29 เม.ย. 2562 | 15:59 น.
"ผมคิดว่า ฟาน ไดจ์ค เป็นนักเตะที่ดีของเซาธ์แฮมป์ตัน แต่ผมไม่คิดว่าเขาสมควรที่จะมีค่าตัวสูงถึง 75 ล้านปอนด์ และผมไม่คิดว่าเขาจะเข้ามาสร้างความแตกต่างอะไรให้กับลิเวอร์พูล" แกรี่ เนวิลล์ อดีตดาวเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวไว้ "ฟาน ไดจ์ค มีความสามารถในการเล่นบอลที่ดี แต่เรื่องการป้องกันผมว่า โซล แบมบ้า (กองหลังของ คาร์ดิฟฟ์ ซิตี้) เก่งกว่าเขาอีกนะ" นีล วอร์น็อค ผู้จัดการทีมคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ กล่าวไว้อีกเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือข้อครหาหลังลิเวอร์พูลทุ่มเงิน 75 ล้านปอนด์ และเป็นสถิติโลก เพื่อดึงตัว เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (Virgil van Dijk) กองหลังที่ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรมากนักในระดับยุโรปเข้ามาเสริมทัพ เมื่อเดือนมกราคม ปี 2018 1 ปี 4 เดือนผ่านไปในแอนฟิลด์ กองหลังชาวเนเธอร์แลนด์คนนี้พลาดการลงสนามให้ “หงส์แดง” เพียง 3 เกมเท่านั้น และผลงานเกมรับโดยรวมของทีมดีขึ้นอย่างมาก เพราะก่อนหน้าที่ ฟาน ไดจ์ค เข้ามา “หงส์แดง” เสียประตูเฉลี่ย 1.2 ประตูต่อเกม เก็บคลีนชีต (ไม่เสียประตูในหนึ่งนัด) ได้ 32 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากเดือนมกราคม 2018 พวกเขาเสียประตูเฉลี่ยเพียง 0.5 ประตูต่อเกม และรักษาคลีนชีตได้มากถึง 57 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ว่า นักเตะวัย 26 ปีรายนี้ มีอิทธิพลต่อยอดทีมจากเมอร์ซีย์ไซด์เพียงใด จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ผลงานนี้จะดันเขาก้าวไปสู่การเป็นนักเตะยอดเยี่ยมของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพ พีเอฟเอ (PFA) ฤดูกาล 2018/2019 แต่กว่า ฟาน ไดจ์ค จะก้าวขึ้นมาถึงจุดนี้ เส้นทางชีวิตและการค้าแข้งของเขาก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ย้อนกลับไปช่วงเยาวชน ฟาน ไดจ์ค รูปร่างไม่ได้สูงใหญ่เช่นทุกวันนี้ เรียกได้ว่าน้องชายของเขายังสูงกว่า และเริ่มต้นชีวิตฟุตบอลด้วยตำแหน่งวิงแบ็กขวา ที่เขาพูดเองว่าเขาทั้งช้า และมีปัญหาบริเวณเข่า แต่ในช่วงฤดูร้อนที่ ฟาน ไดจ์ค อายุย่างเข้า 17 ปี ส่วนสูงของเขาก็ก้าวกระโดดขึ้นมาถึง 18 เซนติเมตร จนทำให้เขาต้องปรับเล่นตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็ก และทำผลงานได้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีเด่นจนทำให้เขาขึ้นไปติดทีมชุดใหญ่ของ วิลเลม ทเวล และได้รับสัญญานักเตะอาชีพได้ ซึ่งโค้ชตอนนั้นระบุว่า ฟาน ไดจ์ค มีข้อจำกัดเยอะเกินไป นอกจากเรื่องในสนามแล้ว ปัญหานอกสนามของเขาก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องเงิน พ่อของ ฟาน ไดจ์ค ที่ทิ้งเขาไปและให้แม่ต้องเลี้ยงลูกทั้งสามคนเพียงลำพัง (เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาปักชื่อหลักเสื้อว่า Virgil ไม่ใช่ van Dijk ที่เป็นนามสกุลของพ่อ) ทำให้ฟาน ไดจ์ค ต้องหาเงินเลี้ยงครอบครัวอีกทาง ด้วยการไปเป็นเด็กล้างจาน "ก่อนผมจะเซ็นสัญญาอาชีพ ตอนที่อายุ 15 หรือ 16 นี่แหละ ผมทำงานเป็นเด็กล้างจานในร้านอาหารในเมืองเบรด้า ซึ่งผมต้องซ้อมฟุตบอลทุกวัน จันทร์, อังคาร, พฤหัสบดี และลงแข่งในวันเสาร์ และมาล้างจานในวันพุธกับวันอาทิตย์ ตั้งแต่ 6 โมงถึงเที่ยงคืน