21 มิ.ย. 2567 | 13:38 น.
เราเป็นหญิงรักหญิง ที่รู้ตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก และซื่อตรงต่อความรู้สึกเสมอมาว่ามีใจต่อเพศเดียวกัน แม้เราไม่เคยบอกต่อครอบครัวอย่างตรงไปตรงมา แต่ก็ไม่เคยเก็บสิ่งนี้เป็นความลับ เราสบายใจกว่ากับการปล่อยให้เรื่องนี้เป็นพื้นที่สีเทาระหว่างเราและครอบครัว
ดังนั้นเมื่อตอนที่ต้องเลือกหัวข้อเขียนบทความระหว่าง ‘ความรัก’ และ ‘การต่อสู้’ เราก็พบว่าช่วงชีวิตเกือบสี่สิบปีที่ผ่านมานั้น ยังไม่เคยมีครั้งใดที่เราเรียกได้เต็มปากว่าเป็นการต่อสู้เลย ไม่ใช่เพราะสังคมยอมรับความแตกต่างได้ ทว่าการเป็นหญิงรักหญิงที่เติบโตมาในยุคมิลเลนเนียมนั้น เรียกได้ว่าแทบจะ ‘ไร้ตัวตน’
ยุคสมัยนั้นเหล่าสาวชาวเลสล่องหนอยู่ตามซอกหลืบ ทำตัวเนียนไปกับผู้คนในสังคมตามปกติ คนทั่วไปรู้จักและเข้าใจความเป็น ‘ชายรักชาย’ แม้แต่กับ ‘ทอมดี้’ ก็เช่นกัน (ทั้งที่เป็นสับเซตหนึ่งของเลสเบี้ยน)
ที่จริงแล้วอะไรคือเลสเบี้ยนล่ะ? มันเป็นแบบไหนไม่ค่อยมีใครรู้
เพศสภาพหญิงที่ต้องคลุกเคล้ากับเพศสภาพหญิงนั้น ผู้คนมักนึกภาพไม่ค่อยชัด คงดูแปลกตา น่าสงสัย และดูไม่ออกในเวลาเดียวกัน ในตอนนั้นเลสเบี้ยนมักจะถูกมองข้ามเสมอ หลายคู่รักต้องคบหากันภายใต้คำว่า ‘เพื่อน’
รูปแบบของการเป็นเพื่อนกันแบบนี้ ถูกใช้เป็นเกราะกำบังและเซฟความรู้สึกของคนในสังคม ของบรรดาเลสที่มีความสัมพันธ์ฉันคู่รัก และใช้กันอย่างแพร่หลายเมื่อราว ๆ 20 - 30 ปีก่อน ทั้งคู่เลสเป็นคนให้คำนิยามต่อคนภายนอกเอง หรือบางทีก็เป็นคนภายนอกนั่นแหละ ที่มองเข้าไปในความสัมพันธ์อันไม่ธรรมดานั้น และตั้งชื่อให้เสร็จสรรพ ด้วยความที่เป็นคำที่เข้าใจได้ชัด ง่ายต่อการอธิบายอากัปกิริยาที่พวกเธอทำต่อกัน และที่สำคัญมันไม่ใช่การโกหก (ต่างจากสมัยนี้ ที่หากมีใครมาบอกคู่รักเลสเบี้ยนว่าเป็นแค่เพื่อน อาจจะมีการโต้แย้งกลับเพื่อแก้ไขความเข้าใจกันใหม่)
สิ่งนี้ก้ำกึ่งระหว่างการ Come Out และ Closet เพราะสังคมไทยไม่ว่าจะยุคสมัยไหน การเปิดเผยตัวตนที่เราเป็นต่อครอบครัวและคนรอบข้าง ล้วนเป็นเรื่องยากของเหล่า LGBTQIAN+ เสมอ แม้ในยุคปัจจุบันที่สังคมยอมรับเรื่องพวกนี้มากขึ้นแล้วก็ตาม
