เมื่อครูประจำชั้นเขียนในสมุดพกว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’

เมื่อครูประจำชั้นเขียนในสมุดพกว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’

เรื่องราวของ เด็ก ป.3 ที่ครูประจำชั้นตีตราด้วยการเขียนในสมุดพกว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’

เด็ก ป.3 คนหนึ่งจะรู้สึกอย่างไร เมื่อครูประจำชั้นเขียนในสมุดพกว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’

ด้วยลายมือสวยงามประหนึ่งประกวดคัดลายมือ ที่ครูบรรจงเขียนความคิดเห็นถึงนักเรียนในชั้นทุกคน ทีละคนด้วยความเอาใจใส่ ประกอบผลการเรียนแล้วแจกให้ผู้ปกครองในวันรับสมุดพก ก่อนลาจากกันหลังปิดภาคเรียนที่ 2 เพื่อส่งต่อขึ้นชั้น ป.4 ในอีกไม่กี่เดือน เพื่อนหลายคนอาจจะโดนพ่อแม่ตำหนิเรื่องผลการเรียนที่ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง หรือเรื่องความประพฤติต่าง ๆ ในชั้นเรียนตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมา

แต่สำหรับฉัน ที่ผลการเรียนมีตัว A กำกับในทุกช่องทุกรายวิชา และทุกประโยคที่ลายมือสวย ๆ นั่นเขียน บรรยายสรรพคุณไว้อย่างเลิศหรูก่อนหน้าทั้ง ‘ตั้งใจเรียน’ ‘ชอบช่วยเหลือครูและเพื่อน ๆ อยู่เสมอ’ ‘มีสัมมาคารวะ’ หรือ ‘มีความประพฤติเรียบร้อย’ แต่คุณงามความดีทั้งหลายที่ฉันตั้งใจทำมาตลอดสองเทอมกลับถูกกลบลงหลุมด้วยสิ่งที่ฉันไม่ได้ตั้งใจ หรือแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าครูสังเกตเห็น ที่บรรทัดสุดท้าย 

‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’

นี่คือระเบิดลูกใหญ่ที่ครูทิ้งใส่เด็ก ป.3 คนหนึ่ง และชีวิตฉันก็ไม่เหมือนเดิมอีกเลยหลังจากนั้น

ย้อนกลับไปเมื่อปลายยุค 90s ทุกคนกำลังตื่นเต้นกับการเตรียมตัวเข้าสู่สหัสวรรษใหม่ วัฒนธรรม pop เบ่งบานอย่างที่สุดในช่วงห้วงเวลานั้น กล่องดินสอสองชั้น ตุ๊กตากระดาษ เทปล้านตลับ กางเกงขากระดิ่ง รองเท้าส้นตึก ทามาก็อตจิ และที่เป็นกระแสอย่างยิ่งคืออนิเมะแนวโชโจะทั้งหลาย อย่าง เซเลอร์มูน เมจิก ไนท์เรย์เอิร์ธ เวดดิ้งพีช หรือแม้แต่บูรินหมูอวกาศ ทุกเรื่องมีตัวเอกเป็นผู้หญิงแล้วมีฉากแปลงร่างที่น่าจดจำ

ตอนนั้นเด็กที่โตมาในยุค binary only อย่างฉัน ยังไม่มีคำนิยามตัวตนให้ว่าเป็นอะไร อวัยวะขับถ่ายและคำนำหน้าชื่อเด็กชาย สอนให้ฉันต้องใส่กางเกง เล่นหุ่นยนต์ มีรถแข่งทามิย่า และต้องชอบสีน้ำเงิน แต่สีชมพูหวานแหวว ความรักไร้เดียงสาของสาวแรกรุ่นและกระโปรงหลากสีสันนั่นมันช่างเร้าใจฉันจนต้องรีบแหกขี้ตามารอช่อง 9 การ์ตูนทุกเช้าเสาร์ - อาทิตย์ รู้ตัวอีกทีฉันก็ลุกขึ้นยกแขนยกขาทำท่าแปลงร่างพร้อมอัศวินเซเลอร์ในทีวีเสียแล้ว

