16 มิ.ย. 2566 | 15:00 น.
KEY
POINTS
หลังเกิดปาฏิหาริย์เด็ก 4 คน รอดชีวิตจากเหตุเครื่องบินตกกลางป่าอะเมซอนเป็นเวลากว่า 40 วัน ผู้เขียนนึกถึงอีกหนึ่งเคสที่เกิดขึ้นราวกับปาฏิหาริย์เช่นกัน แต่โชคร้ายที่เธอเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวจากผู้โดยสารรวมลูกเรืออีก 91 ชีวิต
เธอคือเด็กสาวที่ต้องดิ้นรนทุกวิถีทาง ขณะที่บาดเจ็บสาหัสจากการตกลงมาสู่พื้นดินไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร ไหปลาร้าหัก หัวเข่าแตกจนเห็นลึกไปถึงกระดูก ขณะที่สายตาก็พร่าเลือน เพราะแว่นตาของเธอหล่นหายไประหว่างตกจากเครื่องบิน
นี่คือเรื่องราวของ ‘จูเลียน เคิปเก้’ (Juliane Koepcke) เด็กสาววัย 17 ปีผู้ร่วงหล่นจากท้องฟ้าในปี 1971 ขณะกำลังเดินทางไปหาคุณพ่อในช่วงคริสต์มาสอีฟ ช่วงเวลาแห่งความสุขก่อนหายนะจะเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง...
เด็กสาวกลางป่าลึก
จูเลียน เด็กสาวชาวเยอรมันเกิดที่กรุงลิม่า ประเทศเปรู เป็นลูกสาวคนเดียวของ ‘ฮันส์-วิลเฮล์ม เคิปเก้’ (Hans-Wilhelm Koepcke) และ ‘มาเรีย เคิปเก้’ (Maria Koepcke) คู่รักนักสัตววิทยาผู้หลงใหลในผืนป่า ด้วยความรักที่พวกเขามีต่อสัตว์ป่า ครอบครัวเคิปเก้ตัดสินใจย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากใหม่ที่กลางป่าอะเมซอน เพื่อศึกษาพันธุ์สัตว์ป่าได้อย่างเต็มที่
จูเลียนต้องย้ายตามพ่อแม่มาอยู่ที่ศูนย์วิจัยกลางป่าขณะอายุ 14 ปี เธอได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตมากมาย และหนึ่งในทักษะที่พ่อแม่มักสอนอยู่เสมอคือการเอาชีวิตรอดท่ามกลางป่าลึก
เธอจดจำทุกอย่างได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเดินตามลำธารเล็ก ๆ เพราะนั่นคือสัญญาณของการมีอยู่ของมนุษย์ พ่อมักบอกเธอเสมอว่าที่ใดมีน้ำที่นั่นย่อมมีมนุษย์ ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น เธอยังเรียนรู้วิธีทำแผลจากพ่อ นั่นคือการเอาน้ำมันมาราดบนบาดแผลเพื่อให้พวกหนอนแมลงหลุดออกมา ไปจนถึงการฟังเสียงสัตว์ป่าแต่ละชนิดว่ามีความดุร้ายหรือเป็นมิตร และการแยกประเภทของผลไม้ที่มีพิษ ทั้งหมดถูกบันทึกไว้ในสมองของเธอเอาไว้อัตโนมัติ
แม้บทเรียนชีวิตเหล่านี้จะมีโอกาสน้อยมากจะได้ใช้ แต่เธอไม่เคยลืมแม้แต่เรื่องเดียว และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อเจ้าหน้าที่มาตรวจพบว่าจูเลียนไม่ได้เรียนอยู่ในระบบการศึกษา แต่มาใช้ชีวิตอยู่ในป่าใหญ่ ครอบครัวเคิปเก้จำใจส่งตัวเธอให้ไปเรียนในระบบที่กรุงลิม่า
