28 ก.พ. 2568 | 19:00 น.
KEY
POINTS
หากย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเหตุการณ์การลี้ภัยของชาวอุยกูร์ เกิดขึ้นราวปี 2014 หลังจากรัฐบาลจีนดำเนินมาตรการเด็ดขาดในการกำกับดูแลด้านวัฒนธรรมและศาสนาของชนกลุ่มน้อยโดยตรง เพราะเล็งเห็นว่านานวันเข้าชาวอุยกูร์เริ่มมีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมและประชากรเพิ่มมากขึ้นทุกขณะ จึงเป็นเหตุให้จีนพยายามเข้ามาควบคุมดูแล เช่น ห้ามประกอบพิธีทางศาสนา ห้ามถือศีลอด การทำหมัน-คุมกำเนิดโดยไม่ได้รับความยินยอม ห้ามเยาวชนเรียนศาสนาอิสลาม รวมถึงรื้อถอนมัสยิดบางแห่งและการควบคุมการใช้ภาษาอุยกูร์ในระบบการศึกษา
ภายใต้แรงกดดันดังกล่าว ทำให้ชาวอุยกูร์ต้องอพยพหนีออกนอกประเทศจำนวนมาก โดยบางส่วนลี้ภัยผ่านทางภาคใต้ของไทยและมาเลเซีย ในเดือนมีนาคม 2014 เจ้าหน้าที่ไทยพบชาวอุยกูร์ 220 คนที่พยายามหลบซ่อนตัวอยู่ในสวนยางพารา อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ก่อนจะถูกจับกุมและคุมขังในสถานกักตัวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทั่วประเทศเป็นเวลาหลายปี
เหตุใดรัฐบาลโลกเสรีจึงออกมาประฌามการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 คนกลับจีน แล้วชาวอุยกูร์คือใคร ทำไมพวกเขาจึงอพยพมาต่างถิ่น นี่คือเรื่องราวของชาวอุยกูร์ผู้ไร้ซึ่งสถานะ ในวันที่ถูกส่งตัวกลับ เพราะไร้ทางออก(?)
อุยกูร์ คือกลุ่มชาติพันธุ์ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเป็นชนเผ่าเร่ร่อนมาก่อนไม่ต่างจากชนกลุ่มน้อยที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก แต่ความพิเศษของพวกเขาคือ ราวช่วงศตวรรษที่ 8 ชาวอุยกูร์มีอาณาจักรเป็นของตน และยังมีความใกล้ชิดกับราชวงศ์ถังของจีน แต่สุดท้ายความรุ่งเรืองในอดีตก็ไม่อาจก้าวข้ามมาจนถึงปัจจุบัน อาณาจักรที่บรรพบุรุษสร้างไว้ต้องล่มสลายลงในศตวรรษที่ 9 จนทำให้ลูกหลานชาวอุยกูร์ย้ายถิ่นฐาน ลงมาหลักปักฐานทางตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ซึ่งมีพื้นที่กว่า 1.6 ล้านตารางกิโลเมตร จนเป็นที่มาของเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ (Xinjiang Uyghur Autonomous Region--XUAR)
ชาวอุยกูร์ได้รับอิทธิพลทางวัฒนธรรมอันหลากหลาย ทั้งจากชาวเปอร์เซีย อาหรับ และจีน และเพราะความหลากหลายนี่เองทำให้ชาวอุยกูร์มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสูง ซึ่งหาได้ยากยิ่งในจีนแผ่นดินใหญ่
แต่รอยร้าวความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลกลางเริ่มมาเยือน หลังจากชาวอุยกูร์หันมานับถือศาสนาอิสลามแทนศาสนาพุทธ พวกเขามีวัฒนธรรม ศิลปะ และวิถีชีวิตในแบบตนเอง แถมยังยกระดับไปถึงขั้นมีภาษาที่ใช้พูดคุยกันในกลุ่มชาวอุยกูร์โดยเฉพาะ
ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่น เมื่อปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้รับชัยชนะสงครามการเมือง พวกเขาเริ่มเข้ามาควบคุมชาวอุยกูร์แทบทุกฝีก้าว แม้จะกำหนดให้เขตที่อยู่อาศัยของชาวอุยกูร์เป็นเขตปกครองพิเศษ แต่ในทางปฏิบัติพวกเขาไม่ได้บอกว่าชาวอุยกูร์ควรได้รับสิทธิพิเศษใด ๆ ต้องทำตามกฎของรัฐบาลกลางอย่างเข้มงวด ห้ามออกนอกลู่ทาง ชาวอุยกูร์ถูกกดดันมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบและการก่อการร้ายหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งล้วนย้อนกลับมายังกลุ่มชาติพันธุ์ แน่นอนว่ารัฐบาลจีนสรุปไปในทิศทางเดียวกันว่า ต้อง ‘เข้มงวด’ กับชาวอุยกูร์มากกว่านี้ ก่อนที่พวกหัวรุนแรงจะทำให้ชาติพังพินาศ