ในซีรีส์ Heartstopper มีฉากการ Come Out ที่สุดแสนจะอบอุ่น แต่กับชีวิตจริงมันไม่ง่ายขนาดนั้น ไม่อบอุ่นปานนั้น ไม่ใช่ทุกครอบครัวที่จะพร้อมเข้าใจและซัพพอร์ตลูกตนเองแบบนั้น บางครอบครัวมีต่อต้านในทีแรก หากแต่ก็ยอมรับได้ในที่สุด บางครอบครัวอาจใช้เวลาเป็นปี ๆ ขณะที่บางครอบครัวอาจยังไม่เคยยอมรับลูกหลานของตัวเองเลยก็ได้
การ Come Out ของเรา เป็นแบบไร้รอยต่อ เราไม่ได้นั่งจับเข่าคุยกับพ่อแม่ว่าหนูชอบผู้หญิง แต่เป็นการทำตัวปกติ ค่อย ๆ เกลื่อนกลืนความรับรู้ของคนรอบข้างไปเรื่อย ๆ ใช้ชีวิตประจำวันของตัวเองไป เมื่อมีแฟนผู้หญิงก็คบหาในรูปแบบ ‘แฟน’ เหมือนหญิงชายทั่วไป กระทั่งครอบครัวซึมซับสิ่งเหล่านั้นไปได้เองอย่างไร้รอยต่อ
ที่ร่ายยาวเรื่องการเปิดเผยตัวตนในสังคม ก็เพื่อที่จะเล่าเรื่องที่เคยเกิดขึ้นกับเราเมื่อสิบปีก่อน เราที่เป็น LGBTQIAN+ ที่เปิดเผยตัวตนและไม่เคยมีปัญหาในเรื่อง Come Out แต่ครั้งหนึ่งเรากลับตกเป็นเหยื่อของประเด็นนี้เสียเอง เรื่องราวที่เราจะเล่าต่อไปนี้ก็ไม่ใช่เรื่องราวความรักโรแมนติก แต่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักที่มีผลต่อความไว้วางใจใน ‘โลกออนไลน์’ ของเรามาจนถึงปัจจุบัน
ชายจริงหญิงแท้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นเพศทางเลือกหลายคนอาจเคยสงสัยว่า บรรดาหญิงรักหญิงทั้งหลาย เหล่า ทอม ดี้ เลส แบบเรา ๆ นั้น หากันที่ไหนเจอ ย้อนไปเมื่อต้นปี 2000 หญิงรักหญิงมีคอมมูนิตี้เล็ก ๆ หลายแห่ง ที่ทำให้ผู้คนที่มีรสนิยมเดียวกันนี้ พอจะได้มีพื้นที่ที่เป็นแหล่งรวมได้ค้นหาพบเจอกับคนที่ตนถูกใจ คอมมูนหลักสำหรับเราคือ ‘เว็บบอร์ดเลสล่า’ (lesla.com) ซึ่งอันที่จริงแล้วคอมมูนิตี้นี้ก็ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน เพียงแต่เปลี่ยนโฉมไปบ้างจากสมัยก่อนที่เพียงกระดานเว็บบอร์ดสนทนาหน้าตาโบราณ แต่เพราะความไม่ซับซ้อนและไม่ไพรเวทมากจนเกินไป มันจึงได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่พวกเรา เรากล้าพูดได้เลยว่า ยุคสมัยหนึ่งไม่มีเลสเบี้ยนคนไหนไม่รู้จักเลสล่า เลสล่าเป็นเว็บบอร์ดที่มีทุกอย่างพร้อมอยู่ในนั้น ไม่ว่าคุณจะต้องการเพื่อนคุย หรือหาความสัมพันธ์ที่จริงจัง
