‘อเล็กซ์ แบตตี’ เด็กชายที่ถูกแม่พาเข้าลัทธิ ตัดขาดสังคม ไม่ได้เรียนหนังสือนาน 6 ปี

‘อเล็กซ์ แบตตี’ เด็กชายที่ถูกแม่พาเข้าลัทธิ ตัดขาดสังคม ไม่ได้เรียนหนังสือนาน 6 ปี

เรื่องราวของ ‘อเล็กซ์ แบตตี’ เด็กชายชาวอังกฤษที่ถูกพรากชีวิตวัยเยาว์ หลังแม่พาเข้าลัทธิ ตัดขาดสังคม ไม่ได้เรียนหนังสือนาน 6 ปี

  • อเล็กซ์ แบตตี หายตัวไปพร้อมกับแม่และตาของเขา ระหว่างไปเที่ยวที่สเปนเมื่อปี 2017
  • เขาถูกแม่และตาพาไปใช้ชีวิตในชุมชนวิถีชีวิตทางเลือก (Alternative) ซึ่งเชื่อในการใช้ชีวิตที่เป็นอิสระและต่อต้านการไปโรงเรียน
  • แม้จะรู้ว่าแม่หวังดีและเชื่อว่าวิถีชีวิตแบบนี้จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา แต่อเล็กซ์ก็ตัดสินใจหนีกลับมาหายายที่อังกฤษเพราะต้องการเข้าเรียนและมีอนาคตที่ดี

เรื่องราวของความเชื่อ ความศรัทธา และลัทธิ กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมไทยอีกครั้งในช่วงหลังเข้าสู่ปีใหม่ 2567 เพียงไม่กี่วัน เมื่อปรากฏข่าวสัตวแพทย์หญิงรายหนึ่งจบชีวิตตัวเองพร้อมลูกสาว โดยทิ้งข้อความในจดหมายว่า “ขอให้การตายครั้งนี้นำมาซึ่งอิสรภาพทั่วทุกจักรวาล” ขณะที่ผู้เป็นสามีเปิดเผยว่าภรรยาเคยเป็นโรคซึมเศร้า และได้เข้าไปนับถือลัทธิลัทธิหนึ่ง

แม้ตำรวจจะยังไม่ปักใจเชื่อว่าลัทธิดังกล่าวเป็นสาเหตุที่ทำให้สัตวแพทย์หญิงปลิดชีวิตตัวเองและลูกสาว แต่เรื่องราวของลัทธิและความเชื่อก็ถูกหยิบยกมาพูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในประเด็นการส่งต่อความเชื่อในครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย

เมื่อเดือนธันวาคม 2566 ที่อังกฤษ มีรายงานข่าวการพบตัวชายหนุ่มวัย 17 ปี ที่หายตัวไปนาน 6 ปี โดยคนที่ตัดขาดเขาจากสังคม ไม่ใช่โจรเรียกค่าไถ่ ไม่ใช่ผู้ร้ายหรืออาชญากร แต่เป็น ‘แม่’ และ ‘ตา’ แท้ ๆ ของเขา ที่เชื่อมั่นว่าการทำเช่นนั้นเป็น ‘สิ่งที่ดี’ ต่อตัวเขาเอง 

หลานชายที่หายไปและหัวใจที่แตกสลาย

“ได้โปรด หัวใจของฉันแตกสลาย สิ่งเดียวที่ฉันอยากจะรู้คือหลานยังมีชีวิตอยู่และปลอดภัยดี ฉันหวังจะได้พบหลานสักวัน ฉันยอมแลกทุกอย่างเพื่อที่จะได้กอดหลานเพียงสักครั้ง จากยาย”

นี่คือข้อความที่ ‘ซูซาน คารูอานา’ (Susan Caruana) โพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของเธอเมื่อปี 2021 ในวันเกิดปีที่ 15 ของหลานชายของเธอที่ได้หายตัวไปในปี 2017