วันที่ 5 กรกฎาคม 2009 มีการก่อจลาจลครั้งใหญ่ในเขตปกครองตนเองซินเจียง-อุยกูร์ จนรัฐบาลจีนต้องตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 150 คน และนับตั้งแต่ปี 2017 เป็นต้นมา มีรายงานว่าจีนได้กักขังชาวอุยกูร์และชนกลุ่มน้อยมุสลิมอื่น ๆ ในค่ายปรับทัศนคติไม่ต่ำกว่าล้านคน เมื่อรายงานแพร่สะพัด รัฐบาลจีนได้ออกมาตอบโต้ว่าทั้งหมดไม่เป็นความจริง สิ่งที่จีนทำคือการสร้างงานสร้างอาชีพ ทำให้ชนกลุ่มน้อยมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นต่างหาก
“ซินเจียงมีเสถียรภาพและความเจริญรุ่งเรือง ประชาชนมีชีวิตที่ดี มีความสุข และสมบูรณ์พร้อม”
การจับกุมชาวอุยกูร์ เกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต่อมาเกิดเหตุการณ์รัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทางการไทยบังคับส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังจีน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2015 โดยถูกคลุมหัวด้วยโม่งดำ ใส่กุญแจมือ ก่อนจะเดินทางกลับประเทศโดยไม่มีใครทราบชะตากรรม จนทุกวันนี้ญาติก็ยังคงไม่สามารถติดต่อพวกเขาได้
อีกหนึ่งเหตุการณ์ใหญ่ในไทย ซึ่งเกี่ยวข้องกับชาวอุยกูร์โดยตรงคือ เหตุระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ที่เกิดขึ้นหนึ่งเดือนหลังการส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ 109 คนให้กับจีน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 20 คน และบาดเจ็บ 125 คน โดยทางการไทยจับกุมผู้ต้องสงสัยชาวอุยกูร์ได้ 2 คน ว่ากันว่าเป็นการตอบโต้ที่ทางการไทยส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน เพราะสถานที่ตรงนี้มีนักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมาก
“รัฐบาลออสเตรเลียไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการตัดสินใจของรัฐบาลไทยส่งกลุ่มชาวอุยกูร์ 40 คนไปจีนโดยไม่สมัครใจ... เราแสดงความกังวลของเรากับรัฐบาลไทยบ่อยครั้ง และตอนนี้ยังแสดงความคาดหวังถึงการปฏิบัติต่อชาวอุยกูร์กลุ่มนี้กับทางการจีนด้วย” — เพนนี หว่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย
“พวกเขาต้องเผชิญกับความเลวร้ายอย่างน่าหวาดหวั่น พวกเขาหนีจากการปราบปรามในจีน แต่มาถูกควบคุมตัวโดยพลการในประเทศไทยนานกว่าทศวรรษ ความจริงที่ว่าตอนนี้พวกเขาอาจถูกบังคับส่งตัวกลับไปยังประเทศที่ชาวอุยกูร์และกลุ่มชาติพันธุ์ที่ไม่ใช่ชาวฮั่นในซินเจียงต้องเผชิญกับการทรมาน การปฏิบัติที่โหดร้าย การควบคุมตัวโดยพลการ และการบังคับให้สูญหาย เป็นสิ่งที่โหดร้ายเกินจะจินตนาการ” — ซาราห์ บรูคส์ ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศจีน
"การส่งตัวผู้ต้องขังชาวอุยกูร์ของไทยไปยังจีนถือเป็นการละเมิดพันธกรณีของไทยภายใต้กฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศอย่างชัดเจน" — เอเลน เพียร์สัน ผู้อำนวยการภูมิภาคเอเชียขององค์กรสิทธิมนุษยชนฮิวแมน ไรท์ส วอทช์