โรงเรียนเคยเป็นสถานที่ปลอดภัยสำหรับฉัน โชคดีที่ฉันสนุกกับการเรียน ผลการเรียนของฉันเลยออกมาดีเสมอ ได้รับคำชมจากครูทุกวิชาในเรื่องของการกล้าตอบคำถาม โดยเฉพาะครูประจำชั้น ป.3 ที่สอนวิชาเลข ที่เรียกฉันออกไปให้ทำโจทย์บนกระดานดำบ่อย ๆ ฉันทำอะไรเพื่อนก็เห็นดีเห็นงามไปหมด นั่นทำให้ฉันสบายใจกับทุกคน ทั้งเพื่อนและครู และคงเป็นบ่ายนั้นกระมัง บ่ายที่ครูประจำชั้นขอตัวแทนไปแสดงความสามารถพิเศษหน้าชั้นเรียน เพื่อส่งให้โรงเรียนคัดเลือกไปสมัครเป็นแฟนต้ายุวทูต 

ครูรบเร้าอยู่สองนานแต่ไม่มี ใครอาสา จนสุดท้ายมือเล็ก ๆ ของฉันก็ชูขึ้น บอกครูและเพื่อนว่าฉันร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นได้ มันเป็นเพลง Moonlight Densetsu ที่ฉันไฮป์มากจนฝึกร้องตามวิดีโอที่ยืมมาเปิดวนซ้ำจนเข้าปากทุกคำเหมือนต้นฉบับ 

ฉันออกไปร้องอย่างมั่นใจ พร้อมกับยกขาทำท่าแปลงร่างประกอบปิดท้าย มันเรียกเสียงปรบมือและฮือฮาจากเพื่อน ๆ อย่างที่ฉันคาดไว้ เพียงแต่สุดท้าย ครูตัดสินใจไม่ส่งฉันไปเป็นแฟนต้ายุวทูต ฉันแน่ใจว่าครูเรียกการแสดงครั้งนั้นว่าเป็น พฤติกรรมตุ้งติ้ง’
 

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทันทีหลังได้สมุดพก ไม่มีใครในบ้านเอ่ยปากชมผลการเรียนดีเลิศเหมือนอย่างเคย ไม่มีรางวัล ไม่มีขนม ไม่มีอะไรเลย ทั้งบ้านออกจะเงียบเกินไปจนฉันอึดอัด จนเช้าวันต่อมาที่ฉันแหกขี้ตามารอช่อง 9 การ์ตูนเหมือนเช่นเคย กลับมีผู้ใหญ่นั่งรออยู่ที่โซฟาแล้ว แย่งรีโมตฉันไปแล้วเปลี่ยนช่องไปให้ฉันดูละครจักร ๆ วงศ์ ๆ ยิงยาวไปถึงหนังดังวันเสาร์

การ์ตูนแปลงร่างไม่เคยถูกเปิดในบ้านหลังนั้นอีกเลย เทปล้านตลับของศิลปินหญิงทุกม้วนถูกเก็บเอาไปทิ้งต่อหน้าต่อตา ในบ้านได้ยินแต่เสียงเพลงร็อกและเพื่อชีวิต ฉันได้ฟังแต่ โลโซ คาราบาว พลพล ลาบานูน และไท ธนาวุฒิ ซึ่งเพลง ‘ประเทือง’ ถูกเร่งเสียงขึ้นทันทีที่ mv เพลงนี้เวียนมาฉายในรายการเพลง ลุงป้าน้าอาลูกพี่ลูกน้องในบ้านพากันแผดเสียงร้องท่อนฮุคอย่างสนุกสนาน แล้วหันมองมาทางฉัน ฉันเกลียดเพลงประเทืองแต่นั้นเป็นต้นมา

ฉันชื่อ ‘ประเสริฐศักดิ์’ ไม่ใช่ ‘ประเทือง’ แต่ทุกคนเรียกฉันอย่างนั้น ทั้งคนในบ้าน คนแถวบ้าน และหลายคนที่โรงเรียน พอเปิดเทอมขึ้นชั้นใหม่ โรงเรียนกลับไม่ใช่สถานที่ปลอดภัยของฉันอีกต่อไป…

แรกเลยคือเพื่อนสนิทผู้ชายคนเดียวของฉันถูกย้ายโรงเรียนกะทันหันโดยไม่บอกไม่กล่าว เราสนิทกันมาก และเขาทำให้ฉันอยากไปโรงเรียนทุกวัน ตอนนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่า ‘ความรัก’ แต่เมื่อถูกพรากไป ความรู้สึกหนัก ๆ ก็ถาโถมมาใส่ฉัน ครูคนใหม่เหมือนจะพูดถึง ‘พฤติกรรมตุ้งติ้ง’ ของฉันหน้าชั้นอย่างเปิดเผย ราวกับว่าเป็นพฤติกรรมเลวร้ายที่ไม่อยากให้นักเรียนคนอื่นเอาเยี่ยงอย่าง 

