เมื่อ ‘เธอ’ ของ ‘ฉัน’ โหยหาชีวิตปกติ แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว เหมือนคนทั่วไป

เมื่อ ‘เธอ’ ของ ‘ฉัน’ โหยหาชีวิตปกติ แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว เหมือนคนทั่วไป

เรื่องเล่าจาก ‘ศาลาริมทาง’ ที่ไม่ใช่เพลงของ ‘นกน้อย อุไรพร’ และไม่ใช่ประสบการณ์หลอนตามสั่ง

ประเทศไทย พุทธศักราช 2532 

เสียงบองโก้ จังหวะเร้าใจประสานสอดรับกับฉิ่งฉาบ บรรเลงอยู่หลังรถบัส มีผู้โดยสารเป็น ‘เฟรชชี่’ กำลังจะพากันไปประกอบพิธีกรรม ‘รับน้อง’ ที่จังหวัดชายทะเล 

ขณะที่ฉันกำลังนั่งอยู่บนเบาะโดยสารคู่กับเธอคนนั้น พลันได้ยินเสียงแว่วมาจากวงดนตรีท้ายรถ

“ดกลูกดก ลูกดกจะทำยังไง ดกลูกดก ลูกดกจะทำยังไง”
“คุณออ เขาจะบอกให้ คุณออ เขาจะบอกให้ ชิด ทอม เข้าไว้...ลูกก็ไม่ดก”

สิ้นเสียงเพลงที่ว่ามาอย่างนั้น ชายหนุ่มวัยคะนองกลุ่มใหญ่ ส่งเสียงเฮลั่นรถ คล้ายกับสะใจกันอย่างยิ่ง       

แม้ ‘คุณออ’ จะเป็นเพียงนามสมมติ ไม่ได้ชี้เป้ามาที่ตัวฉันและคนนั่งอยู่ข้าง ๆ แต่ความหมายโดยรวมของเนื้อเพลงที่พวกเขาตะโกนกันลั่นรถนั้น มันทำให้ฉันมือเท้าสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ และกำลังจะลุกขึ้นไปเอาเรื่องกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายและรุ่นพี่บางคน

“ช่างเขาเถอะ” เธอคนนั้นเอื้อมมือมากดเข่าฉันไว้ ไม่ให้ลุกขึ้น คงเพราะเกรงจะบานปลาย 

เราสบตา ส่งความหมายให้กันมากกว่าเพื่อน  

นับจากนั้น หลังกลับจาก ‘รับน้อง’ เรา 2 คน ไม่เคยห่างกันเลย 

...................................

จะว่าไป กว่าที่ฉันกับเธอ จะได้ใช้ชีวิตคู่ตอนเรียนมหา’ลัย ตลอด 4 ปีนั้น ไม่ใช่ง่ายเหมือนกัน 

เพราะช่วงก่อนที่จะตกร่องปล่องชิ้น เราต่างยังมีพันธะอยู่ แต่ง่อนแง่นเต็มที

เธอ เป็นแฟนกับหนุ่มรุ่นพี่ ส่วน ฉัน มีแฟนเป็นสาวโรงเรียนเดียวกันสมัยมัธยมฯ

เราจึงต้องแยกย้ายไป ‘เคลียร์ตัวเอง’ ให้เป็นกิจจะลักษณะ เพราะไม่ต้องการคบซ้ำคบซ้อนให้วุ่นวาย กลายเป็นที่ครหา 

ซึ่งเธอ ทำได้ไม่ยาก ภายในเวลาไม่นาน  

แต่ตัวฉัน บอกเลยแบบไม่อาย ต้อง ‘เสียเลือดเสียเนื้อ’ ไม่รู้เท่าไร กว่าจะปลดพันธะทางกายกับผู้หญิงคนนั้นได้ 

ระหว่างรอให้ฉันพร้อม ซึ่งใช้เวลาอยู่เป็นปี เธอ อดทนไม่ปริปากหรือทำกิริยาท่าทางน้อยอกน้อยใจอะไรให้เห็น 

อาจมีบ้าง ช่วงที่เราออกไปเที่ยวดื่มกินตามประสาวัยรุ่น เธอมักออกอาการซึมผิดปกติ เวลาที่ผับแถวหลังสวนเปิดเพลงของพี่ตู่ - นันทิดา ‘เขียนไว้ข้างเตียง’

อันที่จริง คนที่มีต้นทุนหน้าตา - รูปร่าง อย่างเธอ หากคิดจะหาแฟนช่วงเรียนมหา’ลัยนั้น ดูทรงแล้วไม่น่ายาก เพราะเธอนั้นมีดีกรีเป็นถึงนางแบบ - นางงาม ผ่านการประกวดมาแล้วไม่รู้กี่เวที 

เธอ บอกว่าที่ต้องรับจ๊อบเดินสายประกวดนั้น เพราะไม่อยากรบกวนทางบ้าน ได้เงินมาก็นำมาใช้ซื้อเสื้อผ้า จ่ายค่าเทอม กิน - เที่ยว และแบ่งให้น้อง ๆ ของเธอบ้าง

ตลอดเกือบ 4 ปี ที่เราเป็นแฟนกัน ฉันมักมีโอกาสไปช่วยแบ่งเบาภาระและเป็นกำลังใจให้เธอ เวลาไปประกวดนางงามตามเวทีต่าง ๆ 

และช่วงนี้เองที่บังเอิญได้รับรู้ว่า มีนางงามบางคน พร้อมจะ ‘เปิดดีลลับ’ กับบรรดาป๋า ๆ ผ่านทางพี่เลี้ยงนางงาม  

ประเภทเดินลงเวทีมาแล้ว ก็พากันไปกินข้าว - ฟังเพลง หรือจะไปทำอะไรกันต่อ ด้วยค่าตอบแทนที่สูงกว่าเงินรางวัลจากการประกวดเวทีนั้น ๆ เสียอีก

แต่สำหรับเธอแล้ว ไม่เคยมีเสียงซุบซิบนินทาเรื่องทำนองดังกล่าวลอยมาให้เข้าหู 

พวกพี่เลี้ยงนางงาม ที่ส่วนใหญ่เป็นพี่ ๆ กะเทยซึ่งสนิทกัน พูดอยู่เสมอ เธอของฉัน ไม่รับงานประเภทไปกินข้าวกับเสี่ย 

นั่นยิ่งทำให้ฉันรู้สึกรักและภูมิใจในตัวเธอมากยิ่งขึ้นไปอีก     

ราวปี 2535 เธอกับฉันขึ้นปี 4 พวกเราต้องออกไปฝึกงานตามหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ เป็นเวลา 3 เดือน 

ฉันได้ไปฝึกในสำนักงานนิตยสารวัยรุ่นฉบับหนึ่ง ซึ่งอยู่ละแวกบ้าน สะดวกต่อการเดินทาง 

ส่วนเธอ เลือกไปฝึกในบริษัทซึ่งไม่ค่อยตรงสายกับที่เรียนมา แต่เพราะมีค่าตอบแทนให้ระหว่างการฝึกงาน ทำให้เราต้องห่างกัน เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี 

และแล้ว ‘ลางร้าย’ ก็เดินทางมาถึง ฉันยังจำได้ดี

“นาฬิกาใหม่เหรอ ซื้อมาเมื่อไหร่เหรอ”

ฉันเอ่ยปากถาม ตอนเรานัดกินข้าวกันช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ 

“ออ เปล่า ๆ พอดีรุ่นพี่ที่ออฟฟิศเขาให้มา”

เธอตอบคล้ายขอไปที

ฉันฟังคำตอบแล้วถึงกับขมวดคิ้วสงสัย ทำไมรุ่นพี่ถึงใจดีขนาดนั้น เพราะแบรนด์นาฬิกาข้อมือเรือนดังว่า น่าจะหลายหมื่น แต่ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ เพราะดูเหมือนเธอจะให้ความสนใจกับอาหารตรงหน้ามากกว่า 

“รองเท้าใหม่เหรอ โห แพงนะยี่ห้อนี้” 

คือคำถามแรกที่ฉันนัดพบกับเธอในสัปดาห์ต่อมา คราวนี้เธอไม่ตอบว่าซื้อมาเอง หรือมีใครให้มาเหมือนคราวก่อน

แต่ทำหน้าเครียดขรึม ก่อนจะเอ่ยขึ้นเบา ๆ 

“เลิกกันเถอะ เราเจอคนที่เขาดูแลเราได้แล้ว” 

คนฟังอย่างฉันแทบไม่เชื่อหู แต่พักเดียวเท่านั้น ร่างกายก็ออกอาการ มือเท้าสั่น หัวใจเต้นแรง รู้สึกหายใจไม่ออก ตาพร่า ๆ เหมือนโดนทุบหัวด้วยสมุดหน้าเหลือง 

ตั้งสติครู่หนึ่ง ก่อนถามแค่คำเดียว สั้นๆ 

“ใคร”

“เขาเป็นรุ่นพี่ที่บริษัทที่ไปฝึกงาน อายุมากกว่า มีฐานะค่อนข้างมั่นคง และเราไม่อยากเดินสายประกวดหาเลี้ยงตัว - เลี้ยงน้องอีกแล้ว”

“ศักดิ์ศรีคนงาม ไม่ยอมไปกับเสี่ย หายไปไหนหมด” 

