พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย

17 เมษายน 2557 คือวันที่บิลลี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย 'มึนอ-พิณนภา พฤกษาพรรณ' ครอบครัวของบิลลี่ออกตามหาแทบพลิกแผ่นดินมาตลอด 9 ปี น่าเสียดายที่ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง ลูกหลานกะเหรี่ยงบางกลอยอย่างบิลลี่ กลายเป็นเพียงตำนานที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อพี่น้องแต่ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า

9 ปีแล้วที่ชายคนหนึ่งหายสาบสูญไปจากบางกลอย

9 ปีแล้วที่หัวหน้าครอบครัว พ่อของลูกทั้ง 5 ไม่มีโอกาสกลับมากินข้าวกับคนรัก

และเป็นเวลา 9 ปีแล้วที่คนในครอบครัวยังคงเรียกร้องความยุติธรรม

เฝ้าทวงหาคำตอบ... ‘บิลลี่ หายไปไหน’

วันที่ 30 สิงหาคมของทุกปี เป็นอีกหนึ่งวันที่ทั่วทั้งโลกจะร่วมรำลึกถึง ‘ผู้ถูกบังคับสูญหาย’ โดยเจ้าหน้าที่รัฐ รวมไปถึงผู้ที่สูญหายจากการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน ภาวะสงคราม ไปจนถึงการก่อการร้าย เพื่อไม่ให้พวกเขาหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์และความทรงจำ และเป็นการย้ำเตือนว่าชีวิตที่เราสามารถใช้ได้อย่างปกติสุขอย่างในทุกวันนี้ อาจแลกมาด้วยการเสียสละของบุคคลเหล่านั้น

The People พูดคุยกับ ‘มึนอ - พิณนภา พฤกษาพรรณ’ ครอบครัว ‘บิลลี่ - พอละจี รักจงเจริญ’ หลานชายของผู้นำจิตวิญญาณชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน ผู้ถูกบังคับสูญหาย พรากจิตวิญญาณ และลมหายใจสุดท้ายไปจากบางกลอย

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย

เราคือผืนแผ่นดิน จุดเริ่มต้นและจุดจบของทุกสิ่ง

เราเจอกับมึนอหน้าศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง สถานที่ที่เธอต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงจากบ้านเข้ามายังเมืองที่เธอไม่คุ้นเคย เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่คนในครอบครัว วันนี้เป็นวันนัดสืบพยานครั้งที่ 2 ของปี ครั้งแรกเริ่มขึ้นในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ครั้งที่สองในวันที่ 28 สิงหาคม และในอีก 2 วันสุดท้ายของเดือนนี้

ซึ่งเป็นช่วงเวลาคาบเกี่ยวกับ ‘วันผู้สูญหายสากล’ วันที่ลูกหลานชาวกะเหรี่ยงอย่างบิลลี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย จาก 17 เมษายน 2557 ลากยาวมาจนถึงปี 30 สิงหาคม 2566 ทุกอย่างยังคงไร้ความกระจ่างชัด ราวกับเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นเพียงโศกนาฎกรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

มึนอตอบคำถามนักข่าวก่อนจะส่ายหัวออกมาเบา ๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าการนัดสืบพยานครั้งนี้ ไม่ได้ช่วยให้จิตใจของเธอสงบลงเลย

14:00 น. เป็นเวลาที่บทสนทนาระหว่างเราและมึนอเริ่มขึ้น

เราไม่ได้ถามถึงการมาศาลในครั้งนี้มากนัก เพราะยังเหลืออีกหนึ่งครั้งกว่าความยุติธรรมจะปรากฏ แต่เลือกถามไถ่ถึง ‘ใจแผ่นดิน’ ในความทรงจำของหญิงวัย 36 คนนี้แทน

เธอยิ้มออกมาก่อนจะบอกว่าใจแผ่นดินคือ ป่า...