จูเลียนเรียนจบมัธยมปลายในวันที่ 22 ธันวาคม และวางแผนเดินทางกับแม่ในวันที่ 24 ธันวาคม เพื่อไปอยู่กับพ่อที่ศูนย์วิจัยกลางป่าอีกครั้ง โชคร้ายที่ทุกสายการบินมีคนจองตั๋วเดินทางกันเต็มหมด เธอจึงต้องเลือกจอง LANSA สายการบินโลว์คอสที่ขึ้นชื่อว่ามีความปลอดภัยต่ำที่สุดก็ว่าได้
แถว 19 ที่นั่ง F
“ตอนที่ฉันเห็นเครื่องบินลำนี้ บอกตามตรงว่ามันก็ดูใหม่แล้วก็น่าจะปลอดภัยดี”
แต่ภายนอกกลับตรงข้ามกับภายในโดยสิ้นเชิง แม้ว่าในครึ่งชั่วโมงแรกของการบินจะราบรื่น พนักงานเสิร์ฟขนม น้ำ ให้เธอและแม่ตามปกติ สองแม่ลูกกินอาหารด้วยความเปรมปรีดิ์ เธอหันไปคุยเล่นกับแม่ที่นั่งอยู่ตรงกลาง ถัดจากแม่ก็มีผู้ชายร่างใหญ่นั่งอยู่ข้าง ๆ
‘ทุกอย่างดูปกติดี’ (เธอคิด)
เที่ยวบินจากลิม่าไปยังปูคาลปาใช้เวลา 1 ชั่วโมงโดยประมาณ บรรยากาศบนเครื่องบินอบอวลไปด้วยมวลแห่งความสุข ทุกคนกำลังกลับบ้านไปหาครอบครัวในวันคริสต์มาส เพื่อเฉลิมฉลองช่วงเวลาสุดท้ายของปีด้วยกัน
เวลาผ่านไปแค่ 30 นาทีทุกอย่างกลับพลิกผัน เครื่องบินสั่นอย่างรุนแรง ข้าวของที่ใส่ไว้บนที่นั่งเหนือศีรษะเริ่มหล่นกระจาย ของขวัญ กระเป๋าเดินทาง ร่วงลงมาราวกับสายน้ำหลาก ทุกคนกำลังแตกตื่น ส่งเสียงกรีดร้องแข่งกับฟ้าผ่าที่ดังขึ้นระลอกแล้วระลอกเล่า
“มันจบแล้วจูเลียน”
น้ำเสียงของแม่ที่พูดกับเธอสั่นเครือ และนั่นคือคำสุดท้ายก่อนที่แรงลมจะกระชากเครื่องบินแตกเป็นเสี่ยง ๆ แม่ของเธอหายไปแล้ว ผู้ร่วมเดินทางเกือบร้อยชีวิตหายไปในพริบตา ทิ้งเธอให้ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง ก่อนที่ร่างของเธอจะกระแทกพื้นในเวลาต่อมา
ทุกอย่างมืดสนิท จูเลียนตื่นขึ้นมาบนกิ่งไม้ในป่าใหญ่ เธอค่อย ๆ ขยับตัวก่อนจะพบว่าเบ้าตาซ้ายของเธอบวมเป่ง กระดูกไหปลาร้าหัก ส่วนขาก็ขยับได้ลำบาก (เธอมารู้ภายหลังว่าหัวเข่าแตก) แขนก็ไร้กำลัง สายตาก็พร่าเลือนเพราะแว่นตาหล่นหายไปเป็นที่เรียบร้อย
เธอค่อย ๆ ไถตัวลงจากต้นไม้ ก่อนสติสัมปชัญญะจะหลุดหาย “ฉันจะไม่มีวันลืมภาพวันนั้น วันที่ฉันลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วเห็นร่างของตัวเองพาดอยู่บนกิ่งไม้กลางป่าใหญ่ มีเพียงความเงียบและต้นไม้ใหญ่อยู่รอบตัวฉัน”
วันแห่งการเอาชีวิตรอด
แมลง คือ ศัตรูตัวฉกาจ
หากหลงป่าให้ตามหาสายน้ำ
อย่ากินผลไม้หรือพืชที่ไม่รู้จัก
กฎเหล็กสามข้อที่จูเลียนท่องขึ้นใจ เธอเดินคลำทางพยายามหาของกินปะทังชีวิต แต่โชคร้ายที่ในเดือนธันวาคมไม่ใช่ฤดูกาลที่ผลไม้จะงอกงาม
จูเลียนพยายามร้องตะโกนหาผู้เป็นแม่ แต่ไร้เสียงตอบรับ ทุกอย่างเงียบงันมีเพียงเสียงใบไม้และสัตว์ป่าที่ส่งเสียงอื้ออึงทั่วผืนป่า