ฉันกลายเป็นตัวตลกแทนที่การยกย่องชื่นชม

ฉันได้แต่สงสัยว่าทำไมครูคนใหม่ถึงได้รู้จักฉันดีทั้งที่ไม่เคยเจอกัน คำว่า ‘พฤติกรรมตุ้งติ้ง’ มันถูกเขียนในสมุดพก ซึ่งมีแค่ฉัน พ่อ แม่ และครูคนเดิมที่รู้ไม่ใช่เหรอ? มีเหตุผลเดียวที่ฉันคิดว่าจะเป็นไปได้ คือครูทุกคนเตือนให้เฝ้าระวังพฤติกรรมตุ้งติ้งของฉัน เหมือนเป็นโรคที่อาจจะติดต่อไปถึงนักเรียนคนอื่น ฉันรู้สึกแปลกแยกจากทุกคนในห้องทันที ฉันไม่กล้ายกมือตอบคำถาม ไม่กล้ามีความคิดเห็น ไม่กล้าทำตัวเด่น และฉันเกลียดวิชาเลขนับตั้งแต่ตอนนั้น ฉันอยากรีบกลับบ้าน แต่บ้านก็ไม่ใช่ที่ที่ฉันอยากอยู่เช่นกัน 

ฉันคิดถึงแต่เพื่อนสนิทคนนั้น เลยปั่นจักรยานหลายกิโลเมตรไปบ้านเขาเพราะเราเคยไปมาหาสู่กันอยู่บ่อย ๆ แต่วันนั้นประตูรั้วกลับไม่เปิดให้ฉันเข้าไป เป็นแม่ของเขาที่รีบออกมาแจ้งว่าเขายังไม่กลับบ้าน ทั้งที่ฉันเห็นรองเท้าเขาถอดอยู่หน้าประตู ฉันคอตก ปั่นจักรยานกลับถึงบ้าน น้าของฉันที่ยืนรออยู่แล้วก็ดุฉัน บอกสั้น ๆ แค่ว่า “บ้านนั้นโทรฯ มา บอกไม่ต้องไปบ้านนั้นอีก”

ฉันถูกพรากความสุขทุกอย่างออกไปจากชีวิต ยิ่งเพลงประเทืองดังไปทั่วประเทศเท่าไร เด็กชายประเสริฐศักดิ์ยิ่งต้องทำตัวให้เงียบไร้ตัวตนเท่านั้น ไม่มีอีกแล้วช่อง 9 การ์ตูน ไม่มีอีกแล้วเทปของทาทาและบาซู ไม่มีเพื่อนสนิท ไม่มีแม้กระทั่งเพื่อนสักคนที่จะเล่นด้วยตอนพักเที่ยง ฉันได้แต่เก็บตัวในมุมเล็ก ๆ ของห้องสมุด โรงเรียน และป่วยบ่อยขึ้นเพื่อที่จะนอนอยู่ในห้องพยาบาล ตัวตนใหม่ของเด็กประถมปลายกลายเป็นคนขี้โรค แทนที่จะมีพฤติกรรมตุ้งติ้ง 

แน่นอนว่าผลการเรียนของฉันแย่ลงเรื่อย ๆ เหลือเพียงไม่กี่วิชาที่ฉันยังทำได้ดี หนึ่งในนั้นคือวิชาภาษาอังกฤษ ฉันมีความสนใจเรื่องภาษาต่าง ๆ อยู่เสมอ ก่อนหน้านี้คือภาษาญี่ปุ่นตอนดูการ์ตูน นิสัยการพูดตามและเลียนเสียงตามทีวี ส่งมาถึงภาษาอังกฤษด้วย น้าชายคนหนึ่งของฉันชอบเช่าวิดีโอหนังซาวนด์แทร็กมาดู ตอนที่ทุกคนไม่อยู่บ้าน ฉันก็แอบเปิดหนังที่น้ายืมมาจากร้านเช่าและยังไม่เอาไปคืน 

แน่นอนว่าสมัยนั้นยังไม่มีการเซนเซอร์ใด ๆ ทุกคนอนุญาตให้ฉันดูฉากวาบหวามร้อนเร่าได้เต็มที่ แต่กลับห้ามไม่ให้ฉันดูอะไรที่เป็นผู้หญิงมากเกินไป ฉันจำสำเนียงการพูดจากหนังเหล่านั้นไปพูดในห้องเรียนวิชาภาษาอังกฤษอย่างมั่นใจ แต่ทุกคนในห้องกลับหัวเราะครืน และเป็นครูสอนภาษาอังกฤษนั่นเอง ที่บอกว่าสำเนียงการพูดอังกฤษตามเจ้าของภาษาของฉัน คือ ‘พฤติกรรมตุ้งติ้ง’ ฉันไม่กล้าพูดภาษาอังกฤษอีกเลย และฉันเกลียดวิชาภาษาอังกฤษนับตั้งแต่ตอนนั้น