ป่าที่สงบร่มเย็นไม่ร้อนระอุเหมือนอากาศกรุงเทพฯ ในตอนนี้ เราพยักหน้าเห็นด้วยเพราะระหว่างคุยกัน เหงื่อก็ผุดพรายขึ้นมาบนหน้ามึนอไม่หยุด ถึงจะมีลมพัดมาเป็นระยะ แต่ไม่ได้ช่วยคลายความร้อนรุ่มใจของหญิงตรงหน้าเราไปได้

นอกจากป่าแล้ววิถีชีวิตชุมชนชาวกะเหรี่ยงยังยึดโยงกับป่าแห่งนี้แทบทุกตารางนิ้ว เป็นสายใยที่ไม่อาจตัดขาด เพราะตั้งแต่เสียงสะอื้นแรกหลังลืมตาดูโลก ชีวิตของพวกเขาก็ผูกติดไว้กับป่าแห่งนี้อย่างสมบูรณ์

“ตั้งแต่เกิดเราจะมีต้นไม้ประจำตัว พ่อจะเอาสายสะดือของเราไปคล้องฝากชีวิตและจิตวิญญาณของเราไว้ ต้นไม้ทุกต้น ผืนดินที่เราเหยียบ อากาศที่เราหายใจ ทุกอย่างคือสิ่งที่ป่าให้กับเรา

“เราจะไม่มีวันไปตัดหรือว่าทำลายมันลงเด็ดขาด เพราะสายสะดือที่คล้องเอาไว้บนต้นไม้จะอยู่คู่เราจนกว่าจะตาย”

ยิ่งมีเด็กเกิดใหม่มากเพียงใด ต้นไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้น แต่ความสงบที่อยู่กับพวกเขามานับร้อยปีกลับถูกเปลวไฟแห่งความเจริญเข้ามาแผดเผาจนหมดสิ้น นี่คือปฏิบัติการบังคับโยกย้ายชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย-ใจแผ่นดิน ออกจากพื้นที่อุทยานตั้งแต่ปี 2539

และยกระดับความรุนแรงขึ้นในปี 2554 หลังจากเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเผาทำลายสิ่งปลูกสร้างกว่า 98 หลัง บ้าน ยุ้งฉางเก็บข้าว ถูกทำลายกลายเป็นเถ้าถ่านภายในชั่วพริบตา โดยมีเหตุผลเพียงเพราะกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยมาก่อนจะมีการแบ่งเขตแดนอย่างชัดเจน เป็นชนกลุ่มน้อยที่เข้ามายึดครองพื้นที่และทำลายป่าเพื่อนำไปใช้ในประโยชน์ส่วนตัว

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย นี่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน แต่ในโลกความจริงทุกอย่างกลับไม่สวยงามตามตำรา ถึงจะมีการบังคับใช้พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 (พ.ร.บ.อุ้มหาย) ตั้งแต่วันที่ 22 กุมภาพันธ์ออกมาให้พอได้ชื่นใจ (ถึงจะมีการชะลอใช้บางมาตราแต่ไม่มีผลต่อการติดตามหาผู้สูญหาย)

แต่การหายตัวไปอย่างลึกลับของบิลลี่ ผู้ที่พยายามเรียกร้องสิทธิในการอาศัยอยู่ในผืนป่าแห่งนี้อย่างถูกต้องตามกฎหมายคือเรื่องจริง เพราะยิ่งออกมาเรียกร้องหาความยุติธรรม ชีวิตของเขากลับถูกผลักให้ตกลงไปในหุบเหวแห่งความตาย

“บรรพบุรุษของเราสอนให้อยู่ร่วมกับป่า มีป่าก็จะมีกิน เราทำไร่หมุนเวียนเพื่อที่เราจะได้มีกินมีใช้ เราไม่มีเงินสักบาทเราก็อยู่ได้ ไร่หมุนเวียนเปรียบเสมือนตลาดนัด เราเข้าไปก็มีของกินเต็มไปหมด แต่พอถูกโยกย้ายคนในชุมชนก็ไม่มีพื้นที่ทำกิน เราไม่มีเงิน เราอยู่ไม่ได้ เราต้องหาเงินมาแลกกับการใช้ชีวิต

“เราอยู่มาร้อยปี ป่าก็ยังเป็นป่า ป่าไม่ได้เป็นภูเขาหัวโล้นแบบในเมือง เวลาเราทำไร่เสร็จ เราก็จะปล่อยให้ป่าฟื้นคืนชีพใหม่ ดินก็จะไม่เสื่อมสภาพ และกลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนเดิม เวลาเราทำอะไรก็แล้วแต่ จะปลูกพืชผักหรือว่าข้าวมันก็จะงามทุกอย่าง แต่ถ้าเรามาอยู่ในที่ ๆ ว่าเราถูกกำหนดไว้ ถูกจำกัดไว้ เราก็ต้องทำแบบเดิมซ้ำ ๆ ทุกปี ดินมันก็เสื่อมคุณภาพ ผลผลิตก็จะได้ไม่ตรงตามที่เราต้องการ

“คนป่าอยู่ในป่าเพื่อรักษาป่า รักษาต้นน้ำให้คนเมืองได้กินได้ใช้ เราไม่ได้ทำให้ป่าหรือว่าทำให้แม่น้ำแห้งแล้ง”

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย อคติทางชาติพันธุ์

แม้ว่าในปัจจุบันคนที่เคยอาศัยอยู่ใจแผ่นดิน จะถูกโยกย้ายมาอยู่บางกลอย(ล่าง)หมดแล้ว แต่มึนอยังคงออกมาเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่มองเห็นถึงความยากลำบากของการถูกผลักไสให้มาอยู่ในพื้นที่ที่ทำให้จิตวิญญาณป่วยไข้ โดยเฉพาะเรื่องของดินที่ไม่ได้มีความเหมาะสมสำหรับการเพาะปลูก มีแต่ก้อนหินอยู่เต็มหน้าดิน คนในชุมชนเลยต้องดิ้นรนออกมาหากินในเมืองด้วยความจำใจ

“เราอยู่กันแบบอึดอัด เหมือนถูกจับให้อยู่ในกระด้ง ตีกรอบเราเอาไว้ไม่ให้ออกไปไหน รู้สึกชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่ใช่ชีวิต เราไม่มีอิสระในการใช้ชีวิตเลย อย่างบางคนเขาก็ต้องเข้าเมืองเพื่อไปทำมาหากิน เพราะเขาเดือดร้อนมาก ที่ดินที่เขาจัดเตรียมไว้ให้มันไม่เพียงพอต่อการทำกิน เราก็ต้องดิ้นรนกันเอง

“แผ่นดินนี้ไม่ได้มีเพื่อใครคนใดคนหนึ่ง เราอยากให้เลิกอคติกับพวกเรากลุ่มชาติพันธุ์ ถ้าเราไม่มีอคติต่อกัน เราก็จะอยู่ร่วมกันได้”

นับตั้งแต่บิลลี่จากไป ชาวกะเหรี่ยงบางกลอยยังคงชอกช้ำ นอกจากจะถูกย่ำยีจิตวิญญาณจนแหลกสลายหลังจากดวงวิญญาณของ ‘ปู่คออี้’ และบิลลี่ จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับแล้ว พวกเขายังไม่ได้รับคำตอบว่า 9 ปีที่ผ่านมาเพื่อนร่วมชาติพันธุ์หายไปไหนกันแน่

“เขาตั้งใจจะทำความดี ถึงแม้เขาจะต้องแลกด้วยชีวิต เขาก็จะทำต่อไป ตั้งแต่วันนั้นก็ไม่ได้ไปขัดขวางอะไรเขาอีกเลย จนถึงวันที่เขาถูกจับตัว แล้วก็หายไปเป็นคดีจนถึงทุกวันนี้” มึนอทวนประโยคที่บิลลี่บอกกับเธอก่อนจะลุกขึ้นมาทวงคืนความยุติธรรมให้ชาวบ้านในพื้นที่

แม้เธอจะเป็นห่วงชายคนรักเพียงใด แต่ก็ไม่อาจขัดความมุ่งมั่นและตั้งใจของเขา เพราะเธอรู้ว่าชายคนนี้เมื่อตั้งมั่นอะไรไว้ก็จะทำอย่างสุดความสามารถจนกว่าสิ่งที่เขาต่อสู้จะงอกงาม

“เราได้แต่บอกให้เขาระวังตัวเอง ให้ดูแลตัวเองดี ๆ เพราะพี่บิลลี่เขาเป็นคนไม่กลัวอะไรเลย อะไรที่เขาตั้งใจ เขาก็จะตั้งใจทำต่อไป”

หลังการหายตัวไปของบิลลี่ มึนอไม่ได้นิ่งเฉยเธอเฝ้าติดตาม-เรียกร้องหาความยุติธรรมมาโดยตลอด เธอสลัดคราบหญิงชาวกะเหรี่ยงที่มักใช้เวลาส่วนใหญ่เลี้ยงลูก มาเป็นอาสาสมัครคอยดูแลเพื่อนบ้าน ที่ได้รับความเดือดร้อนจากโรคภัยต่าง ๆ นี่คือบทบาทในป่าเด็ง

ส่วนบทบาทในเมืองคือการเดินทางเข้ามาติดตามความคืบหน้าของคดีบิลลี่อย่างต่อเนื่อง “เข้ามาในกรุงเทพฯ เนี่ย แต่ก่อนไม่เคยเข้ามานะ ไม่เคยขึ้นรถไฟ ไม่เคยขึ้นรถตู้รถบัสพวกนี้ แต่พอพี่บิลลี่ไม่อยู่ ขึ้นรถไฟไม่เป็นก็จะต้องขึ้นให้เป็น ไม่รู้ว่าข้างในสภาพรถไฟมันเป็นยังไงบ้าง พอขึ้นแล้วมันรถไฟชั้น 3 มันจะเอะอะ คนเต็ม คนเยอะมาก เลยรู้สึกว่าเราขึ้นรถแบบไปผจญภัย มันหน้าสิ่วหน้าขวาน รถไฟจะวิ่งแบบดังกึก ๆๆ มันจะเสียงดังมากเลย บางจุดก็น่ากลัว เหมือนเราขึ้นรถผจญภัย

“แต่เราก็เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่เคยรู้สึกเหนื่อย เพราะเรายังมีกำลังใจอยู่ ตราบใดที่เรายังมีลมหายใจก็ต้องมีความหวัง ถ้าหมดความหวังนั่นคือเราไม่มีลมหายใจหลงเหลืออยู่แล้ว”

แม้การจากไปของเขาจะทำให้ชีวิตมึนอเขวไปชั่วขณะ แต่เธอก็ไม่เคยโกรธแค้นผู้ทำให้ชีวิตครอบครัวเธอเป็นอย่างนี้ ในทางกลับกันเธอมองว่าเป็นเรื่องของชะตาฟ้าลิขิตที่ทำให้การใช้ชีวิตของเธอและบิลลี่สิ้นสุดลง

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย บุญวาสนาของเราคงสุดกันแค่นี้

“เราคงร่วมบุญกันแค่นี้เลยต้องจากกัน นี่คือความรู้สึกแรกของเรา ไม่ได้คิดมากไปกว่านั้น ถ้าคิดมากไปกว่านั้นจะทำให้เราผิดหวัง เสียใจ กลัวจะไม่อยากมีชีวิตอยู่บนโลกอีกต่อไปแล้ว เลยต้องตัดความรู้สึกนั้นออกไปคิดแค่ว่าบุญและวาสนาที่เราทำร่วมกันมาในชาติที่แล้วคงมีถึงแค่วันนั้น”

15 เมษายน 2557 คือวันสุดท้ายที่มึนอได้มีโอกาสร่ำลาบิลลี่ จากวันนั้นจนวันนี้เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย

ช่วงเวลาที่มืดหม่นที่สุดในชีวิตของมึนอผ่านมาได้ด้วยการฟังธรรมะ-พระเทศน์ผ่านทางวิทยุ ก่อนจะเล่าย้อนกลับไปครั้งแรกที่เจอกับว่าที่พ่อของลูกทั้ง 5 คน

“ตอนนั้นพี่บิลลี่เขาถามหาเสื้อกะเหรี่ยง เขาบอกว่าจะมาจัดแสดงที่โรงเรียนท่ายางวิทยา แต่เรายังไม่ทันตอบเขาก็เดินไปแล้ว

“ช่วงนั้นพี่ชายเรามาเล่าให้ฟังว่าเนี่ยเขามีเพื่อนคนนึงนะ เรียนก็เก่ง หน้าตาก็ดี หล่อ พี่ชายก็พูดให้ฟังตลอด แต่ว่าเสียอยู่อย่างนึงตอนนั้นพี่บิลลี่เขาเพิ่งอกหักจากแฟนเขา แล้ววันนั้นมึนอเลยพูดไปโดยไม่ทันคิดว่า ได้ข่าวว่าอกหักใช่ไหม ต่ออกให้เอาไหม แค่นั้นแหละ”

มึนอเล่าไปยิ้มไป ราวกับว่าความทรงจำในรักแรกยังไม่เคยจางหายไปไหน หลังจากตัดสินใจคบหาดูใจกันได้ประมาณหนึ่งปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกันในที่สุด “พี่บิลลี่เป็นคนตลก เป็นคนให้เกียรติผู้หญิง เขาจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวลำบาก เขาจะดูแลทุกอย่าง ตอนที่บิลลี่ยังอยู่ครอบครัวเราไม่เคยลำบากเลย ไม่ต้องทุ่มเททำงานหนัก พอพี่บิลลี่ไม่อยู่แล้ว ครอบครัวเราก็ต้องทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้”

“พี่บิลลี่เขาชอบกินแกงส้มหมูย่างมาก”

มึนอบอกเราถึงอาหารมื้อโปรดที่บิลลี่ชอบทานก่อนชื่อของชายคนนี้จะติดอยู่ในสถานะ ‘บุคคลผู้ถูกบังคับสูญหาย’

“พี่บิลลี่เขาจะย่างหมูให้สุกก่อนแล้วใส่ลงไปในแกงทีหลัง มีหน่อไม้ด้วย แล้วพวกเครื่องแกงเขาก็ทำเอง ตำเองทั้งหมด แกงมันก็เลยจะมีรสเผ็ดหน่อยนึง ทำเสร็จเราก็มากินกัน เด็ก ๆ ชอบกันมาก เขาบอกว่า ‘โคตรอร่อย’ เป็นอาหารมื้อโปรดของทั้งพี่บิลลี่แล้วก็เด็ก ๆ”

พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย จดหมายถึงบิลลี่

ถึง พี่บิลลี่

ตั้งแต่วันนั้นที่พี่บิลลี่ตัดสินใจช่วยปู่คออี้ แล้วพี่บอกว่าถ้าเกิดพี่หายตัวไป พี่บอกให้มึนอไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องตามหา ไม่ต้องคิดมาก ให้ดูแลลูก ๆ ทั้ง 5 คนให้ดีก็พอแล้ว

มึนออยากจะบอกพี่ว่า หนูไม่สามารถทำตามที่พี่บอกได้จริง ๆ เพราะเรามีสิทธิที่จะเรียกร้องความยุติธรรม มันเป็นสิ่งที่ครอบครัวเราควรจะได้รับ หนูจะทำหน้าที่ตรงนี้ต่อไปจนถึงที่สุด

ถ้าดวงวิญญาณของพี่รับรู้ หนูอยากให้พี่ไม่ต้องกังวล การที่หนูออกมาเรียกร้องก็เพื่อทุกคน ไม่ใช่เฉพาะครอบครัวเราเท่านั้น

ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อจากนี้ มีอยู่ได้เพราะเพื่อน เพราะคนรอบ ๆ ตัว หนูอยากทำจิตอาสาช่วยคนอื่นให้ได้มากที่สุด ไม่อยากทำอะไรเพื่อตัวเองอีกแล้ว พอตื่นขึ้นมา ถ้ามีคนขอให้ช่วย แล้วหนูเห็นว่าสามารถช่วยได้ ก็จะช่วยให้ถึงที่สุด มีแรงก็จะไปทำตรงนั้น

เพราะฉะนั้นพี่บิลลี่ไม่ต้องกังวล หนูจะทำตามสิทธิของเราที่เราควรจะได้รับต่อไป จะไม่มีวันหมดหวัง หนูยังเชื่อในความยุติธรรม

มึนอ

28 สิงหาคม 2566 พิณนภา พฤกษาพรรณ : ความหวังบนคราบน้ำตากับเวลา 9 ปีที่ยังรอ ‘บิลลี่-พอละจี’ กลับบางกลอย