ทุกครั้งที่จูเลียนตัดสินใจเดินไปหาแหล่งน้ำ เธอมักปารองเท้าแตะที่เหลืออยู่เพียงข้างเดียวไปข้างหน้า เพื่อไล่งูพิษให้พ้นจากทางเดิน จูเลียนใช้วิธีนี้ตลอด และเธอก็รอดพ้นจากการถูกงูกัด มีเพียงบาดแผลจากการตกเครื่องบินที่เริ่มเน่ากินเนื้อลึกมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดูเหมือนว่าพระเจ้ายังไม่ละทิ้งเด็กสาวผู้เคราะห์ร้าย จูเลียนได้ยินเสียงเครื่องบินออกตามหาผู้มีชีวิตรอด แต่ป่ารกชัฎทำให้พวกเขามองไม่เห็น และเธอก็ไม่มีกำลังมากพอจะส่งเสียงตอบกลับหน่วยค้นหา
อากาศร้อนชื้นกำลังทำร้ายร่างกายที่บาดเจ็บของเด็กสาว ชุดเดรสบาง ๆ ก็ไม่อาจต้านทานความหนาวเหน็บยามกลางคืน ร่างกายของเธอกำลังถึงขีดจำกัดมากขึ้นทุกที
ย่างเข้าเช้าวันที่ 4 จูเลียนได้ยินเสียงนกป่าชนิดหนึ่ง เธอรีบพาร่างออกตามหานกตัวนั้น เธอจำมันได้ นกที่พ่อพร่ำบอกว่าอาศัยอยู่ใกล้แหล่งน้ำ และใช่จริง ๆ เธอเจอธารน้ำเข้าให้แล้ว จูเลียนไม่มีเวลาคิดนานนัก เธอก้าวลงในธารน้ำพร้อมกับกิ่งไม้ค้ำร่าง
ถึงจะรู้ดีแก่ใจว่าในน้ำก็อันตรายไม่ต่างกัน มีทั้งไคแมน (คล้ายจระเข้) และปลาดุร้ายอีกหลายชนิดที่อาศัยอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ แต่พ่อเธอบอกว่าปลาปิรันย่าจะอันตรายก็ต่อเมื่ออยู่ที่น้ำตื้น เธอจึงเดินไปกลางแม่น้ำ ปล่อยร่างให้ไหลไปตามสายน้ำ
กระทั่งเจอเข้ากับเศษซากเครื่องบินอีกส่วนหนึ่งของลำ เธอเดินไปดูว่าใช่ศพแม่ของเธอหรือเปล่า หลังจากพลิกดูร่างไร้ชีวิต เธอก็เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งใจ ก่อนจะรู้สึกเสียใจภายหลังที่คิดเช่นนั้น
“ฉันคิดว่าแม่อาจเป็นหนึ่งในร่างเหล่านั้น ตอนที่ฉันตรวจดูก็เห็นว่าผู้หญิงคนนั้นทาสีเล็บเท้า และนั่นทำให้ฉันถึงกับโล่งอก เพราะแม่ไม่เคยทำเล็บเลย แต่บอกตามตรงว่าละอายใจตัวเองเหลือเกินที่คิดอย่างนั้นกับผู้หญิงตรงหน้า”
สิ้นสุดการดิ้นรน
วันที่ 10 ของการเอาชีวิตรอด สติของจูเลียนเริ่มเลือน แผลของเธอมีหนอนชอนไชและมีแมลงมาวางไข่ เธอเห็นพวกมันขยับอยู่ในแผลของเธอ ร่างกายของเด็กสาวกำลังจะเน่า
เธอกำลังจะตาย
“ราวกับฉันกำลังยืนอยู่บนปากเหวของขุมนรกสีเขียว”
โชคดีที่สายน้ำไม่ละทิ้งเธอ เด็กสาวเริ่มเห็นสัญญาณของอารยธรรมมนุษย์ เรือ และกระท่อมหลังเล็ก ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่เธออยู่มากนัก จูเลียนลากตัวเองเดินไปยังกระท่อมหลังนั้น ก่อนจะควานหาน้ำมันเครื่องยนต์มาราดที่บาดแผลของเธอ
“ฉันทรมานทุกครั้งที่หนอนพยายามมุดเข้าไปในแผล ฉันดึงหนอนออกมาได้ราว 30 ตัวและบอกตามตรงว่าฉันภูมิใจในตัวเองมากจริง ๆ”