ชีวิตประถมจบไปอย่างน่าผิดหวังในสายตาของคนที่บ้าน ทั้งผลการเรียนยอดแย่และพฤติกรรมตุ้งติ้งที่ยังติดตัวอยู่ ทั้ง ๆ ที่ฉันระวังทุกก้าวไม่ให้แสดงกิริยาอะไรมากเกินไป แต่เหมือนคนในบ้านก็ยังไม่ไว้วางใจ ก็พวกนักวิชาการทั้งหลายในข่าวในทีวีนั่นแหละ ที่ขยันออกมาให้สัมภาษณ์ว่า พฤติกรรมตุ้งติ้งของฉันเป็นผลมาจากอิทธิพลของสื่อและสภาพแวดล้อม และคนในบ้านก็ดันไม่มีคนเป็นอย่างฉันเลยสักคน ฉันเลยถูกห้ามไม่ให้เดินเข้าใกล้บ้านพี่สาวชาวเราที่ทุกคนมองว่าเป็นตัวของตัวเองมากเกินไป ห้ามไม่ให้ไปเล่นสุงสิงกับลูกของเพื่อนบ้านในซอยที่ดูเหมือนจะเริ่มแสดงพฤติกรรมตุ้งติ้งเหมือนกัน ซึ่งฉันก็พอรู้ว่าเขาเองก็ถูกพ่อห้ามไม่ให้มาเล่นกับฉันเหมือนกัน 

ฉันถูกตัดขาดออกจากทุกอย่างที่ฉันชอบ วันคืนหมดไปกับหนังสือทุกเล่มในบ้าน หนังสือเรียน หนังสือความรู้รอบตัว ปทานานุกรม ตำราพรหมชาติ ฉันพอได้หัวเราะคนเดียวบ้างกับขายหัวเราะ มหาสนุก แต่ก็หัวเราะไม่ออกกับบางมุกที่ปรากฏอยู่ในนั้น ฉันรู้สึกว่าการ์ตูนบางช่องกำลังล้อเลียนฉัน คนทั้งโลกคงหัวเราะกับอะไรแบบนี้กันอย่างเปิดเผย เพียงแต่ฉันขำไม่ออก พวกเราไม่มีใครขำออก

ใครสักคนในทีวียังเอาแต่พร่ำบอกพ่อแม่ฉันว่า พฤติกรรมตุ้งติ้งเป็นสิ่งที่รักษาหายได้ แน่นอนว่าพวกเขาก็พยายามตามคำบอกเลื่อนลอยของคนเหล่านั้น พยายามทั้งที่ไม่เข้าใจและไม่รู้ พยายามด้วยความรักและความกลัว ลูกบอลและอุปกรณ์กีฬาสารพัดชนิดถูกยื่นมาให้ ฉันคอพับคออ่อนตอนนั่งเชียร์บอลกับพ่อและน้าจนถึงดึกดื่น ออกไปชงเหล้าให้พ่อกับกลุ่มเพื่อนที่พ่นควันบุหรี่เหม็น ๆ ใส่ผุย ๆ ได้รับของขวัญเป็นปืนอัดลม หุ่นยนต์ และรถแบคโฮ มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ที่สอนให้ขี่แทนที่จักรยานสีสันสดใส 

ที่หนักที่สุดคืองานบ้านทุกอย่างที่ต้องรับผิดชอบในฐานะลูกหลานผู้ชายคนเดียวของบ้าน แม้ฉันจะทำตามผู้ใหญ่สั่งอย่างไม่เคยปริปากบ่นด้วยเข้าใจ ความหวังดีที่อยากจะให้ฉันกลับมาเป็นปกติเหมือนอย่างที่คนในทีวีบอก หลายอย่างเปลี่ยนแปลงให้เห็นชัดเจน อย่างส่วนสูงและลูกกระเดือก แต่นอกจากความเหนื่อยล้าและเหนื่อยหน่ายฉันกลับไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงภายในตัวเองแม้แต่น้อย 