เรากับบี (นามสมมติ) ก็พบกันในนี้ เรื่องคือ มีคนสร้างกระทู้เพื่อชักชวนเหล่าบรรดาสาวเลสทั้งหลายทุกเพศทุกวัยที่รักการถ่ายภาพ ให้ไปแอดเข้ากลุ่มไลน์อีกที เป็นไลน์กลุ่มปิด มีพี่แอดมินคอยดูแลและอนุมัติ กลุ่มไลน์นี้ออกแนวเน้นมิตรภาพ คุยสัพเพเหระ และให้ความเห็นในเรื่องต่าง ๆ ต่อกัน
เรากับบีเริ่มจากการที่เราบังเอิญสนใจสิ่งหนึ่งเหมือนกัน เมื่อพูดคุยเราก็พบว่าเราบังเอิญสนใจสิ่งอื่น ๆ คล้ายกันอีก นานวันเราเริ่มคุยกันถูกคอมากขึ้น คุยกันบ่อยมากขึ้นจนแอบพึงใจกันอย่างลับ ๆ ต่อมาจึงเริ่มคุยกันสองต่อสอง มากกว่าการคุยกับกลุ่มใหญ่
เราชอบบีมาก และเท่าที่รับรู้บีก็ชอบเรามากไม่แพ้กัน ต่างคนต่างให้ความสำคัญซึ่งกันและกัน เรามีกันอยู่ในทุกนาทีของชีวิต ตื่นนอนตอนเช้าเพราะอีกฝ่ายโทรฯ ปลุก คุยโทรศัพท์ตลอด เราแช็ตกันทั้งวัน และอยู่ด้วยกันไปจนกระทั่งเข้านอน เป็นอยู่เช่นนี้สองสามเดือน เราคิดว่านี่คือความพิเศษ เราคิดว่าบีก็คิดเช่นนั้น
ความสัมพันธ์ของเรากับบีดีวันดีคืน เราเหมือนคู่อื่น ๆ ทั่วไป มีวันที่แสนโรแมนติก มีวันที่เราไม่เข้าใจกันซึ่งจบลงด้วยการทะเลาะ ก่อนจะพบว่าเราทั้งสองนั้นงี่เง่าสิ้นดี เราจะทะเลาะกันทำไมทั้งที่เราคิดถึงกันแทบตาย จนมาถึงจุดที่เราคิดจะบอกรักบี เราพร้อมเป็นแฟนของบี และถ้าให้ความสำคัญกับเราขนาดนี้ บีเองก็น่าจะพร้อมเป็นแฟนเราเช่นกัน
เราในวัยเกือบสามสิบ แม้จะผ่านการคบหาดูใจกับใครมาหลายคน แต่เราก็ยังไม่เคยเจอ Red Flag ในความสัมพันธ์ไหนเลยสักครั้ง
จนกระทั่งกับบีคนนี้
Red Flag แรก บีปฏิเสธการพบเจอ
บีส่งรูปมาให้เราตลอด บีส่งสิ่งของมาให้เราด้วยซ้ำ พวกเหล่าของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บีทำเอง แต่บีบ่ายเบี่ยงที่จะเจอตัวเป็น ๆ เสมอ เราเข้าใจเองว่าบีขี้อายและไม่มั่นใจในรูปร่างของตัวเอง แต่ถ้าเรารู้สึกพิเศษกับใครบางคน ต่อให้เขาไม่สวยในสายตาเราแค่ไหน เราก็จะอยากเจอคนคนนั้นอยู่ดี แต่บีไม่เคยให้เราได้เจอ ซ้ำร้ายด้วยความไม่เท่าเทียม บีเคยเจอเราตัวเป็น ๆ แล้วแต่ไม่ยอมแสดงตัวให้เรารู้ (เป็นข้อมูลที่รู้ภายหลัง เราพบว่าบีไปสถานที่หนึ่งซึ่งเราทำงานอยู่ที่นั่น และด้วยตำแหน่งหน้าที่บีต้องเห็นเราแน่นอน)
Red Flag ที่สอง บ่ายวันอาทิตย์
เราคุยกับบีตลอดเวลาก็จริง ยกเว้นบ่ายวันอาทิตย์ ทำไม?
