22 พ.ย. 2567 | 11:52 น.
ในโลกของการทำงานที่หมุนเร็วไม่มีหยุด หลายคนยังคงยึดติดกับความคิดที่ว่า “ยิ่งทำงานดึกดื่น ยิ่งแสดงถึงความขยัน” แต่ข้อเท็จจริงที่งานวิจัยสมัยใหม่ยืนยันก็คือ การอดหลับอดนอนอาจทำให้ productivity (ผลิตภาพ) ดิ่งลงอย่างน่าใจหาย และในระยะยาวยังส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายและจิตใจอีกด้วย
‘แมทธิว วอล์คเกอร์’ (Matthew Walker) นักวิทยาศาสตร์การนอนหลับชื่อดัง ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนอนที่มีคุณภาพว่า ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราต้องการเพื่อ “เอาชีวิตรอด” แต่คือหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ การตัดสินใจที่เฉียบคม และการทำงานร่วมกันในทีมได้อย่างไร้รอยต่อ
การนอนจึงไม่ใช่เพียงเรื่องส่วนตัว แต่เป็น ‘กลยุทธ์องค์กร’ ที่หลายบริษัทระดับโลกเริ่มให้ความสำคัญ เพราะพลังแห่งการพักผ่อนที่เพียงพอ สามารถเพิ่ม productivity ได้แบบก้าวกระโดด และยังช่วยสร้างบรรยากาศการทำงานที่เอื้อต่อความสำเร็จในระยะยาว
เคยสังเกตไหมว่า บางวันคุณสามารถคิดงานได้อย่างลื่นไหล สร้างสรรค์ไอเดียใหม่ ๆ ได้ไม่หยุดหย่อน ในขณะที่บางวันดูเหมือนสมองจะไม่พร้อมทำงาน แม้แต่เรื่องง่าย ๆ?
คำตอบไม่ได้อยู่ที่ชั่วโมงการทำงาน หรือจำนวนกาแฟที่ดื่ม แต่ซ่อนอยู่ใน ‘ชั่วโมงการนอน’ ของคืนก่อนหน้า
ในหนังสือ ‘Why We Sleep’ วอล์คเกอร์ อธิบายว่า การนอนหลับคือ ‘ระบบฟื้นฟูอัจฉริยะ’ ของร่างกายและสมองที่ช่วยเสริมสร้างกระบวนการคิด ความจำ และการตัดสินใจที่เฉียบคม
ผลวิจัยพบว่าเพียงคืนเดียวที่นอนหลับไม่เพียงพอ กลีบสมองส่วนหน้า (prefrontal cortex) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญต่อการวางแผนและการแก้ปัญหาจะทำงานลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ระบบลิมบิก (Limbic System) ซึ่งควบคุมอารมณ์กลับทำงานเกินขีด ทำให้เกิดภาวะ “ตื่นแต่ไร้ประสิทธิภาพ” ซึ่งอาจนำไปสู่ข้อผิดพลาดในการทำงาน หรือแม้แต่การตัดสินใจที่ผิดพลาดในระดับผู้นำองค์กร
ไม่เพียงแต่สมองเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ การนอนยังส่งผลต่อพลังงานร่างกายและระบบภูมิคุ้มกันอีกด้วย งานวิจัยพบว่าผู้ที่นอนหลับน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีโอกาสป่วยเป็นไข้หวัดเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับผู้ที่นอนหลับ 7 - 8 ชั่วโมง
ท่ามกลางวัฒนธรรมการทำงานที่เชิดชูการ “อดนอนเพื่อทำงานหนัก” มีบางองค์กรที่เลือกเดินสวนทาง ด้วยการสนับสนุนให้พนักงาน “พักผ่อนให้พอ” เพื่อเพิ่ม productivity และความคิดสร้างสรรค์แบบไร้ขีดจำกัด
Google เป็นหนึ่งในตัวอย่างที่โดดเด่น พวกเขาเข้าใจว่าความเหนื่อยล้าไม่ได้มีคุณค่าเท่ากับประสิทธิภาพการทำงาน Google ลงทุนสร้าง ‘nap pods’ หรือห้องงีบที่พนักงานสามารถหลบไปพักผ่อนสั้น ๆ ระหว่างวันได้ ผลปรากฏว่าพนักงานกลับมาทำงานด้วยความสดชื่น พร้อมไอเดียใหม่ ๆ ที่ช่วยแก้ปัญหาที่ค้างคาได้อย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับ Nike ที่ให้พนักงานเลือกเวลาการทำงานที่สอดคล้องกับจังหวะชีวภาพ (circadian rhythm) ของแต่ละคน บางคนที่ทำงานได้ดีที่สุดในช่วงเช้าก็สามารถเริ่มงานเร็ว ในขณะที่พนักงานสาย ‘นกฮูกกลางคืน’ สามารถเข้าทำงานช่วงสายได้ โดยผลลัพธ์ที่ได้คือ productivity รวมขององค์กรที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับความพึงพอใจในการทำงานที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน
การปรับตัวของบริษัทเหล่านี้ ไม่ได้เป็นเพียง ‘เทรนด์’ แต่เป็นการลงทุนที่วัดผลได้จริง โดยงานวิจัยชี้ว่าองค์กรที่ส่งเสริมสุขภาพการนอนสามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวกับความเหนื่อยล้าของพนักงานได้มหาศาล นอกจากนี้ ตัวเลขจากสหรัฐฯ ชี้ว่า องค์กรสูญเสียมากถึง 411,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี เพราะ productivity ที่ลดลงจากการนอนหลับไม่พอ
ในยุคที่องค์กรต่างแข่งขันกันสร้างวัฒนธรรมการทำงานที่ดึงดูดและรักษาคนเก่ง การใส่ใจใน ‘คุณภาพการนอน’ กำลังกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ล้ำหน้า จากประเด็นสุขภาพส่วนบุคคล สู่การเป็น ‘หัวใจสำคัญ’ ของการบริหารทรัพยากรมนุษย์
เรื่องการนอนหลับไม่ได้ส่งผลแค่พนักงาน แต่ยังส่งผลถึงผู้นำองค์กรที่ต้องตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ๆ แมทธิว วอล์คเกอร์ อธิบายว่า การอดนอนทำให้ผู้นำขาดความสามารถในการคิดเชิงกลยุทธ์และการสร้างแรงบันดาลใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญในการนำพาทีมงานให้เดินหน้าต่อไปได้
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำที่นอนน้อยยังส่งผลกระทบเชิงลบต่อพนักงานในทีมโดยตรง งานวิจัยพบว่าพนักงานที่ทำงานกับหัวหน้าที่พักผ่อนเพียงพอ จะรู้สึกได้รับแรงกระตุ้นมากขึ้น พร้อมทุ่มเทกับงานได้มากขึ้น ในทางกลับกัน หัวหน้าที่เหนื่อยล้าจะส่งต่อความเหนื่อยล้าให้กับทีม ทำให้ productivity ลดลงอย่างเห็นได้ชัด
‘เอริค แพรทเธอร์’ (Aric Prather) ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับ และผู้เขียนหนังสือ ‘The Sleep Prescription’ เสนอแนวทางที่องค์กรสามารถช่วยพนักงานนอนหลับดีขึ้นอย่างได้ผล หนึ่งในนั้นคือการแนะนำ ‘Cognitive Behavioral Therapy for Insomnia’ (CBT-I) ซึ่งเป็นกระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและความคิดที่รบกวนการนอนผ่านการให้คำปรึกษา นอกจากช่วยพนักงานแก้ไขปัญหาเรื่องการนอนแล้ว ยังลดความเครียดสะสมที่อาจกระทบต่อการทำงานในระยะยาวอีกด้วย
บางองค์กรยังเพิ่มโปรแกรมเสริมที่น่าสนใจ เช่น Sleep Tracking Programs— มอบอุปกรณ์ติดตามการนอนให้พนักงานเพื่อวิเคราะห์และปรับปรุงรูปแบบการนอน, Flex-Time Policies— ให้พนักงานมีอิสระในการกำหนดชั่วโมงการทำงานที่เหมาะกับจังหวะชีวิตตัวเอง หรือ พื้นที่พักผ่อนในออฟฟิศ— เช่น ‘ห้องเงียบ’ หรือ ‘ห้องงีบ’ ที่ออกแบบมาเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างวัน
การลงทุนในคุณภาพการนอนของพนักงาน ไม่ได้เป็นเพียงการดูแลสุขภาพ แต่เป็นกลยุทธ์ที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน การสนับสนุนให้พนักงานนอนหลับดี คือการช่วยให้พวกเขาทำงานอย่างเต็มศักยภาพ และพร้อมทุ่มเทความคิดสร้างสรรค์ให้กับองค์กร
การอดนอนอาจดูเหมือนไม่ใช่ปัญหาใหญ่ในชีวิตประจำวันของหลายคน แต่ในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่น การบิน การแพทย์ หรืออุตสาหกรรมพลังงาน ความเหนื่อยล้าจากการอดนอนสามารถเปลี่ยนเป็นภัยคุกคามร้ายแรงได้ในพริบตา
