โลกไร้ศรัทธาของ ‘แมดาลีน โอแฮร์’ ผู้หญิงที่ถูกเกลียดที่สุดในอเมริกา

โลกไร้ศรัทธาของ ‘แมดาลีน โอแฮร์’ ผู้หญิงที่ถูกเกลียดที่สุดในอเมริกา

‘แมดาลีน โอแฮร์’ คือหญิงที่ได้รับความเกลียดชังมากที่สุดในอเมริกา เพียงเพราะเธอไร้ศาสนา ไม่เชื่อในพระเจ้า สิ่งที่เธอไม่สามารถหาข้อพิสูจน์ได้ว่ามีที่มาอย่างไร จนนำไปสู่ความตายอันน่าเศร้าที่ไร้คนอาลัย ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นไห้

“ถ้าคุณคิดว่าการสวดอธิษฐานก่อนเริ่มเรียนเป็นเรื่องผิด

“คุณก็ไปฟ้องเอาสิ!”

การโต้เถียงระหว่างผู้ปกครองไร้ศาสนากับครูโรงเรียนรัฐในเมืองบัลติมอร์ ประเทศสหรัฐอเมริกา สิ้นสุดลงทันทีหลังครูผู้นำสวดอธิษฐานบอกให้ผู้ปกครองของ ‘วิลเลียม เมอร์เรย์’ (William Murray) ไปฟ้องศาลหากไม่พอใจที่ลูกชายต้องสวดมนต์ก่อนเริ่มเรียน

เหมือนเป็นประโยคปลดล็อกที่ทำให้ ‘แมดาลีน เมอร์เรย์ โอแฮร์’ (Madalyn Murray O’Hair) ผู้เป็นแม่เดินหน้าประกาศ ‘โลกไร้ศรัทธา’ ให้ชาวอเมริกันได้รับรู้ แถมยังนำเรื่องการบังคับสวดอธิษฐานก่อนเรียนไปฟ้องศาลสูงสหรัฐฯ ในปี 1963 และได้รับชัยชนะกลับมาในที่สุด เพราะศาลพิจารณาเห็นแล้วว่า โรงเรียนควรมีความเป็นกลาง และการบังคับนักเรียนต่างศาสนาให้สวดพระคัมภีร์เดียวกันนั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้โรงเรียนที่อยู่ในสังกัดรัฐยกเลิกบังคับสวดอธิษฐานก่อนเข้าเรียน และ 40% ของโรงเรียนรัฐต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมทางศาสนาในโรงเรียนทั้งหมด

เรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญของแม่คนหนึ่งที่พร้อม ‘ขัดศรัทธา’ คนส่วนใหญ่ เพียงเพราะไม่เชื่อว่าพระเจ้ามีอยู่จริง แมดาลีนยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น ในปี 1960 เธอก่อตั้ง American Atheists องค์กรของคนไร้ศาสนาที่มีเป้าหมายเพื่อปกป้องเสรีภาพเพื่อนร่วมชาติผู้ไม่เชื่อในพระเจ้าและสนับสนุนให้ศาสนาแยกออกจากรัฐโดยสิ้นเชิง

แม้แม่คนนี้จะไร้ศรัทธา แต่เธอไม่เคยหมดหวังที่จะเรียกร้องให้รัฐบาลนำพระเจ้าออกจากการชี้นำประเทศ ถึงจะล้มเหลวหลายต่อหลายครั้ง เพราะความสุดโต่งของเธอจึงทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้รับความเกลียดชังมากที่สุดในอเมริกา จนเป็นที่มาของการสร้างซีรีส์สารคดี Netflix เรื่อง The Most Hated Woman in America (2017) โดยได้ ‘เมลิสซา ลีโอ’ (Melissa Leo) นักแสดงชาวอเมริกันผู้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ในสาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม จากบทบาทการแสดงในเรื่อง Frozen River ในปี 2009 มารับบทเป็นแมดาลีน โอแฮร์

และนี่คือเรื่องราวของแมดาลีน โอแฮร์ หญิงไร้ศาสนา ผู้ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ศาสนาแยกออกจากรัฐ ไปจนถึงจุดจบอันน่าเศร้าของผู้ยึดมั่นในความเชื่อของตัวเองจนวาระสุดท้าย