บีจะมีนัดออกไปคาเฟ่เก๋ ๆ ไม่ซ้ำร้าน และกินมื้อค่ำกับเพื่อนทุกบ่ายวันอาทิตย์ จริงอยู่มันไม่แปลกตรงไหนเลยที่เราจะออกไปทำกิจกรรมภายนอกจอบ้าง ยกเว้นแต่ว่านั่นคือช่วงเวลาที่บีจะขาดการติดต่อกับเราไปโดยสิ้นเชิง จากทุกวันที่คุยกันแทบจะนาทีต่อนาที และไม่เคยหายไปนานเป็นชั่วโมงแม้แต่ในเวลาทำงาน แต่ในวันอาทิตย์ บีจะหายไปช่วงเที่ยงและโผล่มาอีกทีก็หลังสี่ทุ่มไปแล้ว และเราผู้ซึ่งนอยด์ทั้งบ่ายก็จะกลับมาสดชื่นตามเดิม เพียงแค่บีอ้างเหตุผลอะไรก็ได้ ทุกอย่างก็น่าเชื่อหมด เราพร้อมจะเชื่อบีเสมอ
ในระหว่างนี้เรายังเพียรพยายามขอเจอบีอยู่ตลอด บีก็บอกปัดเหมือนเดิมทุกครั้ง แต่เพราะส่วนอื่น ๆ ในความสัมพันธ์นอกเหนือจากนั้นมันดี เราเลยพยายามมองข้ามเรื่องนี้ไปก่อน(ก็ได้) จนกระทั่งถึง Red Flag สุดท้าย
Red Flag ที่สาม วันเกิด
เมื่อถึงวันเกิดของบี เราสองคนก็นอนคุยโทรศัพท์กันตามปกติ แต่คืนนี้เราเตรียมตัวที่จะรอบอก Happy Birthday และอวยพรวันเกิดให้บีตอนเที่ยงคืนตรงเป๊ะ พอเที่ยงคืน เราบอกออกไป บีขอบคุณและสักพักก็ขอไปรับสายเพื่อนที่โทรฯ มาอวยพร และไม่โทรฯ กลับมาอีกเลยจนเช้า
คราวนี้พอบีกลับมา เราก็ทะเลาะกัน เราเริ่มไม่เชื่อที่บีบอก เราเริ่มเอะใจและสงสัย เมื่อเราเริ่มสงสัยในเรื่องหนึ่ง เรื่องที่เหลือล้วนดูน่าสงสัยไปเสียหมด เราขอเจอบีแบบจริงจังอีกครั้ง ยื่นคำขาดว่าไม่อย่างนั้น เรื่องของเราสองคนต้องเป็นอันจบ สุดท้ายบีก็ยังเลือกจะไม่มาเจอ เราจึงยุติความสัมพันธ์อันสุดแสนจะเบาบาง จาง ๆ ลอย ๆ นี้เสียที
ถึงจะเป็นความสัมพันธ์ที่กินระยะเวลาเพียงสามเดือน แต่ก็ทำเรานอนจมความเศร้าไปเป็นสัปดาห์ เมื่อดีขึ้น วันหนึ่งเราก็นึกอยากค้นหาคำตอบหลาย ๆ อย่างที่ค้างใจ ที่ก่อนหน้านี้เราไม่เคยคิดจะทำ เราสืบจนเจอไอจีของบีที่เราไม่เคยขอ (บีชอบอ้างความเป็นส่วนตัว และเราเคารพสิ่งนั้น) ใช้เวลาราวชั่วโมงเศษ เราก็รู้เรื่องราวทั้งหมด
บีมีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับผู้หญิงคนหนึ่ง ที่คิดว่าลับเพราะบีไม่เคยเปิดเผย ในไอจีของบีจะมีเธอคนนั้นเพียงแค่เสี้ยวหน้า ท่อนแขน แผ่นหลัง หรือแม้แต่เห็นทั้งตัวแบบเบือนหน้าไปทางอื่น แต่เธอเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตบีแน่นอน เป็นบ่ายวันอาทิตย์ของบี เป็นวีคเอนด์ที่ไปพักผ่อนต่างจังหวัด (ที่บีบอกเราว่าไปกับเพื่อน) เป็นการลางานไปต่างประเทศ เป็นจานอาหารฝั่งตรงข้าม เป็นกาแฟอีกแก้ว เป็นอีกส่วนที่เหลือในรูปถ่ายที่บีส่งมาให้เรา