พ่อแม่ของฉันก็เช่นกัน ในสายตาของพวกท่านพฤติกรรมตุ้งติ้งยังสลัดไม่หลุดนับตั้งแต่วันที่ปรากฏบนสมุดพก เย็นวันน่าอึดอัดเย็นหนึ่งในเทอมแรกของชั้นมัธยม แม่ของฉันก็เอ่ยปากออกมาตรง ๆ “เลิกเป็นแบบนี้ให้แม่ได้ไหม” เย็นนั้นฉันได้แต่ร้องไห้ หนึ่งคือรู้สึกผิดที่ทำให้แม่เสียใจ และสองคือรู้สึกสับสนที่ยังไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไร

ฉันรับปากแม่และเริ่มต้นใหม่ในชั้นมัธยมต้น ฉันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากดึงเอาความดีงามทั้งหลายที่ฉันเคยทำได้กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้มันไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเต็มใจ ฉันฝืนใจถูกบังคับให้ทำอย่างไม่มีเป้าหมาย ฉันแสร้งเป็นเด็กตั้งใจเรียน ชอบช่วยเหลือครูและเพื่อน ๆ อยู่เสมอ มีสัมมาคารวะ หรือมีความประพฤติเรียบร้อย คำทุกคำปรากฏขึ้นอีกครั้งบนสมุดพก ข้าง ๆ ผลการเรียนมีตัว 4 กำกับในเกือบทุกช่องเกือบทุกวิชา ยกเว้นแต่เลขและภาษาอังกฤษ 

ฉันสอบได้อันดับหนึ่งของชั้นเรียนในเทอมนั้น นั่นเรียกรอยยิ้มแห่งความภาคภูมิใจกลับมาปรากฏบนใบหน้าของแม่ได้บ้าง แต่ฉันกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ตัวตนที่ถูกซ่อนไว้กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมานในร่างกายของเด็กชายที่สมบูรณ์แบบเพียบพร้อม เหมือนแก้วกระเบื้องเคลือบที่มองผ่าน ๆ อาจจะงดงามเลอค่า แต่หากเพ่งพิจารณาใกล้ ๆ จะเห็นรอยร้าวขนาดใหญ่ ที่หากสะกิดแค่ครั้งเดียวก็พร้อมจะแตกออกมาเป็นเสี่ยง ๆ และสิ่งที่มาสะกิดฉันในตอนนั้นก็คือ ‘ความรักครั้งแรก’

ในวัยที่กำลังเบ่งบานด้วยพายุการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน สิวเม็ดแรกขึ้นมาพร้อมกับความรักครั้งแรก ฉันโง่เขลาเช่นเดียวกับคนอื่น ๆ ในยามที่หัวใจและอารมณ์เป็นนายแทนสมองและเหตุผล ภาพพจน์กระเบื้องเคลือบแตกออกทันทีเมื่อฉันเผลอแสดงความรักออกไปเหมือนกับเด็กวัยรุ่นทั่วไป ฉันเห็นตัวเองชัดขึ้นพอกับความเป็นไปไม่ได้ทั้งหลายที่ดูเหมือนจะชัดเจนยิ่งกว่า ความรักในวัยมัธยมของฉันพังถล่มลงมาตั้งแต่ที่ฉันยังไม่ได้เริ่มก่อร่างสร้าง ฉันรีบถอยหัวใจออกมาก่อนที่จะตกหลุมแห่งความเป็นไปไม่ได้ที่ขุดดักรออยู่เต็มไปหมด 

หลุมแรกคือความเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะชอบฉันเหมือนที่ฉันชอบเขา เราเหมือนกันเกินไปในแง่ของอวัยวะใต้ร่มผ้า และคำนำหน้า หลุมที่สองคือความเป็นไปไม่ได้ของกฎหมายอะไรก็ตามในประเทศนี้ ไม่เคยมีคู่ไหนอยู่ด้วยกัน เป็นโรลโมเดลพิสูจน์ความเป็นไปได้ให้เด็กอย่างฉันเห็น และหลุมสุดท้ายที่เหมือนจะมีอิทธิพลมากที่สุด คือคนใหญ่คนโตคนมีอำนาจคนหนึ่งออกมาด่าและแบนละครเรื่องหนึ่งที่ตัวละครชายสองคนสนิทกันมากเกินไป 

“อาจชักจูงเยาวชนมีพฤติกรรมเลียนแบบให้เบี่ยงเบนทางเพศ” 