The Most Hated Woman in America (2017) ก่อนศรัทธาจะแตกสลาย

แมดาลีน โอแฮร์ เกิดวันที่ 13 เมษายน 1919 ณ เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เธอเกิดในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อทำงานในบริษัทรับเหมาก่อสร้าง แม่เป็นแม่บ้าน แต่เพราะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ในปี 1929 ครอบครัวของเธอก็เข้าขั้นสิ้นเนื้อประดาตัว แมดาลีนรู้จักรสชาติความขมขื่นของโลกมาตั้งแต่ 10 ขวบนั่นจึงเป็นที่มาของความสงสัยในพระเจ้า

หากพระเจ้ามีจริง ทำไมพระองค์จึงไม่ช่วยให้ครอบครัวของเธอรอดพ้นจากความทุกข์ยาก ทำไมพระองค์ไม่เหลียวแลครอบครัวที่รักและศรัทธาในพระองค์เสียยิ่งกว่ากระไร ทำไมครอบครัวเธอจึงต้องทนทุกข์อยู่อย่างนี้

คำถามของเด็กหญิงแมดาลีนวนเวียนไปมาไม่หยุด เธอสงสัยในพระเจ้ามาเนิ่นนาน ถามแม่ก็ไม่ได้คำตอบ ถามพ่อก็มีแต่จะไล่เธอให้ไปสวดอธิษฐาน เธอไม่เคยได้รับคำตอบใด ๆ อาจเป็นเพราะทั้งพ่อและแม่นับถือคนละศาสนา พ่อเชื่อในเพรสไบทีเรียน แม่เป็นลูเธอรัน ลูกสาวอย่างเธอจึงไม่เข้าใจว่าพระเจ้าองค์ไหนกันแน่ที่ควรนับถือ

ศรัทธาของเธอขาดสะบั้นอีกครั้งในวัยสาว หลังจากเธอตั้งท้อง ‘วิลเลียม เมอร์เรย์’ ลูกชายคนแรกกับแฟนหนุ่มในปี 1945 และป่าวประกาศกับที่บ้านว่าเธอจะออกไปยืนกลางถนนให้ฟ้าผ่าตาย เพราะลูกคนนี้มาจากชายที่แต่งงานแล้ว

“ฉันจะออกไปให้พระเจ้าลงโทษให้เด็กคนนี้ตายจากฟ้าผ่า ให้ร่างของเรามอดไหม้ไปพร้อมกับความพิโรธของพระเจ้า”

สองแม่ลูกปลอดภัย เธอไม่ถูกลงโทษแม้จะมีความสัมพันธ์กับชายที่แต่งงานแล้ว ยิ่งตอกย้ำว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง...

แมดาลีนเริ่มชีวิตใหม่อีกครั้ง หลังจากกลับมาจากสนามรบที่ซึ่งเธอสมัครเข้าไปเป็นนักเข้ารหัส ประจำกองกำลังทหารหญิง (Women's Army Corps) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มจากการเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นรีเสิร์ฟ (Western Reserve University) และมหาวิทยาลัยโอไฮโอ นอร์ธเทิร์น (Ohio Northern University) ก่อนได้รับปริญญาด้านกฎหมายจากวิทยาลัยเซาท์ เท็กซัส (South Texas College of Law) ในปี 1952

ชีวิตของเธอไม่ได้หวือหวามากนัก เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งที่สนใจปรัชญาอเทวนิยมอย่างล้นใจ เธออ่านตำราหลายเล่มจนแทบซึมเข้ากระแสเลือด เรียกได้ว่าแนวคิดดังกล่าวตรงใจเธอที่สุดก็ว่าได้ เพราะพระเจ้าที่ชาวอเมริกันนับถือกันในช่วงเวลานั้นก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า พระองค์มีอยู่จริง หรือเป็นเพียงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น