ในวันเกิดที่ผ่านมา เธอผู้นั้นก็ไม่ได้แค่รออวยพรตอนเที่ยงคืน แต่เธอถือเค้กวันเกิด พร้อมของขวัญ ส่งให้บีถึงหน้าประตูคอนโดฯ ที่พัก
ในตอนนั้นเราโกรธ โกรธทั้งบีที่มาหลอกลวงกัน โกรธที่สุดคือตัวเองที่มองข้ามทุกสัญญาณอันตราย เพียงเพราะให้ความไว้วางใจบีมากเกินไป เรื่องการปกปิดหลอกลวงที่เราเจอนี้ จริงอยู่ว่าไม่ต้องเป็นเลสก็เจอได้ เราเชื่อว่าใครหลายคนก็เคยเจอ เราไม่ใช่คนโง่ คนที่ถูกหลอกจากความสัมพันธ์ออนไลน์ก็ล้วนไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่เราจริงใจมากเสียจนนึกไม่ถึงว่าอีกคนจะไม่จริงใจเอาเสียเลย
ดูผิวเผิน สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนเป็นการถูกหลอกให้รักแบบธรรมดา เป็นปัญหารักออนไลน์ที่คลาสสิกสุด ๆ หากแต่ที่จริงแล้วมีอีกหนึ่งดีเทลที่ทำให้เรื่องนี้มีอะไรซับซ้อนยิ่งกว่านั้น
บีเคยเล่าให้เราฟังว่าครั้งหนึ่งบีเองก็เคยพบรักกับผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นการคบหากันแบบลับ ๆ เนื่องจากเธอคนนั้นไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์กับบีต่อครอบครัวและสังคมรอบข้างของเธอได้ บีเป็นทุกข์กับความรักที่เปิดเผยไม่ได้นี้ บีไม่มีตัวตนในโลกของเธอคนนั้น บีเป็นได้แค่มื้อเย็นของทุกวัน บีไม่อาจได้เข้านอนพร้อมกันฉันคู่รัก ยกเว้นก็ต่อเมื่อได้ไปค้างที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ บีจึงขยันทำงานเพื่อจะได้ใช้วันลากับคนรักให้เต็มที่ จนกระทั่งความอดทนถึงขีดสุด บีทนอยู่กับการหลบ ๆ ซ่อน ๆ นี้ไม่ได้อีกต่อไป บีจึงถอยออกมา
ในตอนนั้นเราฟังเรื่องนี้ด้วยความเห็นใจ นึกเปรียบเทียบว่าตัวเองดีแค่ไหนที่ไม่ต้องเก็บความรักเป็นความลับแบบนี้ มาคิดได้ภายหลังว่าเรื่องที่บีเล่านั้นคงไม่ใช่เรื่องในอดีต หากแต่เป็นเรื่องของตัวบีในตอนนี้นี่แหละ
มีบางขณะที่เรานึกสงสารบี อาจจะกำลังมีคนอย่างบี หรือแม้แต่คนอย่างเราอยู่ในสังคมไทยไม่น้อยในตอนนี้ คนที่ไม่อาจเปิดเผยตัวตนได้แม้ในยุคสมัยนี้ หรือคนที่ต้องบอบช้ำจากความสัมพันธ์ที่ต้องหลบซ่อน แต่ไม่ว่าคุณจะ Come Out หรือยังอยู่ใน Closet ก็ตาม อย่าหลงรักใคร จนกว่าคุณจะได้เจอตัวคนนั้นจริง ๆ และสิ่งพื้นฐานสิ่งแรกที่คุณต้องให้คุณค่าสำหรับความสัมพันธ์ก็คือความจริงใจ เราขออวยพรให้ชาว LGBTQIAN+ ทั้งหลายที่กำลังตามหาความรักอยู่ ขอให้คุณโชคดี
เรื่อง : poonpun