คนใหญ่คนโตคนนั้นประกาศกร้าวออกทีวี กลางรายการคุยข่าวที่มีคนดูทั่วประเทศ ฉันก็ดู พ่อแม่ฉันก็ดู และแน่นอนคนที่ฉันแอบชอบก็คงดูด้วย ท่าทีห่างเหินปรากฏขึ้นระหว่างฉันกับเขาหลังจากนั้นเสียงซุบซิบนินทาลอยตามลมมาให้ฉันได้ยินจากใครก็ตามที่มองออกว่าฉันคิดอะไรกับเขา กระเบื้องแตก ๆ ของฉันจมลงไปในทะเลน้ำตา น้ำตาที่ร้องออกมาให้ใครเห็นไม่ได้แม้แต่ตัวเอง และดูเหมือนเหตุการณ์นั้นจะทำให้ทุกคนในโรงเรียนเห็นพฤติกรรมตุ้งติ้งของฉันอีกครั้ง เพียงแต่บรรทัดสุดท้ายที่ปรากฏบนสมุดพกกลับแปลงร่างใหม่ เป็นคำว่า ‘มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ’ ตามคำที่คนใหญ่คนโตคนนั้นพูดในทีวี

ฉันเชื่ออย่างสุดใจว่าสื่อมีผลต่อความคิดของคน เพียงแต่ไม่เคยเชื่อว่าสื่อจะทำให้ทุกคนกลายเป็นอย่างฉันได้เหมือนที่หลายคนกลัว ผลจากการออกมาแบนพฤติกรรมนั้นออกสื่อ รังแต่จะทำให้คนอย่างฉันใช้ชีวิตได้ยากขึ้น ความเกลียดชังและการเลือกปฏิบัติกระจายไปทั่วทุกที่ มีการโยงพฤติกรรมนี้กับโรคติดต่อที่ไม่มีทางรักษา โยงกับบาปหนาของศาสนาต่าง ๆ โยงกับกรรมหนักของการไม่ยับยั้งชั่งใจที่ติดตัวมาจากชาติที่แล้ว โยงกับทุกสิ่งทุกอย่างที่หาเหตุผลมาเพิ่มเพื่อมารังเกียจคนอย่างฉันได้อย่างสนิทใจ 

ฉันได้ข่าวอันน่าอึดอัดทั้งหลายมาโดยตลอดในทุกขวบปีที่ฉันเติบโตขึ้นมา ถุงเลือดที่ถูกคัดออกทันทีเมื่อซื่อสัตย์ติ๊กช่องระบุตัวตนว่าตัวเองเป็นอะไร หินที่ถูกปาใส่ตามกฎหมายร้ายแรงของบางประเทศ หน้าที่การงานที่ถูกแช่แข็งหากแสดงความเป็นตัวเองมากเกินไป หรือนักกีฬาที่ถูกทีมขับไล่เมื่อออกมาประกาศตัวต่อหน้าสาธารณชน เรื่องแบบนี้ปรากฏอยู่ทั่วทุกมุมโลก

ฉันได้แต่สงสัยว่า แต่ละวัน แต่ละชั่วโมง มีเด็กชายกี่คนกันที่ต้องหลบซ่อนอยู่ในภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบตามที่สังคมคาดหวังเหมือนฉัน มีเด็กชายกี่คนที่โดนคนในครอบครัวลงมือทำร้ายร่างกายจนเลือดตกยางออก มีเด็กชายกี่คนที่โดนความไม่เข้าใจปาหินเข้าใส่จนถึงแก่ชีวิต และมีเด็กชายกี่คนที่นั่งมองบัตรประชาชนใบแรก พร้อมคำนำหน้าใหม่ที่ห่างไกลจากวิญญาณข้างในแบบสุดกู่ ฉันและเด็กชายเหล่านั้นไม่เคยมีตัวตนในโลกใบไหนเลย ทั้งในโลกมนุษย์ และโลกทางกฎหมาย

ฉันผ่านระดับมัธยมต้นมาในร่างกายที่สมบูรณ์แต่จิตวิญญาณที่แคระแกร็น พฤติกรรมตุ้งติ้งไม่เคยจากฉันไปไหน แม้ฉันจะพยายามปกปิดอย่างหนักแล้วก็ตาม วัยมัธยมปลายฉันเริ่มไม่แคร์เสียงนินทาไล่หลัง เริ่มช่างมันกับเสียงค่อนแคะของครูบางคนที่ยังตั้งแง่กับเพื่อนที่ทาหน้าขาวจนเกินงามหรือพูดสำเนียงภาษาอังกฤษชัดเจนจนเกินไป ฉันจะไม่ยุ่งกับใครถ้าไม่มีใครมายุ่งกับฉัน