ไม่มีอะไรจะเจ็บปวดทรมานไปกว่าการที่คนที่เรารักหายตัวไปโดยที่เราไม่รู้ความเป็นไปของเขาเลย คุณยายซูซานเฝ้าตามหาหลานชายผู้เป็นที่รักมาตลอดตั้งแต่เขาหายตัวไป แม้จะไม่รู้ข่าวคราวใด ๆ เลยว่าเขายังมีชีวิตอยู่อย่างปลอดภัยอยู่หรือไม่ แต่เธอก็เฝ้ารอคอยอย่างมีความหวังมาตลอดว่าจะได้พบกับหลานชายอีกสักครั้ง

ย้อนกลับไปในปี 2017 ‘อเล็กซ์ แบตตี’ (Alex Batty) อายุ 11 ปี หายตัวไปขณะไปเที่ยวพักผ่อนกับแม่และตาที่สเปน โดยคุณยายซูซานได้รับข้อความจาก ‘เมลานี แบตตี’ (Melanie Batty) แม่ของอเล็กซ์ว่า พวกเขาจะทิ้งโทรศัพท์มือถือและจะไม่กลับมาอีก เพราะอยากให้อเล็กซ์ใช้ชีวิตในแบบของเธอ หลังจากนั้นคุณยายซูซานก็ติดต่อลูกสาวหรือหลานชายไม่ได้อีกเลย

เด็กชายที่ถูกพรากวัยเยาว์อันสดใส

ก่อนที่พวกเขาจะหายตัวไป คุณยายซูซานแยกทางกับคุณตา หลังจากนั้นแม่และตาของอเล็กซ์ก็เริ่มมีท่าทีแปลก ๆ คุณยายทราบว่าพวกเขาเข้าไปพัวพันกับชุมชนลัทธิจิตวิญญาณและชุมชนวิถีชีวิตทางเลือก (Alternative) ซึ่งเชื่อในการใช้ชีวิตเป็นอิสระและต่อต้านการไปโรงเรียน

ตั้งแต่นั้นมา เมลานี แม่ของอเล็กซ์ เริ่มไม่เชื่อเรื่องการศึกษาในโรงเรียน เธอไม่ต้องการให้อเล็กซ์ไปโรงเรียน เริ่มต่อต้านรัฐบาล ต่อต้านวัคซีน อีกทั้งยังเคยพาอเล็กซ์ในวัย 8 ขวบหนีไปใช้ชีวิตที่ชุมชนแห่งหนึ่งในโมร็อกโกเพื่อแสวงหา ‘วิถีชีวิตทางเลือก’ มาครั้งหนึ่งในปี 2557

ต่อมาเธอได้เดินทางไปต่างประเทศกับแฟนใหม่ โดยทิ้งอเล็กซ์ที่มีอายุเพียง 8 ขวบไว้เพียงลำพัง คุณยายซูซานจึงไปรับอเล็กซ์กลับมายังอังกฤษ และยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอเป็นผู้ปกครองตามกฎหมาย

กระทั่งในปี 2560 แม่และตาของอเล็กซ์ได้ขออนุญาตพาอเล็กซ์ไปเที่ยวพักผ่อนที่สเปน โดยอ้างกับคุณยายว่าจะไปเพียง 1 สัปดาห์ คุณยายจึงอนุญาตให้ไป แต่กลายเป็นว่าทั้งอดีตสามีและลูกสาวได้พรากหลานชายสุดที่รักของเธอหนีไปนานหลายปี 

อเล็กซ์เล่าว่า ในช่วงแรกเขายังเป็นเด็ก จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แถมยังรู้สึกตื่นเต้นและสนุก เขามีความสุขที่ได้ใช้เวลาอยู่กับแม่และตาที่เขารัก ได้ทำทุกอย่างที่อยากจะทำ ทั้งอ่านหนังสือ วาดรูป ไปเที่ยวเล่นที่ชายหาด แต่หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ได้สวยงามอย่างที่เขาวาดฝันไว้