ฉันถามออกไปด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด ที่กลั่นออกมาจากอารมณ์ผิดหวัง เสียใจ โกรธ เกลียด ปนเปกันไปหมด ฃ

“มันไม่เหมือนกัน นี่เราจริงจังจะคบกับพี่เขา”

เธอขว้างเสียงตะโกนกลับมา ทั้งสีหน้าและแววตาในวันนี้ ไม่เหมือนคนที่ฉันเคยรัก...แม้แต่นิดเดียว

“แต่นี้จะหวังพึ่งใครไม่ได้อีก ถูกแล้วชีวิตต้องเดินต่อไป”

เพลงเศร้า ๆ กับเหล้าเข้ม ๆ ทำหน้าที่ปลอบประโลม ‘ทอมอกหัก’ ได้เป็นอย่างดี 

ฉันใช้ชีวิต ‘สังสรรค์’ อย่างหนัก กับเพื่อน ๆ ใหม่ในที่ทำงาน เป็นประจำแทบทุกค่ำคืน 

เมาเละขนาดต้องคลานเข้าห้อง นอนละเมอเรียกหาแต่ชื่อเธอคนนั้นอยู่หลายเดือน เป็นภาพน่าสมเพช ที่คนในครอบครัวเห็นกันตลอด 

จำได้ บ่ายวันนั้นฉันนอนแฮงก์อยู่บนห้องนอน เธอมาหาที่บ้าน สวัสดีแม่ ยิ้มแย้มทักทายพี่น้องของฉัน เล่นเอางงกันทั้งบ้าน 

เธอขอคุยกัน 2 คน ก่อนจะพรั่งพรูสะอึกสะอื้นออกมา แบบฟังแล้ว... แทบไม่เชื่อหู

“อยากขอโทษในสิ่งที่เกิดขึ้น เราไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตัดสินใจลงไปเลย มาเริ่มกันใหม่ได้ไหม”

แม้ในใจจะนึกลิงโลด แต่ไม่แน่ใจว่ามาไม้ไหน ฉันจึงเงียบไปพักใหญ่ ก่อนถามกลับไป 

“เริ่มกันใหม่แบบไหน เราถึงจะไม่เจ็บอีก” 

“ไปเช่าห้องอยู่ด้วยกันก่อนนะ ต่างคนต่างออกไปทำงาน พอเก็บเงินด้วยกันได้สักก้อน แล้วค่อยไปดาวน์บ้านของเราดีไหม”

เธอร่ายเป็นฉาก ราวคิดคำตอบมาแล้วเป็นอย่างดี

“เราจะช่วยกันสร้างครอบครัว ใช่ไหม”

คือ คำถามจากฉัน ซึ่งรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงตรงหน้า ต้องตอบกลับมาด้วยน้ำตาแห่งความปีติ และรอยจูบที่แสนจะดูดดื่ม 

......................................

เรา 2 คนพากันไปเช่าห้องอยู่ในซอยเดียวกับบ้านของฉัน ซึ่งสภาพไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย แค่พออยู่ได้ตามสภาพของมนุษย์เงินเดือนจบใหม่

และด้วยความตั้งใจอยากมี ‘สมบัติ’ ร่วมกัน ฉันเลยกัดฟันผ่อนทีวี 14 นิ้วมาประดับห้อง 

พอเดือนถัดมาก็ ‘ถอยวิดีโอ’ แต่ไม่ได้เอามาฉายดูหนังโป๊ที่กลาดเกลื่อนเมืองไทย อย่างที่นักร้องขวัญใจชาวเพื่อชีวิตเขาบอกไว้

ย่างเข้าเดือนที่ 3 ความสัมพันธ์ระหว่างเรา เริ่มมี ‘สัญญาณ’ แปลก ๆ แต่ไม่เหมือนกับครั้งที่ผ่านมา

ช่วงหัวค่ำ หลังเลิกงานวันหนึ่ง ฉันสังเกตเห็นเธอมีรถเก๋งเก่า ๆ คันหนึ่ง แล่นมาส่งที่หน้าห้องเช่า แต่ไม่มีอะไรผิดสังเกตอะไร 

อันที่จริง การกลับมา ‘เริ่มต้นกันใหม่’ ของเราครั้งนี้ บรรยากาศการอยู่ด้วยกันไม่ได้หวานชื่นมากมาย 

แต่ละวัน เธอดูขรึมกว่าปกติ ส่วนฉัน มักออกไปดื่มกับเพื่อน ๆ สัปดาห์ละ 3 - 4 วัน เป็นเพราะยังรู้สึก และ ‘อยากเมา’ ให้ลืม ‘แผลใหญ่’ ที่เพิ่งผ่านมา