หลังเรียนจบแมดาลีนทำงานเป็นนักสังคมสงเคราะห์ให้กับหน่วยงานรัฐหลายที่ในบัลติมอร์ และตั้งท้องลูกคนที่ 2 ในปี 1954 ชื่อว่า ‘จอน การ์ธ เมอร์เรย์’ (Jon Garth Murray) กับชายอีกคนหนึ่ง เธอเริ่มหมดศรัทธาในพระเจ้าและรัฐบาล จึงเข้าร่วมพรรคแรงงานสังคมนิยม (Socialist Workers Party) เนื่องจากไม่พอใจนโยบายของสหรัฐฯ – โซเวียต 

ในช่วงปี 1959-1960 แมดาลีนพยายามขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่สหภาพโซเวียต เพราะเชื่อมั่นว่าโซเวียตมีระบบสังคมที่เป็นธรรมมากกว่าสหรัฐฯ แต่คำร้องของเธอก็ปฏิเสธ ไม่มีเหตุผลแน่ชัด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เธอตั้งปณิธานขึ้นมาใหม่

“หากเราย้ายไปโซเวียตไม่ได้ เราคงต้องเปลี่ยนอเมริกา”

The Most Hated Woman in America (2017) ถ้าย้ายประเทศไม่ได้ก็เปลี่ยนสังคมเสียสิ!

เมื่อย้ายประเทศไม่ได้ แมดาลีนจำใจพาวิลเลียมลูกชายวัย 14 ปีของเธอเข้าโรงเรียนรัฐในเมืองบัลติมอร์ ที่นั่นทำให้ความโกรธของเธอประทุอย่างรุนแรง เพราะนักเรียนทุกคนถูกบังคับให้สวดอธิษฐานก่อนเรียน เธอหันไปหาลูกชายที่ไม่นับถือศาสนาเหมือนกัน ถามไปตรง ๆ ว่านี่คือเรื่องปกติของโรงเรียนนี้หรือเปล่า

คำตอบที่ได้ทำเอาใจแม่แทบสลาย เพราะวิลเลียมสารภาพว่าเขารู้สึกแปลกแยกจากเพื่อนร่วมห้องมานานแล้ว อีกทั้งยังได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีจากครูเมื่อรู้ว่าเขาไม่นับถือศาสนา แมดาลีนยื่นฟ้องโรงเรียนในปี 1960 เพราะเธอรู้ดีว่าการบังคับเด็กสวดมนต์นั้นขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ผู้พิพากษาศาลสูง ‘จอห์น กิลเบิร์ต เพรนเดอกาสต์’ (John Gilbert Prendergast) ยกฟ้องคำร้องของแมดาลีนในหนึ่งปีถัดมา โดยให้เหตุผลว่าคำร้องของเธอเป็นการส่งต่อความเชื่อนอกรีตไปสู่ลูกหลาน เธอแพ้ในศาลแมรีแลนด์ แต่ความเป็นแม่ยังสู้ไม่ถอย เธอยื่นฟ้องต่อศาลสูงสหรัฐฯ อีกครั้ง และครั้งนี้เธอเอาชนะคดีนี้ได้จนกลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วประเทศ

ศาลให้เหตุผลว่าโรงเรียนต้องมีความเป็นกลาง เพราะเด็กทุกคนมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา การจะสวดอธิษฐานหรือไม่สวดก่อนเข้าเรียนจึงไม่ใช่เรื่องผิด และทำการแก้กฎหมายที่กำหนดให้โรงเรียนรัฐต้องสวดมนต์ก่อนเข้าเรียน

“เราทุกคนมีสิทธิที่จะเป็นอิสระจากการนับถือศาสนา เฉกเช่นเดียวกับการที่เรามีเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา”

คำประกาศชัยชนะของแมดาลีนโด่งดังไปทั่วอเมริกา อเทวนิยมกำลังเป็นหัวข้อถกเถียงร้อนแรงในดินแดนแห่งเสรีภาพ เธอถูกเชิญให้ไปออกรายการทอล์คโชว์ของ ‘ฟิล โดนาฮิว’ (Phil Donahue) รายการระดับประเทศที่ใครต่างก็เฝ้ารอคอย และนั่นทำให้ทุกคนรู้จักแมดาลีน โอแฮร์