วอล์คเกอร์ ชี้ให้เห็นว่า การอดนอนส่งผลในเรื่องการตัดสินใจและการตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉิน ความสามารถในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผลจะลดลงเมื่อคนเหนื่อยล้า ในขณะเดียวกัน ยังลดความสามารถในการควบคุมอารมณ์ เกิดความหุนหันพลันแล่น สิ่งนี้ทำให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่ควรเกิดขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่ต้องการความแม่นยำและความรวดเร็ว
ในอุตสาหกรรมการบิน การศึกษาพบว่า การอดนอนของนักบินส่งผลโดยตรงต่อความปลอดภัยในการบิน นักบินที่อดนอน มีแนวโน้มทำผิดพลาดสูงขึ้นถึง 50% และมีโอกาสเกิด ‘microsleep’ หรือภาวะหลับในชั่วครู่ ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาดระหว่างการบิน
การวิเคราะห์อุบัติเหตุครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เช่น เหตุการณ์ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์เชอร์โนบิล และภัยพิบัติน้ำมันที่ Exxon Valdez เผยให้เห็นว่า ความเหนื่อยล้าของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเวลากะดึก เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่นำไปสู่โศกนาฏกรรม
ในอุตสาหกรรมการแพทย์ แพทย์และพยาบาลที่ทำงานในกะดึกหรือต้องทำงานต่อเนื่องมากกว่า 16 ชั่วโมง มีโอกาสทำผิดพลาดในการรักษาผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า ความผิดพลาดเล็ก ๆ เหล่านี้ อาจกลายเป็นความสูญเสียที่ใหญ่หลวงได้ทั้งต่อธุรกิจและชีวิตมนุษย์
ในโลกธุรกิจที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น องค์กรต่างมองหากลยุทธ์ใหม่ ๆ เพื่อเพิ่ม productivity และสร้างความแตกต่าง แต่สิ่งที่พวกเขามองข้าม คือพลังที่ซ่อนอยู่ใน ‘การนอนหลับที่มีคุณภาพ’
จากงานวิจัยของ แมทธิว วอล์คเกอร์ และ เอริค แพรทเธอร์ ทำให้เราได้เรียนรู้ว่า การนอนหลับไม่ใช่เพียงกิจวัตรประจำวันที่ช่วยฟื้นฟูร่างกาย แต่ยังเป็น ‘เครื่องมือสำคัญ’ ที่ช่วยขับเคลื่อนความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการตัดสินใจ และความร่วมมือในทีม
การสนับสนุนให้พนักงานนอนหลับดีขึ้นไม่ใช่แค่การดูแลสุขภาพของบุคคล แต่ยังเป็นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรโดยรวม เป็นการสร้างความตระหนักรู้เรื่องคุณภาพการนอนในที่ทำงาน, การปรับวัฒนธรรมองค์กรให้เอื้อต่อการพักผ่อน รวมถึงการลงทุนในโปรแกรมสุขภาพและนโยบายที่ส่งเสริมการนอนหลับอย่างยั่งยืน
สุดท้ายแล้ว productivity ที่แท้จริง ไม่ได้มาจากการทำงานหนักเกินไป แต่เกิดจากสมดุลที่เหมาะสมระหว่างการทำงานและการพักผ่อน ลองคิดดูว่า องค์กรจะก้าวไปได้ไกลแค่ไหน หากทุกคนในทีมตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน ด้วยความสดชื่น พร้อมเติมเต็มพลังและความคิดสร้างสรรค์ให้กับงาน
การนอนหลับไม่ใช่แค่ ‘สิทธิพื้นฐาน’ ของพนักงาน แต่คือ ‘การลงทุน’ ที่จะผลิดอกออกผลในระยะยาว ถึงเวลาแล้วที่เราจะเปลี่ยนวิธีคิด และให้คุณภาพการนอนเป็นหัวใจสำคัญขององค์กรในศตวรรษที่ 21
เรื่อง: อนันต์ ลือประดิษฐ์
ภาพ: Pexels
ที่มา:
Prather, Aric. The Sleep Prescription. Penguin Books. 2022.
Walker, Matthew. Why We Sleep. Scribner. 2017.
[สำหรับผู้สนใจเรื่องการนอน โปรดติดตามกิจกรรม Shall We Sleep ที่จะจัดให้มีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาด้านการนอน และเพื่อส่งเสริมการนอนหลับที่มีคุณภาพ ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวได้ทุกช่องทางของ The People]