แม่และตาพาอเล็กซ์ใช้ชีวิตเร่ร่อนตระเวนไปทั่วยุโรป และตัดขาดจากสังคม ทำให้ตลอด 6 ปี อเล็กซ์ไม่เคยได้ไปโรงเรียน และไม่มีเพื่อนวัยเดียวกัน เขาเรียนรู้ภาษาด้วยตัวเองผ่านการอ่านหนังสือแฮรี พอตเตอร์ เขาเรียนคณิตศาสตร์และคอมพิวเตอร์ผ่านการอ่านหนังสือด้วยตัวเองจนค้นพบความฝันว่า เขาอยากจะเป็น ‘วิศวกรซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์’

“การไม่ได้รับการศึกษาที่เหมาะสมเป็นสิ่งที่เลวร้ายมากที่สุดที่ผมพบเจอมาตลอด 6 ปี” อเล็กซ์เล่าถึงประสบการณ์ในช่วง 6 ปีที่เขาอยู่กับแม่และตา

สิ่งที่แม่คิดว่าดี ไม่ได้ดีกับเขาเสมอไป

เมื่ออเล็กซ์อายุ 14 ปี แม่และตาพาเขาย้ายมาที่หมู่บ้านห่างไกลบนเทือกเขาพิเรนีสของฝรั่งเศส มีครอบครัวหนึ่งรับพวกเขาเข้ามาทำงานแลกอาหารกับที่พัก อเล็กซ์ต้องทำทั้งงานก่อสร้าง งานรื้อถอน ทาสีบ้าน เป็นผู้ช่วยพ่อครัว คนล้างหม้อ และอีกมากมาย เพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่าย

จนถึงจุดหนึ่งอเล็กซ์เริ่มรู้สึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีอนาคต และเริ่มอยากกลับไปที่อังกฤษ

“เราพักอยู่ตามคาราวาน เราย้ายที่อยู่หลายครั้ง พวกเขามักจะพาผมขึ้นไปอยู่บนภูเขาที่ห่างไกลจากชุมชน อยู่มาวันหนึ่งผมก็คิดว่า โอเค ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว”

อเล็กซ์เริ่มชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในการใช้ชีวิตแบบนี้ หลังจากไตร่ตรองได้ 2 - 3 เดือนก็รู้สึกว่าการกลับไปใช้ชีวิตปกติที่อังกฤษจะดีต่อตัวเขามากกว่า

“ผมไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตถ้ายังอยู่กับแม่ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผมเห็นภาพว่าตัวเองใช้ชีวิตแบบไหน ย้ายที่อยู่เร่ร่อนไปเรื่อย ๆ ไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม ทำแต่งาน งาน และงาน ไม่ได้เรียน นั่นเป็นชีวิตที่ผมเห็นถ้ายังคงอยู่กับแม่”

การจากลาแม่เพื่ออนาคตที่ดีกว่า

วันหนึ่งอเล็กซ์ตัดสินใจหนีออกมา เขายัดของจำเป็นอย่างเสื้อผ้า ไฟฉาย มีด เงินสด 100 ยูโรใส่กระเป๋า และออกมาพร้อมสเก็ตบอร์ดในตอนเที่ยงคืน เป้าหมายคือเดินทางไปที่เมืองตูลูส ที่อยู่ห่างออกไปถึง 70 ไมล์ เพื่อขอความช่วยเหลือจากสถานทูต

แต่ก่อนจะจากไป อเล็กซ์ใช้เวลาราว 20 นาที นั่งเขียนข้อความถึงแม่ของเขา โดยมีใจความว่า “แม่ ผมอยากให้แม่รู้ว่าผมรักแม่มาก ผมขอบคุณมากสำหรับชีวิตที่แม่ให้ผมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ไม่ต้องกังวล ผมมั่นใจว่าจะไม่มีใครตามหาแม่เจอ และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับผม แม่ก็รู้ว่าผมดูแลตัวเองได้ อย่าโกรธผมมากเลยนะครับ”