พ่อแม่ที่บ้านเลิกตั้งความหวังกับฉันไปนานแล้ว พวกเขาคงคิดว่าต่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยคณะดี ๆ ได้ สุดท้ายฉันก็คงถูกผู้ชายหลอกแล้วกระโดดสะพานจบชีวิตตัวเอง เหมือนภาพจำจากละครสักเรื่องที่ฉายภาพนี้ซ้ำ ๆ จนพวกเขาฝังหัว ภาพจำไม่กี่อย่างที่ฉันเห็นตัวเองในหน้าจอ ตัวตลกให้คนอื่นบูลลี่เอาเสียงหัวเราะ จุดจบถ้าไม่ถูกผู้ชายหลอกก็ต้องตายเพราะไม่สมหวังในรัก

ไม่มีละครสักเรื่องฉายภาพพวกเราประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่มีข่าวสักข่าวรายงานถึงครอบครัวของพวกเราที่สมบูรณ์สุขสันต์ ไม่มีคนดังของพวกเราสักคนที่มีหน้ามีตาในสังคมเป็นที่เคารพนับถือ ไม่มีผู้นำประเทศสักประเทศเป็นพวกเราอย่างเปิดเผย อนาคตของเด็ก ม.ปลายอย่างฉันที่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อช่างดูมืดมนไปทุกทางเมื่อคิดถึงอนาคต นอกจากจะถูกบังคับให้ตัดสินใจเลือกอาชีพจากคณะที่ต้องสอบเข้าแล้ว ยังต้องคิดอีกว่าคณะนั้นจะรับได้กับพฤติกรรมตุ้งติ้งที่ติดตัวมาตั้งแต่เด็กได้ไหม อาชีพการงานแบบไหนที่ไม่ต้องหลบซ่อนอีกต่อไป

ก่อนสอบฉันก็ไปปรึกษาครูแนะแนวเหมือนกับเด็ก ม.ปลายที่สับสนคนอื่น ๆ ฉันลองยื่นใบทดลองเลือกคณะให้ครูแนะแนวดู โดยเลือกคณะนิเทศฯ มหาวิทยาลัยชื่อดังมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะฉันคิดมาดีแล้วว่าหนทางนั้นน่าจะนำความสุขมาให้ และตั้งใจที่จะผลิตสื่อที่มีเรื่องราวของชาวเราเพื่อสร้างความเข้าใจในสังคมให้มากขึ้น อุดมการณ์ฉันแรงกล้า เพียงแต่ครูแนะแนวคนนั้นบอกฉันว่า ผลการเรียนดีขนาดนี้ทำไมไม่เลือกคณะที่คนอื่นเขาอยากเรียนกัน ทั้งยังจับไหล่ฉันแล้วพูดคำแปลก ๆ อย่าง

“ชาตินี้เกิดมาเป็นอย่างนี้เพราะชาติที่แล้วทำกรรมมา ชาตินี้เลือกอาชีพที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นแก้กรรมเถอะนะ”

และครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันไปปรึกษาครูแนะแนว เมื่อไหร่ฉันถึงจะหนีเรื่องบ้า ๆ นี้พ้นสักที

ฉันเข้ามหาวิทยาลัยตามแรงส่งของคะแนนสอบโควตา ซึ่งฉันตัดสินใจเลือกเองในนาทีสุดท้าย ชีวิตใหม่ในรั้วมหาวิทยาลัยมาพร้อมความผ่อนคลายของสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้น ฉันได้เจอกับผู้คนมากมายหลากหลาย รวมทั้งเพื่อน ๆ อีกหลายคนที่ผ่านเรื่องราวในหน้าสมุดพกมาไม่ต่างกัน ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ครูเขียนลงในสมุดพกว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’ บางคนที่โชคร้ายกว่าฉันเจอถ้อยคำที่แรงกว่านั้นและประสบการณ์ที่แย่กว่าฉันหลายเท่าตัว ทุกคนแบ่งปันเรื่องราวให้แก่กัน เยียวยาและเข้าใจกัน 

อย่างน้อยที่สุด ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ว่าตัวเองไม่ได้สู้กับความกลัวและความไม่รู้อย่างโดดเดี่ยว การบอกเล่าและการรับฟังช่วยพวกเราได้มาก ถึงฉันไม่ได้ทำสื่ออย่างที่เคยตั้งใจ แต่ก็มีพวกเราอีกมากมายออกมาบอกเล่าเรื่องราวของพวกเขา ฉันเห็นตัวฉันเองในสื่อที่หลากหลายมากขึ้นเรื่อย ๆ 