ที่ผมยังต้องไปล้างจานเพราะผมต้องการเข้าไปในเมืองในช่วงคืนวันเสาร์ ผมทำงานได้เงิน 350 ยูโรต่อเดือน แต่ผมก็มีความสุขมาก ๆ ผมเอาเงินไปกินแมคโดนัลด์และเลี้ยงเพื่อน ๆ ซึ่งตอนนั้นมันทำให้ผมรู้ว่าเงินมันสำคัญเพียงใด แต่มันก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด" ยังโชคดีที่ มาร์ติน คูมัน บิดาของ โรนัลด์ คูมัน ตำนานกองหลังของฮอลแลนด์ เห็นความสามารถในตัว "VVD" และชักชวนไปเล่นให้กับ โกรนิงเกน สโมสรทางเหนือของเนเธอร์แลนด์ ที่ห่างจากเบรดาบ้านเกิดเขาไปเกือบ 300 กิโลเมตร ฟาน ไดจ์ค อดทนรอและฝึกซ้อมอย่างหนัก จนได้รับโอกาสในทีมชุดใหญ่ของโกรนิงเกน และ 3 เดือนก่อนที่เขาอายุครบ 20 ปี เขาได้รับโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงนัดแรก และซัด 2 ประตูพาทีมเอาชนะ เดน ฮาก ได้สำเร็จ แม้ว่าเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพของเขาเริ่มสดใส เริ่มได้ลงตัวจริงอย่างต่อเนื่อง และก้าวขึ้นมาเป็นกองหลังตัวหลักของทีม แต่หลังจากเขาได้เฉลิมฉลองอายุครบ 20 ไปได้ไม่ถึงปี ในวันแห่งการโกหก 1 เมษายน ปี 2012 เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค กลับประสบกับเหตุการณ์เฉียดตาย ต้องนอนแน่นิ่งอยู่ในโรงพยาบาลร่วม 13 คืน จากอาการติดเชื้อภายในกระเพาะอาหารและลำไส้ "ผมจำได้ว่าผมนอนอยู่บนเตียง สิ่งเดียวที่ผมมองเห็นคือท่อระโยงระยางเต็มไปหมด ผมปวดร้าวไปทั่วร่างกาย ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย เกือบ 10 วัน แม้กระทั่งเดินยังทำไม่ได้ ครั้งแรกที่ผมลุกขึ้นเดินได้ 10 เมตร ผมร้องไห้อย่างกับเด็กทารก "ผมกับแม่เอาแต่อ้อนวอนต่อพระเจ้า ให้ผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมได้เซ็นเอกสารที่ระบุว่า หากผมตายไป เงินของผมจะตกเป็นของแม่ ซึ่งตอนนั้นผมมองเห็นความตายใกล้แค่เอื้อม และมันไม่น่าอภิรมย์เลย" แต่ที่สุด ฟาน ไดจ์ค ก็กลับมาสู่สนามหญ้าได้อีกครั้ง ฟาน ไดจ์ค ลงเล่นให้กับ โกรนิงเกน 2 ปีเต็ม ๆ และทุก ๆ คนลงความเห็นว่าสโมสรแห่งนี้เล็กเกินไปสำหรับเขาในการพัฒนาตัวเอง และผลักดันในเขาย้ายไปสโมสรที่ใหญ่กว่า ซึ่งตัวเลือกในตอนนั้นคือ อาแจ็กซ์ แต่โชคร้าย มาร์ค โอเวอร์มาร์ส หัวเรือควบคุมการซื้อขายไม่สนใจกองหลังจากโกรนิงเกนรายนี้ แต่ไปเซ็นสัญญากับกองหลังดาวรุ่งอีกรายอย่าง ไมค์ ฟาน เดอร์ ฮอร์น แทน ทำให้เส้นทางอาชีพของ เวอร์จิล ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปเล่นให้กับเซลติก ยอดทีมจากสก็อตแลนด์ แม้จะต่างลีกกัน แต่คุณภาพของ ฟาน ไดจ์ค ยังคงยอดเยี่ยม เขาแทบจะเข้ามายึดตัวจริงในทีมโดยทันที และร่วมคว้า 3 ถ้วยตลอด 2 ฤดูกาลในสก็อตแลนด์ แต่นั่นก็ยังไม่ดีพอที่จะทำให้ หลุยส์ ฟาน กัล เรียกเขาติดทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ลุยฟุตบอลโลก 2014 “ผมไม่ได้โทษใครทั้งนั้นหรอก บางทีเส้นทางการค้าแข้งของผมยังไม่ดีพอ หรือมาตรฐานของลีก สก็อตติช (ลีกของ สก็อตแลนด์) คงจะต่ำเกินไป” ในเมื่อฟุตบอลของสก็อตแลนด์ยังไม่ดีพอสำหรับเขา 2 ปีเป็นเวลาที่เพียงพอแล้ว และถึงเวลาที่เขาจะต้องโยกย้ายอีกครั้ง เวลาที่เขาจะต้องพัฒนาตัวเองในลีกที่ดีกว่า และเป็นลีกที่ดีที่สุดโลก อย่าง พรีเมียร์ลีก โดยมี โรนัลด์ คูมัน ลูกชายของผู้ที่ดึง ฟาน ไดจ์ค เข้ามาสู่วงการฟุตบอลอาชีพ เซ็นเขาเข้าสู่ เซาธ์แฮมป์ตัน สโมสรที่มีการพัฒนานักเตะเยาวชนดีที่สุดแห่งหนึ่งบนเกาะอังกฤษ ในขณะที่เขาอายุ 24 ปี ฟาน ไดจ์ค ใช้เวลา 2 ปีเช่นเดิมในการบ่มเพาะฝีเท้า โดยมีเป้าหมายคือเล็งไปยังสโมสรที่ใหญ่กว่า คือสโมสรระดับโลกอย่าง ลิเวอร์พูล เขาระบุความต้องการอย่างตรงไปตรงมากับ เซาธ์แฮมป์ตัน ว่าต้องการย้ายไปลิเวอร์พูล แต่มีปัญหาระหว่าง 2 ทีม (ลิเวอร์พูลแอบทาบทามนักเตะลับหลัง) ทำให้ ฟาน ไดจ์ค ต้องอดทนรออีกครึ่งฤดูกาลเพื่อย้ายซบ “หงส์แดง” ด้วยค่าตัว 75 ล้านปอนด์ และกลายเป็นกองหลังที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก "หลังจากความวุ่นวายตลอดเดือนสิงหาคมจบลง ผมกลับมามุ่งมั่นกับเซาธ์แฮมป์ตัน ในตอนนั้นผมมีความสุขที่ได้ลงเล่นเพราะผมเพิ่งหายเจ็บหนักกลับมา ทุก ๆ คนสงสัยในตัวผม แต่ผมทุ่มเทให้กับเซาธ์แฮมป์ตันในทุก ๆ การฝึกซ้อม และทุก ๆ เกมการแข่งขัน พอสิ้นเดือนธันวาคม มีสายโทรเข้ามาว่าดีลกับลิเวอร์พูลเรียบร้อยแล้ว ผมมีความสุขมาก ๆ" ไม่มีใครเลี้ยงผ่านเขาได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเอาชนะการดวลในเขตโทษกับเขาได้เลยตั้งแต่เดือนมกราคม และอื่น ๆ อีกมากมายที่ระบุได้ว่า VVD ก้าวขึ้นมาเป็นปราการหลังที่ดีที่สุดในโลก เขากลายเป็นนักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกคนหนึ่ง และยังรับค่าเหนื่อยเกือบ 10 ล้านปอนด์ต่อปี แต่เขาไม่ได้สนใจสิ่งต่าง ๆ มากนักนอกจากฟุตบอลและครอบครัว "ครอบครัวผม ภรรยาผม และลูกของผม เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ผมเจอช่วงชีวิตที่ยากลำบาก แต่ยามที่ผมกลับบ้านและเห็นเด็ก ๆ ส่งยิ้มให้ผม เห็นทุก ๆ คนมีสุขภาพที่ดี ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตผม ผมทำทุกอย่างเพื่อสิ่งเหล่านี้" "บางครั้งผมเปิดทีวี และได้ยินเพลง Viva la Vida ของ Coldplay ดังขึ้นมา มันทำให้ผมย้อนถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวิตผมได้เป็นอย่างดี มันทำให้ผมย้อนไปว่ากว่าผมจะมีวันนี้ได้ ผมมีช่วงเวลาที่ยากลำบากมากมาย และผมก็ภูมิใจที่ผ่านมันมาได้" “ผมพยายามอย่างหนัก ผมฝึกซ้อมอย่างหนัก กว่าผมจะมาถึงจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ แต่ผมก็ไม่ได้ลืมว่าผมเริ่มต้นมาจากที่ไหน” ชีวิตประจำวันของ ฟาน ไดจ์ค มีเพียง ซ้อม กลับบ้านอยู่กับภรรยาและลูกสาว พักผ่อน และทุ่มเทสุดตัวยามมีเกมการแข่งขัน ณ ตอนนี้ เขาเติบโตจากเด็กหนุ่มที่ยืนล้างจานหาเงินช่วยครอบครัว มาเป็นว่าที่นักเตะที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก แต่เด็กหนุ่มคนนั้น คนที่ทุ่มเททุกอย่าง เพื่อให้คนรอบตัว ๆ เขามีความสุข ยังคงอยู่ในตัวของ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เสมอมา ที่มา https://www.bbc.com/sport/football/47283936 http://africa.espn.com/football/club/liverpool/364/blog/post/3824468/virgil-van-dijk-is-the-best-player-in-the-premier-league-how-the-dutch-defender-became-liverpools-leader http://www.sportbible.com/football/reactions-take-a-bow-news-virgil-van-dijk-voted-the-best-defender-in-world-football-20190316 https://www.transfermarkt.com/virgil-van-dijk/profil/spieler/139208 https://talksport.com/football/467004/virgil-van-dijk-stats-in-first-year-at-liverpool-show-how-he-has-lived-up-to-75million-price-tag/ เรื่อง: ศุภณัฐ เจริญรัตน์