หลังจากชัยชนะครั้งนั้น แมดาลีนเดินหน้าฟ้องรัฐบาลให้แยกศาสนาออกจากการเมือง และชีวิตของประชาชน เริ่มตั้งแต่ผลักดันกฎหมายเก็บภาษีนักบวชและศาสนสถา ก่อตั้งองค์กร American Atheists เพื่อปกป้องพลเมืองผู้ไม่เชื่อในศาสนจักร พร้อมทั้งเรียกร้องให้รัฐบาลนำคำ In God, We Trust ออกจากธนบัตร

ความพยายามทั้งหมดของเธอล้มเหลว แต่ชื่อเสียงและความมุ่งมั่นของเธอเป็นที่ยอมรับโดยทั่วกัน นิตยสาร Life ตั้งฉายาให้เธอว่า ผู้หญิงที่ถูกเกลีดยมากที่สุดในอเมริกา

“เราเป็นอเทวนิยม จึงไม่แปลกที่เราจะเป็นศัตรูของทุกศาสนา เราต้องการยกเลิกการสวดภาวนาก่อนเข้าเรียน เพราะเราไม่เชื่อว่ามันจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น เราอยากให้มันหายไปจากห้องเรียน เพราะไม่มีใครพิสูจน์ได้ว่าพระเยซูคริสต์มีความเป็นมาอย่างไร และเราไม่เชื่อในสิ่งที่ได้กลับมาจากการสวดภาวนา”

แม้ว่าความพยายามของเธอจะล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า แต่องค์กรของผู้แยกตัวออกจากพระเจ้ากลับสร้างผลกำไรเป็นกอบเป็นกำ ลูกชายคนที่สองของแมดาลีนได้ให้สัมภาษณ์ว่า ชีวิตของพวกเขาไม่เคยลำบากเลยสักครั้ง

“เราเคยชินกับอาหารดี ๆ... พวกเขาทุกคนมีเสื้อผ้าดี ๆ ใส่ ชุดสูทของผมมีราคาไม่ต่ำกว่า 5,600 ดอลลาร์ เรามีบ้าน มีรถ เราไปเที่ยวทั่วโลกมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 ครั้ง”

ในปี 1986 แมดาลีนในวัย 67 ลาออกจากตำแหน่งประธานองค์กร American Atheists ลูกชายคนที่สองของเธอขึ้นมารับช่วงต่อ ส่วนลูกชายคนแรกอย่างวิลเลียม เขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อตัดสายสัมพันธ์ จากวัยเด็กที่เคยไม่เชื่อในพระเจ้า พอโตขึ้นมาเขาตระหนักได้ว่า การปลูกฝังของแม่ต่างหากที่ทำให้เขาไม่เชื่อ

เมื่อวิลเลียมอายุ 34 ปี เขาหันมานับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนต์ เคร่งครัดในการสวดภาวนา และเป็นประธานสมาพันธ์อิสรภาพในการนับถือศาสนา โดยมีเป้าหมายสูงสุดคือการนำการสวดอธิษฐานก่อนเข้าเรียนกลับไปอีกครั้ง

The Most Hated Woman in America (2017) ถูกลักพาตัว ความตาย และงานศพที่ไร้เสียงสะอื้น

เดือนสิงหาคม 1995 แมดาลีนในวัย 77 ปี, จอน 40 ปี และโรบิน เมอร์เรย์ หลานสาวอายุ 30 ปีของเธอหายตัวไป (โรบินเป็นลูกของวิลเลียม ลูกชายคนแรกของเธอ) หลังจากเพื่อนบ้านแจ้งตำรวจว่าทั้งสามคนหายไปนานผิดปกติ ตำรวจแค่รับเรื่องและจากไป เมื่อรู้ว่าคนที่หายไปคือครอบครัวของคนที่ถูกเกลียดมากที่สุดในประเทศ

พวกเขาหายตัวไปพร้อมกับเงินจำนวน 600,000 ดอลลาร์ ขณะที่ก่อนหน้านั้นจอนได้นำเหรียญทองมูลค่า 500,000 ดอลลาร์ไปขายที่ร้านเครื่องประดับในซานอันโตนิโอ นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ทุกคนเห็นครอบครัวเมอร์เรย์ยังมีชีวิตอยู่