‘สตรีเหล็ก’ เป็นหนังเรื่องแรกที่กล้ามีพวกเราเป็นตัวละครเด่น และความสำเร็จนั้นเอง ที่ทำให้เรื่องราวของพวกเรามีโอกาสในพื้นที่สื่อมากขึ้น จากความตลกสนุกสนาน นำไปสู่การยอมรับ และเคารพตัวตนของพวกเราในฐานะคนคนหนึ่ง มนุษย์ธรรมดาที่มีเลือดเนื้อมีหัวใจ รักเป็นและเจ็บเป็น

ความเข้าอกเข้าใจที่สื่อต่าง ๆ พยายามนำเสนอในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่รายการเล่าข่าว สารคดีชีวิต หนัง นวนิยาย เรื่องสั้น ซีรีส์วาย ไปจนถึงละครคุณธรรม อย่างน้อยพอสังคมวงกว้างเห็นว่าเรามีตัวตน ไม่ได้แอบซ่อนหลบลี้เหมือนที่ผ่านมา เสียงเรียกร้องเรื่องต่าง ๆ ของเราเลยดังขึ้นเรื่อย ๆ สังคมเริ่มถกเถียงประเด็นแหลมคมต่าง ๆ ที่พวกเราเป็นคนเปิดประเด็น ทั้งการสมรสเท่าเทียม แก้ไขคำนำหน้าชื่อ ความเท่าเทียมและความหลากหลายทางเพศ การต่อต้านการบูลลี่ในโรงเรียน หลายคนเรียนรู้ที่จะรับฟังและเข้าใจพวกเรามากขึ้น 

ตัวอย่างที่ฉันเห็นได้ชัดที่สุดคือครอบครัวฉัน แม่ไม่ขอร้องฉันให้หยุดสิ่งที่ฉันเป็นอีกแล้ว เช้าเก้าโมงวันเสาร์ เรานั่งดูภาพยนตร์ ‘สตรีเหล็ก’ ที่ถูกนำมารีรันบนโซฟาพร้อมกันทั้งครอบครัว ทุกคนหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน เพียงแต่เป็นการหัวเราะบทและสถานการณ์คอมเมดี้ในเรื่อง ไม่ได้หัวเราะในพฤติกรรมของตัวละคร หรือหัวเราะเยาะฉัน เหมือนที่เคยทำกับฉันตอนเด็ก

นั่นทำให้ชีวิตของฉันดีขึ้น ชีวิตของน้อง ๆ ในโรงเรียนปลอดภัยขึ้น ชีวิตของพวกเราในประชาคมโลกถูก มองเห็นมากขึ้น โลกมนุษย์และโลกทางกฎหมายอนุญาตให้ฉันและทุกคนในโลกได้ขึ้นมายืนบนผืนดินเดียวกันได้อย่างเท่าเทียม ฉันเริ่มเห็นผู้นำชาติต่าง ๆ ที่ออกมายอมรับว่าเป็นเกย์อย่างเปิดเผย นักกีฬาชาวเราไม่ถูกเพื่อนร่วมทีมขับไล่และช่วยทีมให้ได้แชมป์ในปีนั้น คู่แต่งงานเพศเดียวกันจัดงานแต่งอย่างยิ่งใหญ่อลังการ มีแขกเหรื่อไปร่วมแสดงความยินดีมืดฟ้ามัวดิน มูลนิธิและองค์กรระหว่างประเทศมากมายยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเราที่ถูกทำร้ายร่างกายได้ทันท่วงที จากยอดเงินบริจาคของเศรษฐีหรือ CEO ระดับโลก ที่ออกมาเปิดเผยตัวเองเช่นเดียวกัน

พฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ หรือพฤติกรรมตุ้งติ้ง แปลงร่างจากคำเหยียดหยามเฝ้าระวังกลายเป็นแค่ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของการเดินทางเพื่อมีที่หยัดยืนของพวกเรา 

ที่ฉันเอามาเล่าผ่านบทความนี้ให้คนรุ่นหลังได้อ่านในฐานะเรื่องเก่าในอดีต เพราะปัจจุบันไม่มีครูคนไหนเขียนในสมุดพกของนักเรียนว่า ‘มีพฤติกรรมตุ้งติ้ง’ กันอีกต่อไปแล้ว

 

เรื่อง : ประเสริฐศักดิ์ ปัดมะริด

ภาพ : ชนิกา แซ่จาง