อเล็กซ์เดินจากหมู่บ้านบนภูเขา และนอนตามข้างถนน กระทั่งกลางดึกวันที่ 13 ธันวาคม 2566 ‘ฟาเบียง อัคคิดินี’ (Fabien Accidini) นักศึกษาชาวฝรั่งเศสที่รับจ๊อบขับรถส่งของ พบอเล็กซ์ที่เดินอยู่ริมถนนแถบเชิงเขาพิเรนีสท่ามกลางสายฝน จึงได้เข้าไปสอบถามและช่วยเหลือ

อเล็กซ์เล่าเรื่องที่แม่พาเขาไปอยู่กับชุมชนลัทธิจิตวิญญาณ และเรื่องที่ตัดสินใจหนีมาให้ฟาเบียงฟัง ฟาเบียงเล่าถึงท่าทีของอเล็กซ์ผ่าน BBC ว่า “เขาดูไม่ได้เศร้าใจนักที่ต้องอาศัยอยู่ที่นั่น แต่เขาดูมีความสุขมากที่จะได้จากไป”

ฟาเบียงเสิร์ชชื่อของอเล็กซ์ในอินเทอร์เน็ต ก่อนจะพบว่าเขาเป็นบุคคลที่หายตัวไปตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว และคุณยายยังตามหาตัวเขาอยู่ ฟาเบียงจึงได้แจ้งตำรวจ หลังจากนั้นจึงมีการประสานงานจนอเล็กซ์ได้กลับอังกฤษมาอยู่กับยายอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้อเล็กซ์ยังไม่ยอมเปิดปากบอกว่า แม่กับตาของเขาอยู่ที่ไหน เขาเดินทางหนีมาจากที่ไหน และยังไม่พูดความจริงเกี่ยวกับรายละเอียดการเดินทาง เพราะกลัวว่าแม่และตาอาจจะถูกจับกุมในข้อหาลักพาตัวเด็ก ซึ่งเขาไม่ต้องการให้เป็นแบบนั้น

อเล็กซ์กล่าวถึงสิ่งที่อยากบอกกับแม่และตาว่า “ถ้าพวกเขากำลังดูอยู่ ผมอยากบอกว่าผมรักพวกเขา ผมขอโทษที่จากมา แต่มันจำเป็นสำหรับอนาคตของผม ผมมีความสุขและแข็งแรงดี ดูแลตัวเองได้ ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรือกังวลเลย”

อเล็กซ์มุ่งมั่นที่จะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ในสาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ และตั้งใจจะเรียนให้ทันคนอื่น ๆ เพื่ออนาคตที่สดใสของตัวเขาเอง

“แม่ของผมเธอเป็นคนดี และผมก็รักเธอ แต่เธอไม่ใช่แม่ที่ดี”

เรื่องราวของ ‘อเล็กซ์ แบตตี’ คือหนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นว่า สิ่งที่พ่อแม่หรือผู้ใหญ่คิดว่าดีต่อลูกหลาน บางครั้งอาจไม่ได้ทำให้ลูกหลานมีความสุขเสมอไป ที่ร้ายกว่านั้นยังอาจเป็นการยัดเยียดความปรารถนาของตัวเองไปยังพวกเขา จนอาจสร้างความทุกข์หรือแผลในใจแทน 

‘อเล็กซ์ แบตตี’ จะได้เป็นวิศวกรซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์ตามที่ฝันไว้หรือไม่ เป็นสิ่งที่มิอาจล่วงรู้ในเวลานี้ แต่สิ่งที่รู้แน่ชัดก็คือเขาจะได้เป็นผู้ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองเสียที

 

เรื่อง : อารียา อวนอ่อน (The People Junior)
ภาพ : ภาพปัจจุบันของอเล็กซ์ แบตตี จากยูทูบ Good Morning Britain ประกบภาพตอนเด็กจากเพจเฟซบุ๊ก Greater Manchester Police 

 

อ้างอิง :

Alex Batty's long night journey home on unlit roads / www.bbc.com

Exclusive: Missing Teen Alex Batty On Adjusting To Life After Leaving France / Good Morning Britain

Alex Batty tells of his extraordinary escape in first ever interview / The Sun