เธอตัดสินใจนอนพักที่กระท่อมหลังนั้น วันรุ่งขึ้นเธอตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงผู้ชายคุยกันด้านนอก พวกเขามีท่าทีหวาดกลัวและตื่นตระหนกไม่น้อยที่เห็นผู้หญิงผมบลอนด์นอนบาดเจ็บเจียนตายอยู่ที่กระท่อม
“พวกเขาคิดว่าฉันเป็นเทพธิดาแห่งน้ำ เพราะฉันมีผมบลอนด์และผิวขาวซีด” เธอเขียนในหนังสือ
ก่อนที่พวกเขาจะคิดกันไปไกล เธอรีบแนะนำตัวเองและบอกว่าเธอประสบอุบัติเหตุเครื่องบินตกเมื่อไม่กี่วันก่อนเป็นภาษาสเปน อีกหนึ่งทักษะที่พ่อแม่สอนเธอไว้เมื่อนานมาแล้ว
“สวัสดี ฉันชื่อจูเลียน...”
เสียงที่แหบแห้งของเธอเอ่ยปากทักทายคนแปลกหน้า พลันน้ำตาของเด็กสาวก็ไหลทะลัก เธอร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากชายแปลกหน้าได้สติกลับมา พวกเขารีบพาเธอไปโรงพยาบาลทันที จูเลียนปลอดภัย แต่จิตใจเธอกลับแตกร้าว เธอไม่อาจลืมความโหดร้ายที่เผชิญมาตลอด 11 วันในป่าอะเมซอนได้เลย
เหตุการณ์เครื่องบินสายการบิน LANSA ไฟลท์ 508 ตกมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 91 คน เป็นลูกเรือ 6 คน และผู้โดยสาร 85 มีผู้รอดชีวิตเพียง 1 คน
วันที่ 12 มกราคม หน่วยค้นหาเจอร่างของมาเรีย เคิปเก้ ผลการชันสูตรพบว่า เธอไม่ได้เสียชีวิตทันทีจากเหตุเครื่องบินตก แต่เสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บ
จูเลียนเรียนจบปริญญาเอก และแต่งงานมีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข แต่ฝันร้ายเหล่านั้นยังคงตามหลอกหลอนเธอ หลังจากทำใจนานเกือบสี่สิบปี เธอกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกครั้ง เพื่อบันทึกสารคดีเหตุการณ์เครื่องบินตกในครั้งนั้น (ชื่อเรื่อง Miracles Still Happen (1975) กับ The Story of Juliane Koepcke, Wings of Hope (1998))
ปัจจุบัน ดร.จูเลียนในวัย 68 ปียังคงเดินตามรอยผู้เป็นพ่อและแม่ เป็นนักชีววิทยาที่รักและหวงแหนผืนป่ายิ่งกว่าสิ่งไหน และเฝ้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่าทำไมเธอจึงเป็นคนเดียวที่รอดชีวิต และตกตะกอนได้ว่าชีวิตของเธอมีไว้เพื่อดูแลป่า
“ฉันได้รับชีวิตที่สอง ฉันจะใช้มันเพื่อปกป้องผืนป่า”
ภาพ: Juliane Koepcke/ Instagram
อ้างอิง
https://www.insider.com/how-juliane-koepcke-survived-plane-crash-and-peruvian-jungle-2023-6
https://www.youtube.com/watch?v=v48LYcvfuFE
https://www.abc.net.au/news/2022-10-02/the-girl-who-fell-3km-into-the-amazon-and-survived/101413154