เราใช้ชีวิตคู่ในห้องเช่าด้วยกันราวครึ่งปีเห็นจะได้ วันนั้น เธอชวนฉันออกไปกินข้าวนอกบ้าน มื้อใหญ่กันสักมื้อ 

หลังเครื่องดื่มหลักพร่องไปเกินครึ่งกลม เธอเริ่มชวนคุย

“ช่วงนี้พ่อกับแม่เริ่มมาเลียบ ๆ เคียง ๆ ถาม เมื่อไหร่จะแต่งงาน เมื่อไหร่จะมีลูก”

ฉันระเบิดเสียงหัวเราะ ก่อนบอกแนวประชด 

“เป็นหมัน ขอโทษด้วยนะ”

เธอไม่ยักขำกับมุกที่เพิ่งยิงไป ก่อนพรั่งพรูความในใจด้วยเสียงอ้อแอ้เต็มที

“เราเบื่อต้องตอบคำถามคนรอบข้าง เราอยากใช้ชีวิตเหมือนคนปกติ แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว เหมือนคนทั่วไปบ้าง”

พูดจบ เธอปล่อยโฮแบบไม่อายใคร ฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ก่อน ‘ร่วง’ ไปด้วยฤทธิ์น้ำสีอำพัน

ส่วนฉัน มือเท้าเย็นเฉียบ ต่อมน้ำตาเริ่มทำงาน และสมองสั่งการให้ตัดสินใจอะไรบางอย่าง

……………………………

เช้าวันรุ่งขึ้น เธอออกไปทำงานก่อนฉัน ทำกิจวัตรตามปกติ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“จงโบกโบย โผบิน แม้เหน็บหนาว ใช่ว่าเรา จะจากกัน นิรันดร์ไป”

ฉันเขียนประโยคซึ้ง จากบทเพลงของ ‘น้าหมู’ ไว้หลังรูปถ่ายของเรา วางไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง 

จากนั้นค่อย ๆ เก็บข้าวของใส่กระเป๋าเดินทาง ก่อนเดินไปถอดปลั๊กทีวี 14 นิ้ว ที่ผ่อนเองจนหมดแล้ว แบกกลับบ้าน ซึ่งอยู่ห่างจากห้องเช่าไม่เกินครึ่งกิโลฯ แต่เพราะแขน - ขามันอ่อนแรง กว่าจะเดินได้แต่ละก้าว เลยรู้สึกว่าระยะทางมันช่างยาวไกลเหลือเกิน

อีกราว 50 เมตรจะถึงบ้าน พลันเกิดอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เป็นอุบัติเหตสุด Classic ของชาว กทม. 

“เฮ้ย! ใครก็ได้ ช่วยเอากูกับทีวีขึ้นไปที กูตกท่อ”

ฉันตะโกนสุดเสียง ก่อนจะปล่อยโฮลั่น แบบไม่อายใคร

ประเทศไทย พุทธศักราช 2567 

เรื่องราวของฉันกับเธอ ผ่านมานานเกิน 30 ปีแล้ว แม้ช่วงร้างลากันแรก ๆ ฉันจะรู้สึกเสียใจจนไม่อยากเห็นหน้าเธอเลยก็ตาม 

แต่ทุกวันนี้ เราพอจะเป็นเพื่อนกันได้ และมีโอกาสได้พบเจอกันบ้าง ตามงานสำคัญ ๆ ของเพื่อนสนิท 

วันก่อน เราไปร่วมงานเผาศพแม่เพื่อนสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนพบหน้ากัน จึงถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามสมควร 

เธอพาลูกสาวคนเล็กมาด้วย ฉันชวนคุย เลยรู้ว่าเพิ่งจบปริญญาตรี ส่วนลูกสาวคนโตมีการมีงานทำแล้ว 

ฃและด้วยความที่เราไปถึงวัดเร็ว จึงทำให้ต้องนั่งรอค่อนข้างนานกว่าพิธีการจะเริ่ม ลูกสาวที่เธอพามาด้วย จึงขออนุญาตไปนั่งรอในรถกับคุณพ่อ

ฉันมองตามลูกสาวของเธอเดินไปที่รถ ทำให้มองเห็นผู้ชายวัยกลางคนเดินลงมาจากรถ ก่อนเดินอ้อมไปประตูรถด้านข้างคนขับให้กับลูกสาวของเขา ด้วยท่าทางอ่อนโยน 

อันที่จริง ฉันเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อนแล้ว ตั้งแต่เมื่อ 35 ปีที่แล้ว 

ก็ตอนที่เขาขับรถเก๋งคันเก่า ๆ มาส่งเธอ ที่ ‘หน้าห้องเช่าของเรา’ นั่นเอง

 

เรื่อง: ศาลาริมทาง

ภาพ: Pexels