธแค้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ อันเดรส เอสโคบาร์ สื่อและแฟนๆ พากันถกเถียงถึงปัญหาที่ทำให้ทีมทำผลงานไม่ดี หลายคนโทรเข้าไปคุยกับรายการวิทยุเสนอทฤษฎีมากมายเพื่ออธิบายถึงสาเหตุที่ทีมซึ่งมีผลงานดีมายาวนานกลับมาตกม้าตายในรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกว่ามันเกิดจากอะไร บ้างก็เชื่อว่าคงเป็นเพราะผลกระทบจากการ "โด๊ปยา" ของนักเตะ บ้างก็เชื่อว่านักเตะบางคนเจตนา "ล้มบอล" ซึ่งข้อหาหลังย่อมกระทบต่อเอสโคบาร์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้หวั่นไหวและพร้อมมุ่งมั่นกับการแข่งขันต่อไป "ชีวิตไม่ได้จบลงตรงนี้ เราต้องไปต่อ ชีวิตจะมายุติลงตรงนี้ไม่ได้ ไม่ว่ามันจะยากแค่ไหน เราจะต้องลุกขึ้นยืน เรามีทางเลือกแค่สองทาง คือปล่อยให้ความโกรธแค้นทำให้เราก้าวต่อไม่ได้และให้ความรุนแรงมันดำเนินต่อไป หรือเราจะก้าวข้ามมันไปแล้วพยายามให้ดีที่สุดช่วยเหลือกันและกัน นี่เป็นสิ่งที่เราเลือกได้ ขอให้เรารู้จักให้เกียรติกันและกัน ผมขอส่งความปรารถนาดีไปถึงทุกๆ คน มันเป็นประสบการณ์ที่สุดยอดที่หาได้ยาก เราคงจะได้เจอกันอีกเร็วๆ นี้ เพราะชีวิตมันไม่ได้จบลงตรงนี้" เอสโคบาร์แสดงความคิดเห็นของเขาลงสื่อท้องถิ่นหลังการตกรอบของโคลอมเบีย (The Guardian) แม้จะถูกคุกคามแต่เอสโคบาร์ก็ไม่หวั่นเกรง หลังกลับจากสหรัฐฯ ได้ราวสัปดาห์หนึ่ง เอสโคบาร์ก็ชวนเพื่อนไปเที่ยวกลางคืน เพื่อนเขาพยายามเตือนว่ามันอาจอันตรายเกินไป ณ เวลานั้น เพราะเขากำลังตกเป็นเป้าของแฟนบอลที่กำลังโกรธแค้น และที่โคลอมเบียความขัดแย้งมักไม่จบลงด้วยการต่อยตีแต่มันอาจจบลงด้วยความตายของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ขณะที่เอสโคบาร์เห็นว่าเขาควรจะออกไปเจอกับแฟนๆ มากกว่าที่จะเก็บตัว ว่าแล้วเขากับเพื่อนๆ ก็เดินทางไปเที่ยวกันที่ El Indio Bar ในเมือง Medellín สนุกสนานกับการดื่มและพูดคุยกับแฟนๆ ได้สักพักก็เจอกับกลุ่มนักเที่ยวที่ไม่เป็นมิตรหาเรื่องด่าทอประณามเขา เอสโคบาร์พยายามเลี่ยงการเผชิญหน้าจึงเลือกที่จะเดินทางออกจากร้านไป แต่นักเที่ยวกลุ่มนี้ยังไม่ลดละตามตะโกนด่าเอสโคบาร์ว่าเป็น "อีตุ๊ด" นักเตะที่ขึ้นชื่อว่าเป็นคนสุภาพและมีวินัยจึงเริ่มทนไม่ไหวขับรถวนไปหาเพื่อโต้เถียงกลับไปว่าการเตะเข้าประตูตัวเองเป็น "ความผิดพลาดโดยสุจริต" เท่านั้น การถกเถียงเป็นไปอย่างเผ็ดร้อนก่อนที่หนึ่งในกลุ่มนักเที่ยวจะควักปืนขึ้นมายิงใส่เอสโคบาร์หกนัดขณะที่เขายังนั่งอยู่ในรถ กว่าที่รถพยาบาลจะเดินทางมาถึงมันก็สายเกินไป เพียงไม่ถึง 30 นาทีหลังเกิดเหตุเขาก็ถูกประกาศว่าเสียชีวิต (ช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 กรกฎาคม 1994) หลังเกิดเหตุหลายคนเชื่อว่า ความตายของเอสโคบาร์น่าจะมาจากฝีมือของพวกแก๊งอันธพาลที่เสียผลประโยชน์จากการพนันบอลเพราะคงไปเดิมพันข้างโคลอมเบียไว้เยอะ แต่จอน ไจโร เวลาสเกซ วาสเกซ (Jhon Jairo Velásquez Vásquez) อดีตมือขวาของ "พาโบล เอสโคบาร์" เจ้าพ่อยาเสพติดชื่อดังของประเทศ (ซึ่งแม้จะนามสกุลเดียวกันแต่ไม่ได้เกี่ยวพันเป็นญาติกับ อันเดรส เอสโคบาร์) ซึ่งติดคุกจากคดีฆาตกรรมนับร้อยรายบอกว่า เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องของ "การพนัน" อย่างที่คนเข้าใจกัน ในทางคดีเจ้าหน้าที่พบว่า รถยนต์ที่คนร้ายใช้หลบหนีถูกจดทะเบียนในชื่อของสองพี่น้องนักค้ายาตระกูลกัลลอน (Gallón) เปโดร (Pedro) และฮวน (Juan) ซึ่งเคยเป็นสมุนให้กับพาโบล เอสโคบาร์ ก่อนย้ายไปเข้าสังกัดของเปเปส (Pepes กลุ่มติดอาวุธต่อต้านพาโบล เอสโคบาร์) วาสเกซอ้างว่า หลังเกิดเหตุสองพี่น้องกัลลอนได้ใช้เงินกว่า 3 ล้านดอลลาร์ซื้ออัยการเพื่อให้มุ่งเป้าหมายไปที่ อุมแบร์โต คาสโตร มูยอซ (Humberto Castro Muñoz) บอดีการ์ดของทั้งคู่ซึ่งอยู่ในที่เกิดเหตุแทน มูยอซให้การรับสารภาพ ศาลตัดสินให้จำคุก 43 ปี แต่รับโทษจริงเพียง 11 ปีก็ได้รับการปล่อยตัวด้วยความประพฤติดี ส่วนสองพี่น้องมาเฟียไม่ถูกดำเนินคดีแต่อย่างใด วาสเกซพยายามอธิบายเหตุที่เกิดขึ้นว่า ตอนนั้นพาโบล เอสโคบาร์ เพิ่งถูกโค่นจากบัลลังก์มาเฟียมาแบบหมาดๆ (เจ้าพ่อยาเสพติดจากโคลอมเบียเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 1993) สองพี่น้องกัลลอนจึงเกิดความผยองพองขนเป็นพิเศษจนไม่ยอมให้ใครมาต่อปากต่อคำ การที่อันเดรส เอสโคบาร์เข้าไปโต้เถียงกับสองพี่น้องรายนี้จึงกลายเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความขัดแย้งซึ่งจบลงด้วยความตายของเอสโคบาร์มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของการพนัน