21 ส.ค. 2566 | 12:36 น.
- แม้จะเป็นนางงามระดับตำนานผู้ ‘คว้ามง’ ระดับโลกมาแล้ว แต่การประกวดในครั้งนี้ของแอนก็ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น เพราะมีคู่แข่งอย่าง ‘วีนา’ และ ‘เจสซี่’
- ในการเก็บตัว ยกแรก วีนาจะค่อนข้างได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ แต่พอมาถึงช่วงครึ่งทาง เกมกลับพลิกผัน กลายเป็นเจสซี่เริ่มโชนแสง แต่ในช่วงโค้งสุดท้าย แอนเบียดขึ้นมาแซงได้
คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่ามิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023 เป็นการประกวดสาวงามที่เข้มข้นและบีบหัวใจที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย และ ‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ ตัวแทนจากจังหวัดนครราชสีมา คือผู้ที่คว้าสวมมงกุฎไปครองครองได้สำเร็จในค่ำคืนที่ผ่านมา
บทความนี้จะพาผู้อ่านไปทำความรู้จักกับเรื่องราวในชีวิตของเธอ รวมถึงประเด็นร้อนสำหรับรอบตอบคำถามที่ยังคาใจหลายต่อหลายคน และวิเคราะห์ภาพรวมของการประกวดในครั้งที่ถือเป็นปรากฏการณ์
จากผู้แพ้ใน The Face สู่ ‘มิสซูปรา’ คนแรกของไทย และมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2023
‘แอนโทเนีย โพซิ้ว’ สาวงามวัย 26 ปี ลูกครึ่ง ไทย-เดนมาร์ก จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด สาขาการตลาดและประชาสัมพันธ์
ก่อนหน้านี้ เธอเคยเข้าแข่งขันในรายการ ‘The Face Thailand’ ซีซั่น 1 เธอเป็นหนึ่งในลูกทีมของ ‘เมนเทอร์พลอย’ (พลอย-เฌอมาลย์) แอนไม่ใช่ผู้เข้าแข่งขันที่ทำผลงานโดดเด่นเมื่อเทียบกับนางแบบอื่น ๆ เธอจึงไม่อาจคว้าชัยชนะไปได้ และคงต้องยอมรับว่าในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครเอ่ยถึงเธอเป็นพิเศษ หรือพอมองออกเลยว่าแอนจะมีแววจะโด่งดังหรือประสบความสำเร็จในวงการบันเทิง
แอนปรากฎตัวในพื้นที่สื่ออีกครั้งในฐานะผู้ชนะ ‘มิสซูปราเนชันแนลไทยแลนด์ 2019’ เป็นตัวแทนสาวไทยในการประกวด ‘มิสซูปราเนชันแนล (Miss Supranational)’ ที่ประเทศโปแลนด์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในเวทีการประกวดสาวงามนานาชาติระดับแกรนด์สแลมของโลก
ต้องเล่าก่อนว่า... บรรยากาศตอนนั้น แฟน ๆ นางงามไม่ได้ตั้งความหวังกับเธอมากเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะยังยึดติดกับภาพจำเดิมของเธอในรายการ The Face Thailand อีกทั้ง สาวไทยบนเวทีนี้ไม่ค่อยประสบความสำเร็จกันสักเท่าไหร่ น้อยครั้งที่ตัวแทนของเราจะผ่านเข้ารอบลึก ๆ แถมยังไม่เคยมีตัวแทนสาวงามไทยคนไหนเลยที่เคยคว้ามงกุฎมิสซูปราเนชันแนลไปครอบครอง
แต่ในคืนวันประกวดจริง แอนทำผลงานได้ดีมากในทุก ๆ รอบ เธอประคองสติตอบคำถามเรื่องเกี่ยวกับบทบาทของ social media ในโลกปัจจุบันได้อย่างแหลมคม จนสามารถสร้างตำนานเป็นสาวงามไทยคนแรกที่คว้ามงกุฎมิสซูปราเนชันแนลมาได้ หลังจากนั้น แฟน ๆ ก็มองเห็นสเน่ห์และความน่าสนใจในตัวเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ
ต่อมา เธอเปิดบริษัทและคิดค้นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน ทุกคำสั่งซื้อจะสมทบทุน 1 ดอลลาร์ให้แก่โครงการ ‘Little steps’ ซึ่งเธอเป็นผู้ดูแล โดยมีวัตถุประสงค์คือการคืนประโยชน์ให้แก่สังคมและผู้ยากไร้ ซึ่งโครงการนี้มีมานานกว่า 5 ปีแล้ว (คุณสมบัติของความเป็นผู้นำเช่นนี้ถือเป็นหนึ่งคุณลักษณะสำคัญของมิสยูนิเวิร์สภายใต้การดูแลของ ‘JKN Global Group’)
บ่อยครั้งที่แม้แอนไปออกงานในฐานะมิสซูปราฯ แต่เธอมักจะถูกสื่อและแฟน ๆ นางงามถามเสมอว่าสนใจไปลงประกวดมิสยูนิเวิร์สหรือไม่ เธอตอบแบบแบ่งรับแบ่งสู้เสมอมา หรือหนักหันไปทางปฏิเสธเลยเสียด้วยซ้ำในบางครั้ง
ในที่สุด ก่อนกองประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์จะประกาศจัดการประกวดในปี 2023 อย่างเป็นทางการ แอนก็ได้สร้างเซอร์ไพร์สโดยยืนยันชัดเจนว่าเธอจะเข้าร่วมประกวด
จุดประสงค์หลักของเธอไม่ใช่ความทะเยอทะยานสร้างสร้างตำนานในวงการนางงามของไทยและของโลก แต่เพียงมองเห็นว่านี่เป็นความท้าทายครั้งใหม่ในชีวิตและแพลตฟอร์มของมิสยูนิเวิร์สจะช่วยทำให้ความตั้งใจและโครงการเพื่อสังคมของเธอเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เธอได้รับความสนใจและแรงสนับสนุนแบบล้นหลาม ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในตัวเต็วที่น่าจับตามองมากที่สุดไปโดยปริยาย
ศึกช้างชนช้างชนช้าง... ‘แอนโทเนีย’ ‘เจสซี่’ ‘วีณา’ ใน MUT2023
แม้จะเป็นนางงามระดับตำนานผู้ ‘คว้ามง’ ระดับโลกมาแล้ว แต่การประกวดในครั้งนี้ของแอนก็ไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น เพราะสาวงามที่เปิดตัวว่าจะลงประกวดในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันกับเธอคือ ‘วีนา’ (ปวีนา ซิงห์) ดีกรีเจ้าของตำแหน่งรองอันดับ 2 มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2018 และรองอันดับ 1 เวทีเดียวกันในปี 2020
อันที่จริง วีนาเคยประกาศแขวนส้นสูงไปแล้วภายหลังการประกวดปี 2020 เธอตัดสินใจแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกับสามีของเธอ แต่ปีนี้ มิสยูนิเวิร์สแก้ไขคุณสมบัติของผู้เข้าประกวดโดยระบุว่าสาวงามที่ผ่านการแต่งงานและจดทะเบียนสมรสแล้วสามารถเข้าร่วมประกวดได้ เพราะกองประกวดเชื่อว่าโอกาสของผู้หญิงคนหนึ่งที่จะเป็นมิสยูนิเวิร์สไม่ควรถูกปิดกั้นเพียงเพราะเธอเปลี่ยนสภานะของตนจากโสดเป็นสมรส
วีนาเคยเผยว่าหลังจากเธอเห็นประกาศการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของผู้เข้าประกวด เธอไม่ลังเลเลยที่จะเข้าร่วมประกวดที่กำลังจะเกิดขึ้น และคิดว่าหรือนี่อาจเป็นคราวของเธอ ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา วีนาสั่งสมชื่อเสียงและประสบการณ์ โดยเฉพาะฐานแฟนคลับ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเธอที่นางงามคนอื่นต้านทานได้ยาก วีนาน่าจะเป็นนางงามจากเวทีมิสยูนิเวิร์สที่มีแฟนคลับสนับสนุนของเธอมากที่สุด
สาวงามอีกคนที่แฟน ๆ ตั้งหน้าตั้งตารอคอยให้มาประกวดในเวทีนี้คือ ‘เจสซี่’ (กิระนา จัสมิน ชูว์เทอร์) อดีตผู้เข้าแข่งขันรายการ The face ซีซั่น 2 หลายคนอาจจะติดภาพจำเดิมของเธอที่ดูเป็นเด็กแสบ ๆ จนถึงร้ายนิด ๆ ในรายการ The Face แต่การเดินหน้าสู่เวทีนางงามของเธอในครั้งนี้ได้เปลี่ยนภาพจำเดิมของเธอแบบหมดจด
ก่อนหน้านี้ หลายคนสบประมาทเจสซี่ว่าการที่เธอไม่จบการศึกษา (ระดับปริญญาตรี) อาจจะเป็นเงื่อนไขที่ทำให้เธอชวดมง แต่เธอก็ได้ลบล้างประเด็นนั้นโดยอธิบายว่าคุณค่าของคนมีมากกว่าใบปริญญา แต่มันคือทัศนคติ ประสบการณ์ชีวิต และการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่น อีกทั้งเธอยังแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นทางสังคมได้อย่างลึกซึ้งและหลักแหลม จนกลายเป็นจุดแข็งของเธอ
ในการเก็บตัว ยกแรก วีนาจะค่อนข้างได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษจากสเต็ปการเดินแบบขั้นเทพและความมั่นใจเกินร้อย แต่พอมาถึงช่วงครึ่งทางที่เหล่าบรรดานางงามต้องแสดงทัศนคติและตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องรอบตัวมาก ๆ เกมกลับพลิกผัน กลายเป็นเจสซี่เริ่มโชนแสง แต่ในช่วงโค้งสุดท้าย แอนเบียดขึ้นมาแซงได้โดยทำผลงานของเธอในรอบพรีลิม ฯ ได้อย่างดีเยี่ยม ดึงกระแสกลับมาที่เธอและคว้าชัยชนะไปได้ในที่สุด
แต่ชัยชนะของแอนครั้งนี้ก็ยังเป็นเรื่องคาใจหลาย ๆ คน เพราะพวกเขาเชื่อว่าเชื่อว่าคนที่ตอบคำถามรอบ 3 คนสุดท้ายได้ดีที่สุดไม่ใช่แอน...
ไหนว่า ‘set zero’ ?
ก่อนหน้านี้ หลายคนตั้งคำถามถึงเกณฑ์การให้คะแนนของกองประกวด โดยเฉพาะในปีนี้ที่การแข่งขันดูจะเข้มข้นเป็นพิเศษ
‘แม่ปุ้ย’ (ปิยภรณ์ แสนโกศิก) ผู้ถือลิขสิทธิ์มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์อธิบายด้วยตัวเองเลยว่าคะแนนเก็บตัวจนถึงวันประกวดจริงจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินคัดผู้เข้ารอบ 3 คนสุดท้าย หลังจากนั้นจะ ‘set zero’ (ล้างคะแนน) และวัดกันที่หน้างาน จุดนี้เองที่ทำให้แฟน ๆ รอลุ้นว่าใครจะทำได้ดีที่สุดในรอบสามคนสุดท้าย
ซึ่งคำถามในรอบสามคนสุดท้ายคือ
“ถ้าค่ำคืนนี้คุณได้รับตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ คุณคิดว่าปัญหาสากลใดที่ควรจะได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน และคุณจะใช้กระบอกเสียงของคุณชักชวนให้ผู้คนมาร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างไร”
สามสาวงามนำเสนอประเด็นที่แตกต่างกันออกไป วีนามุ่งเน้นประเด็นเรื่องความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เจสซี่เลือกประเด็นเรื่องการสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้หญิง (Woman Empowering) ส่วนแอนเลือกที่จะช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากที่ต้องการความช่วยเหลือ
แฟน ๆ นางงามหลายคนเชื่อว่าคำตอบของเจสซี่น่าจะตรงคำถามและตอบโจทย์กับมิสยูนิเวิร์สมากที่สุด แถมเธอยังตอบได้อย่างลื่นไหลและเป็นคนเดียวที่รักษาระยะเวลาในการตอบคำถามให้อยู่ใน 30 วินาที (ตามกติกา) แต่หากลองพิจารณาในเนื้อความของคำตอบ เจสซี่ยังเหลืออีกครึ่งหนึ่งของคำถามที่คำตอบของเธออาจไม่ได้ครอบคลุมถึง (คุณจะใช้กระบอกเสียงของคุณชักชวนให้ผู้คนมาร่วมแก้ไขปัญหานี้อย่างไร)
สาวงามที่ตอบได้ตรงโจทย์และครอบคลุมที่สุดน่าจะเป็นวีนา แต่ก็ดันมีจังหวะสะดุดให้เห็นเป็นพัก ๆ และความหนักแน่นของสาร (message) ในคำตอบก็ยังอาจจะไม่ได้จับใจผู้ฟังขนาดนั้น
ขณะเดียวกัน เราก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากอีกว่าแอนตอบคำถามได้ดีที่สุดเพราะผู้ฟังเองก็ยังต้องอนุมานจากเนื้อหาของแอนต่อว่าเธอกำลังหมายถึงปัญหาความยากจน โครงสร้างทางสังคม หรือความเหลื่อมล้ำ ฯลฯ
เมื่อไม่มีใครชนะคู่แข่งแบบขาดลอยในรอบชี้ชะตานี้ มันจึงเปิดช่องให้กองประกวดฯ เลือกใครก็ได้ในสามคนนี้ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเลือกใครก็ได้ มันก็มีความเป็นไปได้ว่ากองประกวดจะเลือกคนที่ ‘เป็นไปได้’ สำหรับเขามากที่สุด
อย่างไรก็ตาม การตัดสินจบลงแล้ว อาจมีทั้งเรื่องถูกใจ/ไม่ถูกใจบ้าง แต่นั่นก็ไม่ใช่ใบอนุญาตให้ใครคนหนึ่งว่าร้ายหรือด่ากราดคนอื่นเสีย ๆ หาย ๆ
สังคมไทยกับการประกวดนางงามน่าจะเดินทางมาถึงจุดที่ผู้ชมเสพย์มันได้อย่างมีวุฒิภาวะ พอแล้วกับความเกลียดชังหรือการสร้างบาดแผลในชีวิตใครต่อใครเพียงเพราะผลตัดสินที่ออกมาไม่เป็นไปตามปรารถนา
ข้อสังเกตหนึ่งคือประเด็นเรื่องการเมืองบนเวทีมิสยูนิเวิร์สเบาลงไปมากในปีนี้ ก่อนหน้านี้ มิสยูนิเวิร์สถือว่าเป็นสื่อบันเทิงหนึ่งที่ขับเคลื่อนการเมืองและวัฒนธรรม สะท้อนเสียงของพลเมือง และเป็นภาพสะท้อนของวิวัฒนาการของประชาธิปไตยไทยได้อย่างเป็นดี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่ามิสยูนิเวิร์สหมดสิ้นประโยชน์ทางปัญญาที่จะติดตาม เพราะเวทียังคงนำเสนอประเด็นอันเป็นเรื่องสากลโลกที่น่าสนใจ ให้ความรู้ และสร้างแรงบรรดาลใจให้แก่คนทุกเพศทุกวัย เพียงแต่มันน่าเสียดายก็เท่านั้น
ภาพ : อินสตาแกรม missuniverse.in.th
อ้างอิง