“นี่เป็นการละเมิดหลักการไม่ส่งกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) ซึ่งมีการห้ามอย่างเด็ดขาด ในกรณีที่มีความเสี่ยงต่อการทรมาน ทารุณกรรม หรือการทำร้ายที่ไม่สามารถแก้ไขให้กลับคืนได้หากถูกส่งกลับ... เจ้าหน้าที่ไทยต้องให้การรับประกันว่า จะไม่มีการส่งกลับอีกในอนาคต และบุคคลในกลุ่มนี้ที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่ในประเทศไทย รวมถึงผู้ที่อาจเป็นผู้ลี้ภัย และผู้แสวงหาที่ลี้ภัย จะได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่ ตามพันธกรณีที่ประเทศไทยมีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ” —โวลเกอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งประชาชาติ
*หลักการไม่ส่งกลับไปเผชิญอันตราย (non-refoulement) อยู่ในข้อที่ 3 ของอนุสัญญาว่าด้วยการต่อต้านการทรมาน และการกระทำอื่น ๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคี อีกทั้งข้อ 7 ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และกฎหมายของประเทศไทยเอง
ขณะเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์นี้ว่า การส่งตัวกลับในลักษณะนี้เคยนำไปสู่การตอบโต้ด้วยความรุนแรงในอดีต เช่นเดียวกับเหตุการณ์ระเบิดศาลพระพรหมเอราวัณเมื่อปี 2015 พร้อมทั้งให้คำแนะนำแก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทย ให้เพิ่มความระมัดระวังและเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวพลุกพล่าน เนื่องจากอาจมีความเสี่ยงต่อเหตุการณ์ความรุนแรง
สถานทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยได้ออกประกาศเตือนเช่นกัน โดยระบุข้อความเป็นภาษาญี่ปุ่นมีใจความว่า ชาวญี่ปุ่นที่พำนักและท่องเที่ยวในประเทศไทยควรติดตามข้อมูลล่าสุดและใช้มาตรการป้องกันที่เหมาะสม โดยสถานทูตระบุพื้นที่เสี่ยงที่อาจเป็นเป้าหมายของการก่อการร้าย ได้แก่ สถานที่ท่องเที่ยว สถานที่จัดงาน ร้านอาหาร โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ระบบขนส่งสาธารณะ และสถานที่ทางศาสนาที่มีผู้คนจำนวนมาก
ด้าน นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้ออกมาคลายข้อสงสัย และยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน เอกสารทุกขั้นตอนมี ขอให้กระทรวงการต่างประเทศหรือกระทรวงกลาโหมมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง
"ดิฉันยืนยันว่ากลับโดยสมัครใจ ไม่เช่นนั้นก็มีการลากสิ ไม่มีการลาก เดินขึ้นไปปกติ ไม่มีอะไรทั้งนั้น สมัครใจค่ะ"
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ต้องอาศัยเวลาในการอธิบายว่า เขาปลอดภัยจริงหรือไม่ ความปลอดภัยเช่นนี้เป็นเครื่องหมายในการอธิบายได้แล้วว่า เราทำงานหลังบ้าน ถ้าไม่ชัวร์ก็จะไม่ทำอยู่แล้ว นายกรัฐมนตรีให้ข้อสรุป ว่าสุดท้ายแล้วการตัดสินใจของรัฐบาลไทยเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ หาได้มีเหตุผลอื่นซ่อนเร้นแม้แต่น้อย
ขณะเดียวกัน หลิน เจี้ยน โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ตอบสื่อมวลชนว่า การส่งตัวกลับครั้งนี้กระทำบนพื้นฐานกฎหมายไทยและจีน รวมถึงกฎหมายและระเบียบปฏิบัติระหว่างประเทศ
พร้อมทั้งยืนยันว่า “สิทธิและผลประโยชน์โดยชอบตามกฎหมายของบุคคลที่เกี่ยวข้องได้รับการคุ้มครองอย่างเต็มที่”
เรื่อง : วันวิสาข์ โปทอง
ภาพ : กัลยารัตน์ วิชาชัย
อ้างอิง