ช่วงแรกคนต่างคาดเดากันไปต่าง ๆ นานาว่าทั้งสามคนหอบเงินหนีไปใช้ชีวิตสุขสบายที่ต่างประเทศ เพราะพวกเขาได้รับความเกลียดชังจากชาวอเมริกันมาโดยตลอด การหนีไปจากที่ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังจึงไม่ใช่เรื่องผิดปกติแต่อย่างใด

ขณะที่อีกทฤษฎีหนึ่งคือ พวกเขาเชื่อว่าแมดาลีนกลัวถูกฝังศพตามพิธีกรรมทางศาสนา อย่างที่รู้ว่าเธอก็มีอายุมากแล้ว ร่างกายเต็มไปด้วยโรครุมเร้าทั้งเบาหวาน ความดัน และการหายตัวครั้งนี้ก็เป็นปริศนานานถึงหกปี จนกระทั่งเดือนมกราคม 2001 ตำรวจออสตินพบกับศพนิรนาม 4 ศพ ในฟาร์มแห่งหนึ่งใกล้กับแคมป์วูด รัฐเท็กซัส

นำไปสู่การจับกุมตัวชาย 3 คน หนึ่งในนั้นคือผู้จัดการองค์กรของแมดาลีน พร้อมด้วยพรรคพวก 2 คน พวกเขาร่วมมือกันลักพาตัวแมดาลีนและรีดค่าไถ่เป็นจำนวน 600,000 ดอลลาร์ แต่ในที่เกิดเหตุมีอีกหนึ่งศพที่ไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวเมอร์เรย์ คือ แดนนี่ ฟราย (Danny Fry) ผู้สมรู้ร่วมคิดอีกราย

ร่างของแมดาลีนและโรบินถูกหั่นแยกแขน ขา ก่อนจะนำไปเผาทำลาย ส่วนบนร่างของจอนมีร่องรอยการถูกทำร้าย และศีรษะถูกครอบด้วยถุงพลาสติกอีกทีหนึ่ง ขณะที่ศพรายที่ 4 นอกจากถูกหั่นแขนขาแล้ว ฆาตกรยังตัดศีรษะของชายคนนี้อีกด้วย

การหายตัวไปของครอบครัวเมอร์เรย์คงจะหายไปจากความทรงจำของชาวอเมริกัน หากเดวิด วอร์เตอร์ส (David Waters) ไม่ถูกจับกุมและนำตำรวจไปชี้จุดเกิดเหตุ เพื่อเลี่ยงข้อหาลักพาตัวและฆาตกรรม วอร์เตอร์สถูกตัดสินจำคุก 20 ปี และเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดในปี 2003

แมดาลีนจากไปอย่างทุกข์ทรมานเพียงเพราะความเชื่อที่ไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ของประเทศ ดวงวิญญาญของเธอถูกเผาไหม้จากไฟแห่งความชิงชัง ไม่มีการสวดภาวนา ไม่มีคำกล่าวอาลัย ไร้การหวนรำลึกถึง เหลือเพียงเรื่องราวในหน้าประวัติศาสตร์ที่เธอเคยฝากไว้ให้ชาวอเมริกันได้รับรู้ ว่าครั้งหนึ่งประเทศเสรีแห่งนี้ ทำร้ายชีวิตเธอมากเพียงใด

 

ภาพ: Alan Light /Wikipedia

 

อ้างอิง

https://allthatsinteresting.com/madalyn-murray-ohair-most-hated-woman-in-america

https://ushistoryscene.com/article/madalyn-murray-ohair/

https://www.mtsu.edu/first-amendment/article/1272/madalyn-murray-o-hair

https://www.nytimes.com/2001/03/16/us/bodies-identified-as-those-of-missing-atheist-and-kin.html

https://www.theguardian.com/film/2017/mar/14/the-most-hated-woman-in-america-review-madalyn-murray-ohair

https://www.tshaonline.org/handbook/entries/ohair-madalyn-murray